บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)

บทที่ 14 อาจารย์ชั้นเรียนที่ 4

ที่โรงเรียนช่างศิลป์วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า แต่ละวันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่กะพริบตาก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน

หวังจื่อหรูเมื่อทราบว่าฮวาหว่านนอกจะมีท่านลุงเป็นแค่ขุนนางเล็กๆในหมู่บ้านหยุนนเซียวแล้ว ก็ไม่มีญาติสนิทอื่นอีก แม้จะไม่เคยกล่าวสิ่งใด แต่ก็ไม่สนใจเหมือนเมื่อพบกันตอนแรกๆ

พื้นเพทางบ้านของเพื่อนร่วมห้องทั้งสามฮวาหว่านล้วนมีความคิดอยู่ในใจ เซียะหรูอิงกำเนิดในตระกูลขุนพล บิดามีตำแหน่งถึงผู้บัญชาการกองพัน

แม้ว่านางจะมีบุคลิกคล้ายวีรบุรษ แต่ก็ถูกสถานะที่เป็นลูกเมียเล็กผูกมัดไว้ มารดาแท้จริงนางเป็นแค่ต้นห้องคนสนิท มีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือเซียะหรูอิง แม้แต่สถานะภรรยาน้อยยังไม่ได้ยกย่อง

ลูกหลานของบ้านตระกูลเซียะสืบทอดความรุ่งเรืองมีหน้าตาอย่างมาก มาตรแม้นว่าเซียะหรูอิงจะมีนิสัยดุดันเข้มแข็งทรหดเหล่านี้เป็นจุดเด่น หากแต่ขุนพลเซียะก็ไม่สามารถทอดสายตามองมาที่นางได้ ไม่สามารถสั่งสอนตำราพิชัยสงครามให้แก่นาง

อีกทั้งเซียะหรูอิงมีนิสัยเย็นชา ภายในเก็บซ่อนไว้ด้วยความยโสอวดดี นางยอมปกป้องมารดาดีกว่าจะให้ผู้อื่นไต่ถามสภาพยากจน และไม่ยินยอมก้มหัวเป็นคนไร้ค่าประจบเอาใจแม่ใหญ่มาก่อน เพื่อคอยหาผลประโยชน์แค่เพียงเศษเสี้ยว

มีเพียงหนึ่งเดียวที่เซียะหรูอิงยอมก้มหัวขอร้องแม่ใหญ่ ก็คือเรื่องจะเข้าเรียนในโรงเรียนช่างศิลป์ นางขอร้องแม่ใหญ่ให้เรียกร้องสิทธิแก่นาง ส่งชื่อตามทะเบียนบ้านไปให้ผู้ว่าโจวตรวจสอบ

นั่นคือความพยายามมุมานะอย่างหนึ่ง เพื่อที่จะสอบเข้าโรงเรียนศิลป์อย่างราบรื่น นางเพียงคิดจะพึ่งความขยันหมั่นเพียรของตนเองเข้าสำนักอักษร จะได้กลายเป็นอาจารย์ช่างทอง เพื่อสร้างเกียรติยศให้กับสถานะของตัวเอง และให้มารดามีที่พึ่งพิง

สำหรับหวังจื่อหรง นอกจากจะสืบเชื้อสายมาจากเผ่าหลางหยาที่รุ่งเรืองในสมัยราชวงศ์ฮั่นแล้ว หลินซียังเคยกล่าวกับฮวาหว่านว่า หวังจื่อหรูไม่ใช่เพียงแค่ญาติที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของเผ่าหลางหยาแล้ว เชื้อสายยังห่างไกลไม่รู้กี่รุ่น ความจริงแล้วนางควรจะไม่ได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากเผ่าพันธุ์ด้วยซ้ำ เพียงแต่ปากยังกล่าวถึงผลประโยชน์ของการเป็นเชื้อสายเผ่าหลางหยาอันรุ่งเรือง

หวังจื่อหรงสงบเสงี่ยมหน้าตางดงาม ความมุ่งมั่นในใจคือการเข้าสำนักหนิงกวงหยวน อย่างนี้ถึงจะมีความหวังได้เข้าวังหลัง ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันได้โผผินบินสูงถึงยอดกิ่งหงส์

ชาติกำเนิดของหลินซีเปรียบเทียบกับสองคนก่อนธรรมดากว่ามาก เป็นบุตรสาวของคหบดีเขตชานเมืองใกล้กับเมืองหลวง ไม่ค่อยเป็นคนคิดอะไรมาก เพียงแค่ไม่อยากมีชีวิตน่าเบื่ออยู่ที่บ้าน อาศัยความสนใจในเครื่องประดับ จึงมาอยู่ที่นี่

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของฮวาหว่านกับหลินซีดีมาก หลินซีไม่ว่าจะทำเรื่องอันใดล้วนแล้วแต่ต้องร้องเรียกฮวาหว่าน

“ร้อยคนยึดกฎระเบียบของบ้าน ถือกฎเกณฑ์คือความสามัคคี ร้อยเรียงผูกรัดไว้ด้วยกัน ให้เป็นมาตรฐาน สัมผัสทั้งห้าจะดีไม่ดี ก็ต้องใช้ทักษะทั้งสี่นี้เป็นวิธีการ….” อาจารย์ลู่เป็นผู้ดูแลประจำชั้นเรียนที่ 4 อายุราว 23 ปี โครงหน้าขาวสะอาดเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม อยู่ในช่วงวัยที่กำลังเบ่งบาน แต่จนปัญญาที่ถูกเครื่องแบบสีมืดทึมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาอย่างยาวนานของโรงเรียนช่างศิลป์รวมทั้งผ้าผูกมวยผมดึงรั้งสีสันอันงดงามไว้

ทฤษฎีอันจืดชืดเคร่งขรึมนี้ ฮวาหว่านฟังจนดวงตาแทบจะปิด

“มีใครเข้าใจประโยคนี้บ้าง”

อาจารย์ลู่พิงที่โต๊ะ น้ำเสียงอบอุ่นแต่แน่วแน่ ปลายเสียงยังเจตนาลากยาวอีกสามส่วน ฮวาหว่านใจเต้น เร่งรีบจะลุกขึ้น สมองก็เลอะเลือนครุ่นคิดถึงประโยคในหนังสือเทียนซูที่อาจารย์ลู่เพิ่งอ่านไป (天书= หรือหนังสือจากท้องฟ้าโดย Xu Bing ศิลปินชาวจีน เนื้อหาคืออักษรจีนแบบดั้งเดิม)

หวังจื่อหรงกลับขยับเก้าอี้ตัวกว้างเปิดทาง ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับไปทางอาจารย์ลู่ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดคงเป็น (บัญญัติของท่านม่อจื้อ) ที่เรียกว่าชำนาญหนึ่ง เทคนิคหนึ่ง วิธีการหนึ่ง ผู้มีทักษะสามารถทำได้ ผู้ไร้ทักษะแม้ว่าไม่สามารถทำได้ หากแต่สามารถเลียนแบบด้านใดด้านหนึ่ง ให้เหมือนกับว่าเป็นของตนเอง ทั้งหมดต่างก็มีวิธีการตามระดับชั้น”

” เข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง คำกล่าวก็ดีมาก” อาจารย์ลู่บีบไม้บรรทัดในมือ บอกใบ้ให้หวังจื่อหรูนั่งลง

ไม่ไกลออกไปใบหน้าของฮวาหว่านฉายประกายความเข้าใจอย่างปรุโปร่งโดยฉับพลัน มองไปยังหวังจื่อหรู่อย่างเคารพนับถือ

อาจารย์ลู่ยังพูดไม่หยุดอีกราวครึ่งชั่วยาม ภาระหน้าที่เอย สัจธรรมเอย การแยกแยะบทประพันธ์อักษรเอย การจัดระเบียบสสารทั้งห้าเอย การแยกแยะบุคคลต่างๆ เหล่านี้ ไม่ง่ายเลยกว่าที่อาจารย์ลู่จะยอมม้วนเก็บหนังสือ หยิบเครื่องดนตรีหยกเขียวออกมาจากชั้น

ฮวาหว่านจึงค่อยมีสติ สนใจจ้องมองเครื่องดนตรีฮู่เซียวลายหยกเขียวนั้น

“วันนี้ ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักหยกเขียว คุณสมบัติของหยกเขียวนั้นเมื่อถืออยู่ในมือจะให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนละมุนละไม แสงมันวาวเมื่อเทียบกับไขมันแกะและนุ่มนวลกว่าหยกขาว คล้ายๆ กับหยกเนื้ออ่อน พวกเจ้าจงพิจารณาหยกเขียวชิ้นนี้อย่างละเอียดหรือจะใช้มือสัมผัสลูบไล้ก็ได้ แล้วลองเปรียบเทียบกับเส้นทอง หินโมรา หินสน ที่อยู่บนโต๊ะของพวกเจ้า

ตอนเช้าเมื่อเข้าห้องเรียน อาจารย์ลู่ก็ให้พวกนางมาตรงชั้นวางที่หน้าห้องซึ่งวางไว้ด้วยวัสดุอุปกรณ์ ทุกคนต้องหยิบถาดไม้เล็กๆ ในถาดไม้เต็มไปด้วยวัตถุที่แตกเป็นชิ้นๆ

ฮวาหว่านหยิบวัตถุแตกนั้นพลิกตรวจสอบ ได้แต่ฝืนใจสามารถเลือกออกมาได้แค่ทอง เงิน ทองแดง ทองคำก้อนชั้นดี ไม้เนื้ิอแข็งสีดำ ไม้จันทน์ดำ ไม้จันทน์ม่วง ไม้ทองคำที่ค่อนข้างง่ายต่อการจำแนกเท่านั้น สำหรับวัตถุจำพวกหยกนั้นไม่มีทางแยกแยะได้อย่างชัดเจน

ฮวาหว่านทางหนึ่งตั้งใจฟังโดยละเอียดอีกด้านหนึ่งก็ใช้มีดแกะสลักถูไปบนวัตถุเพื่อสัมผัสระดับความอ่อนแข็ง

เมื่อคนกำลังจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเวลาก็จะยิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฮวาหว่านยังไม่ทันเสร็จเรื่อง เสียงเคาะย่ำกลองเลิกเรียนก็ดังขึ้นแล้ว อาจารย์ลู่ส่งเสียงร้องก้องกังวานให้หยุดมือ โบกมือบอกให้แยกย้ายเลิกชั้นเรียน

นักเรียนรอบข้างต่างทยอยจากไป เหลือฮวาหว่านโดดเดี่ยวยังนั่งตัวตรงที่หน้าโต๊ะ

ฮวาหว่านรู้ตัวว่าเข้าโรงเรียนช่างศิลป์ช้ากว่าคนอื่นถึงสองเดือน แม้ว่าวิชาธรรมเนียมประเพณี วิชาหนังสือจะไม่ด้อย แต่ก็ยังมีขาดตกบกพร่อง จึงตั้งใจจะไม่ยอมเกียจคร้านแม้เพียงสักนิด ทุกวันจึงมักรั้งอยู่ในห้องเรียนนานกว่าคนอื่นๆ

“ท่านอาจารย์ลู่” ฮวาหว่านกอบถาดไม้เดินไปหาอาจารย์ลู่ที่ข้างโต๊ะ กล่าวอย่างตื่นเต้น

ภายนอกห้องมีลม โชยพัดต้นอิ๋นหวยที่นอกหน้าต่าง จนกิ่งก้านกวัดแกว่งไปมา ตัดทำลายแสงอาทิตย์ที่ส่องบนใบหน้าขาวของฮวาหว่านราวกำลังเต้นรำ ดวงตาของนางนั้นไม่สามารถอธิบายได้และช่างน่างุนงง เพราะนัยน์ตานั้นเปล่งประกายไหวพริบอันเฉียบแหลมที่สว่างโชติช่วงอย่างปิดไม่มิด

ฮวาหว่านเริ่มมองไปทางอาจารย์ลู่ก่อนแล้วจึงยิ้มเหยๆ ที่เจือปนความตื่นเต้น มองดูแล้วทำให้คนมองต้องใจอ่อน

“ท่านอาจารย์ วันนี้ที่ท่านสอนให้พวกเราแยกแยะหยกหินหลายชนิดนั้น ในชั้นเรียนพวกเราลองแล้วลองอีก หยกหินแข็งเกินไป มีดแกะสลักของพวกเราฝากรอยขีดข่วนไว้บนทองและเงินได้ แต่สำหรับหยกแล้วทำอย่างไรก็สลักไม่ได้ เป็นเพราะวิธีการของพวกเราไม่ถูกต้องใช่หรือไม่?

” สลักไม่เข้าคือถูกต้องแล้ว” สายตาอาจารย์ลู่มองไปยังถาดไม้ในมือของฮวาหว่าน “ในเมื่อเจ้าคือคนที่หัวหน้าหลัวแนะนำให้มาที่ี่นี่ อย่างนั้นเจ้าควรรู้ว่าในสำนักหนิงกวงหยวนนอกจากโรงช่างฝีมือแล้ว ยังมีโรงเจียระไนหินอีกนะ”

สำหรับฮวาหว่านแล้ว อาจารย์หลัวมีความประทับใจค่อนข้างลึกล้ำ

ฮวาหว่านคือคนที่หัวหน้าหลัวแห่งสำนักหนิงกวงหยวนส่งมาให้เข้าเรียนเมื่อกลางเทอม แรกเริ่มนางรู้สึกว่าการทำอย่าวนี้ไม่มีมารยาทนัก แต่หลายวันที่ผ่านมานางพบว่าความจริงแล้วฮวาหว่านเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรอย่างมาก โดยเฉพาะมีพรสวรรค์ทางทักษะศิลปะเป็นอย่างมาก เมื่อวันก่อนมีการบ้านแกะสลักท่อนไม้ ฮวาหว่านส่งกิ๊บปักผมไม้ชิ้นหนึ่งขึ้นมา รูปร่างแข็งและละเอียดอ่อนของกิ๊บปักผม เส้นรัศมีเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะเจาะพอดี โดยเฉพาะบนยอดกิ๊บปักผมรูปตัวเอสนั้น นางเอาไปให้เพื่อนอาจารย์พิจารณา ล้วนบอกว่าละเอียดประณีต เพียงแต่ฝีมือการแกะสลักยังต้องเพิ่มระดับขึ้นอีก

ฮวาหว่านส่ายหัวงุนงง “ขอโทษค่ะท่านอาจารย์ ข้าช่างโง่เขลา ไม่รู้ข้อเท็จจริง โรงแกะสลักแห่งนั้นทำสิ่งใดกัน?”

ฮวาหว่านสีหน้าจริงจัง ไม่เหมือนเสแสร้ง อาจารย์ลู่จนใจต้องขมวดคิ้ว นางรู้นานแล้วจึงไม่เคยกล่าวถึงโรงแกะสลัก ตอนนี้ยังคงอธิบายให้รู้เรื่องสสารบ้างสักหน่อย

“หยกหินมีระดับของความแข็งมากกว่าทองและเงิน ปกติมีดแกะสลักจะสลักหินหยกไม่เ้ข้า โรงแกะสลักของสำนักหนิงกวงหยวนชำนาญด้านการแกะสลักโดยเฉพาะ เน้นทำมงกุฎหยก ป้ายหยกห้อย กิ๊บปักผมหยกต่างๆ เหล่านี้ เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าช่างฝีมือของโรงแกะสลักมีไม่น้อยกว่าโรงช่างฝีมืิอ แต่จำนวนของเครื่องหยกของทุกฤดู ยังแค่ถึงหนึ่งในสิบของจำนวนเครื่องประดับหยกของโรงช่างฝีมือก็ถือว่าดีแล้ว การแกะสลักหยกนับว่ายากมาก ในอนาคตหากเจ้าไปอยู่กับหัวหน้าหลัว ยังคงอย่าเพิ่งศึกษาการแกะสลักหยก เจ้าควรเริ่มเรียนรู้เครื่องทองเครื่องเงินเสียก่อน ทางเดินข้างหน้าจะได้ไม่พลาดพลั้ง หากคิดจะโบยบิน จะต้องไม่เร่งร้อนจนเกินไป

ฮวาหว่านถูกกล่าวถึงจนหน้าแดง และหวั่นเกรงอย่างมาก “เป็นข้าเองที่ไม่ประมาณตน”

“แล้วไปเถอะ วันนี้ที่สอนไปล้วนทำได้หรือไม่?” อาจารย์ลู่บิดเอวหยิบกล่องไม้เคลือบเงายาวสีดำที่มีฝาปิดกล่องหนึ่งกับสมุดบันทึกที่เย็บสันเล่มด้วยด้ายอีกเล่มลงมาจากบนชั้น

ฮวาหว่านถามอย่างตื่นเต้น “ได้เกือบหมดแล้ว เพียงแต่ <ม่อจื้อ> กลับฟังไม่ค่อยเข้าใจ

” โอ พวกนั้นรู้หรือว่าไม่รู้ก็ไม่ต้องรีบร้อน” อาจารย์ลู่ส่งกล่องไม้กับสมุดบันทึกให้ฮวาหว่าน” ในกล่องไม้คือมีดแกะสลักรูปทรงแตกต่างกันไปสิบหกเล่ม นักเรียนคนอื่นที่เพิ่งเข้ามาในโรงเรียนช่างศิลป์ได้รับแล้ว ชุดนี้คือของเจ้า ส่วนสมุดบันทึก ข้าได้ยินหัวหน้าหลัวเจ้าใช้หญ้าทำเครื่องประดับหญ้า ในโรงเรียนช่างศิลป์ไม่อนุญาตให้เด็ดดอกไม้ต้นหญ้า หากเจ้ารู้สึกอย่างไรก็ให้วาดรูปลงในสมุดบันทึกนี้ ต่อไปต้องได้ใช้ประโยชน์แน่นอน”

ฮวาหว่านรับมาอย่างดีอกดีใจ นางเปิดกล่องไม้มองดูมีดแกะสลักทั้งสิบหกเล่ม ลักษณะรูปทรงที่แตกต่างกันของมีดแกะสลัก ล้วนชื่นชอบอย่างมาก ที่อาจารย์ลู่ใช้ถ้อยคำสั่งสอนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจกลับหลงลืมไปเสียแล้ว โค้งคำนับอาจารย์ลู่พร้อมกล่าวคำขอบคุณ” ขอบคุณท่านอาจารย์”

“อืม เลิกเรียนแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” อาจารย์ลู่ก้มศีรษะ โบกมือไปทางฮวาหว่าน

ความจริงแล้วมีดสิบหกแบบไม่ได้แจกจ่ายในโรงเรียนช่างศิลป์ หากแต่โรงเรียนจะแจกนักเรียนแค่มีดสลักชุดแปดแบบเท่านั้น แต่ว่าอาจารย์ลู่เล็งเห็นแล้วว่าฮวาหว่านมีคุณสมบัติเพียงพอ และทราบว่าฮวาหว่านจะได้ใช้มันในเวลาอันรวดเร็ว