บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)

บทที่ 13 เพื่อนร่วมห้อง

ฮวาหว่านเอนกายบนเตียงอย่างเลอะเลือนมึนงง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ได้ยินท่วงทำนองเสียงเคาะดังแว่วมาจากภายนอก ปังปังปังเต็มเสียงหกครั้ง

ฮวาหว่านเปิดม่านชะโงกตัวมองผ่านช่องหน้าต่าง เลิกเรียนแล้ว เด็กหญิงกลุ่มหนึ่งเดินตรงมาที่ห้องพัก ฮวาหว่านรีบจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย ยืนเรียบร้อยตรงข้างเตียง ครุ่นคิดว่าหลังจากที่พวกนางเข้ามาแล้ว ควรจะกล่าวคำทักทายอย่างไรดี

ยังไม่เห็นใคร แล้วก็ได้ยินเสียงจงใจหัวเราะแค่น

“หลินซินเมื่อเช้าตอนที่เจ้าออกไปไม่ลงสลักประตูได้อย่างไร?”

ไม่ต้องรอให้หญิงสาวนางนั้นกล่าวกับหลินซินอีก ฮวาหว่านก็เปิดประตูออกมาเสียแล้ว

เด็กสาวสามคนอายุราวสิบสามสิบสี่ปี เด็กหญิงสองคนในนั้นแต่งกายเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว บนศีรษะยังใช้ผ้าสี่เหลี่ยมห่อมวยผม ส่วนคนที่พูดเมื่อสักครู่นี้กลับใช้กิ๊บปักผมสีดำที่ทำจากไม้เนื้อแข็งเสียบผมม้วนขึ้นไป

“อี๊ส์ ที่แท้ก็มีึคนใหม่เข้ามา อายุเท่าไหร่แล้ว” คนที่ปักกิ๊บปักผมสีดำลักษณะคล่องแคล่ว เมื่อเห็นฮวาหว่านแล้วก็แค่แปลกใจชั่วขณะ แต่มิได้หยุดที่จะเปิดประตูเข้ามาในห้องทันที

อีกสองคนมองดูฮวาหว่านแล้วก็ยิ้มๆ ตามเข้าห้องแล้วจึงวางตะกร้าไม้ไผ่ในมือลงบนเตียง

” ข้าเรียกว่าเซี่ยรวูอิง พวกนางคนหนึ่งคือหลินซี อีกคนคือหวังจื่อหลง สาวน้อยแล้วเจ้าล่ะ”

แล้วนางก็ปล่อยมวยผม เซี่ยรวูอิงดึงกิ๊บปักผมวางไว้ตรงชั้นเตี้ย นางสยายผมยาวกระจายไปถึงบั้นเอว แม้แต่หวีก็ไม่หยิบใช้ กลับใช้สองมือสาวบิดตึงเส้นผม ก่อนเกล้ามวยผมขึ้นและยึดตรึงด้วยกิ๊บปักผมไม้สีดำอีกครั้ง

” ข้าเรียกว่าฮวาหว่าน เช้าวันนี้เพิ่งเข้ามาที่โรงเรียนศิลป์ รบกวนพี่สาวทั้งสามแล้ว” ฮวาหว่านกะพริบตา ไม่กล่าวคำเพียงใช้สายตาก้มต่ำสังเกตรูปร่างหน้าตาของคนทั้งสาม

เซี่ยรวูอิงรูปร่างค่อนข้างสูง ทุกส่วนของเครื่องหน้าคล้ายผู้ชายไม่ว่าจะเป็นดวงตา คิ้ว จมูก ปาก หูล้วนแบ่งแยกชัดเจน อากัปกิริยาก็ไม่มีความเขินอาย เวลายกมือยกไม้มีบุคลิกองอาจผึ่งผายเป็นตัวเอง

หลินซีมีรูปหน้ากลม แววตานุ่มนวล เจรจาคล่องแคล่วปราดเปรียว เมื่อแย้มยิ้มตรงแก้มจะปรากฏลักยิ้ม

หวังจื่อหลงที่เดินมาเป็นคนที่สามสุดท้ายนั้นคือหญิงงาม รูปร่างผอมเรียวบางเครื่องหน้าละเอียด ริมฝีปากเม้มบาง ตางามคู่หงส์นั้นยามมองซ้ายขวาสามารถส่องประกายโชติช่วง

“หากแต่เช้านี้เลยช่วงเดือนการสอบของโรงเรียนศิลป์แล้วนี่นา ฮวาหว่านเจ้าเข้ามาได้อย่างไรกัน?” หวังจื่อหลงนั่งลงบนเตียง หยิบกระจกลวดลายต้นกระจับขึ้นมาส่อง ถามอย่างไม่ใส่ใจ

โรงเรียนศิลป์เปิดรับสมัครช่วงเดือนสอง เดือนสามเปิดเรียนอย่างเป็นทางการ รับนักเรียนทั้งหมดสองร้อยคน โดยจากขุนนางหรือคัดเลือกจากเด็กสาวของครอบครัวทั่วไปที่มีพื้นเพสายเลือดดีที่มาสมัคร

เมืิอเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลป์ครบหนึ่งปีเต็ม สำนักอักษรหรือสำนักหนิงกวงหยวนจะมาคัดเลือกผู้ที่โดดเด่น ส่วนพวกกลางๆ ที่เหลือและมีความสามารถทางศิลปะด้านใดด้านหนึ่ง หากไม่มีที่ไป ก็สามารถไปตามร้านด้านนอกหรือโรงงานหัตถกรรมหางานศิลปะที่ถนัดก็ล้วนง่ายดายมาก

เหตุเพราะว่าโรงฝีมือของสำนักหนิงกวงหยวนรับแต่ช่างฝีมือสตรีเท่านั้น สำนักอักษรกลับรับชายหญิงอย่างละครึ่ง โรงเรียนช่างศิลป์จึงรับสมัครคัดเลือกผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยบุรุษนั้นจะถูกจัดให้อยู่ในโรงเรียนช่างศิลป์อีกแห่งหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกันกับพวกฮวาหว่าน แม้กระทั่งห้องเรียน โรงอาหารก็แยกออกจากกันด้วย

ฮวาหว่านสังเกตว่าตนเองมาแบบครึ่งๆกลางๆคล้ายไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงได้แต่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าท่านหัวหน้าแห่งโรงฝีมือของสำนักหนิงกวงหยวนจัดการส่งนางมาที่แห่งนี้

“อย่างนั้นท่านหัวหน้าคงเป็นญาติของเจ้าสินะ? หวังจื่อหลงวางกระจกเอ่ยถามพร้อมเดินมานั่งที่ข้างกายของฮวาหว่าน ทำความสนิทถึงขนาดดึงแขนของฮวาหว่านขึ้น น้ำเสียงถามไพเราะราวนกขมิ้น” ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าของโรงฝีมือเพิ่งมาเมืองได้ไม่นาน เครื่องประดับที่นางทำเองนั้นกล่าวกันว่าวิจิตรงดงามราวฝีมือของเทพสวรรค์ แต่ตัวคนกลับเข้มงวดนัก ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใด”

ฮวาหว่านบีบมือ สองตาเสมองขื่อไม้บนเพดานครุ่นคิดครู่นึงก่อนกล่าว “ข้าเคยพบท่านหัวหน้าหลัวเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มองดูแล้วค่อนข้างเคร่งครัด แต่ว่าเป็นคนที่จิตใจดีงามและมีคุณธรรมมากคนหนึ่ง”

” ที่แท้ก็ไม่ใช่ญาติกันหรอกเหรอเนี่ย” หวังจื่อหรงรู้สึกผิดหวังชัดเจน แต่ว่าก็เปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อเป็นท่านหัวหน้าแนะนำเจ้ามาที่นี่ ใช่หรือไม่ว่าพอเรียนไปได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว เจ้าก็จะสามารถเข้าสำนักหนิงกวงหยวนได้โดยตรงเลย”

” เรื่องนี้….” คิ้วละเอียดดำดั่งควันของฮวาหว่านขมวดขึ้น ท่านหัวหน้าหลัวเคยกล่าวว่าจะให้นางไปอยู่ที่สำนักหนิงกวงหยวน แต่ต้องเมื่อนางเรียนสำเร็จแล้ว เมื่อครุ่นคิดเรื่องราวหลังจากที่สอบผ่านแล้ว ฮวาหว่านได้แต่ส่ายหัว” ข้าเองก็ไม่ยังไม่รู้เลยว่าตนเองมีคุณสมบัติไปหนิงกวงหยวนหรือไม่”

“อ๋ายส์ เจ้าไม่สามารถแน่ใจเหรอ ข้าเองคาดหวังว่าจะสามารถเข้าสำนักหนิงกวงหยวนได้ แต่ว่าสำนักหนิงกวงหยวนจะเลือกคนจากโรงเรียนช่างศิลป์แค่สิบคนเท่านั้น และก็ไม่รู้ว่าปีหน้าข้าจะมีความหวังหรือเปล่า”

ฮว่าหว่านเองก็ไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี ได้แต่กล่าวอย่างเฝื่อนๆว่า” พี่จื่อหรงต้องทำได้แน่นอน” พร้อมยิ้มเหยเกให้

ประกายตาของหวังจื่อหรูมองจ้องหน้าของฮวาหว่าน ใคร่ครวญไปมาอยู่หลายรอบ นางรู้ว่าในคำพูดอ้อมค้อมนั้นฮวาหว่านไม่อยากที่จะพูดออกมา ในใจจึงเริ่มหวาดระแวงและไม่พอใจอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้

หลินกับซีที่อยู่ซ้ายขวามองคนทั้งสอง หัวเราะกล่าว “สำนักหนิงกวงหยวนมีอะไรดี ข้ากับพี่หรูอิงล้วนอยากไปสำนักอักษรนะ”

สำนักอักษรก็เป็นหนึ่งในสำนักภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าการเส้า โดยหลักคือประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้ถ้วยโถโอชามที่ทำจากทองคำและเงินให้กับราชสำนักและเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย เหล่าช่างฝีมือของราชวงศ์ซ่งใหม่ส่วนใหญ่ต่างกระตือรือร้นที่จะไปสำนักอักษร

หลินซีเห็นฮวาหว่านกับหวังจื่อหรงไม่กล่าวคำพูดอีก ก็หัวเราะกล่าว “ใช่แล้ว ฮวาหว่านดูอายุยังน้อย ไม่ทราบว่าปีนี้เจ้าอายุเท่าใดแล้ว”

“ผ่านเดือนเก้าไปข้าก็อายุสิบสามแล้วล่ะ” ฮวาหว่านเห็นว่าหลินซีไม่ได้ถามไม่ได้ถามคำถามที่ยากแก่การตอบอีก เปรียบเทียบแล้วน่าเข้าใกล้มากกว่าหวังจื่อหรงเสียอีก

“มิน่าเล่า ดูอายุน้อยกว่าพวกเราหนึ่งปี”

” พอแล้ว เอะอะจิ๊กๆจั๊กๆจนทำให้คนปวดหัว ยามเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวที่โรงอาหารกันเถอะ” เซียะหรูอิงมองไปยังฮวาหว่าน “ผู้ดูแลโรงเรียนผู้นั้นส่งกล่องอาหารกับแก้วน้ำให้เจ้า?”

ฮวาหว่านพยักหน้ารัว หยิบตะกร้าใบใหญ่ลงมาจากบนชั้น

” อืม ไปกันเถอะ”

อย่างไรเซียะหรูอิงก็เป็นผู้หญิง แต่เหมือนมีพลังบางอย่างที่แฝงออกมา เพียงแค่ไม่กี่ประโยค ฮวาหว่านก็เหมือนถูกสยบ เดินตามหลังเซียะหรูอิงอย่างว่าง่าย ยินยอมเป็นลูกน้องคอยตามหัวหน้า

โรงเรียนช่างศิลป์เป็นโรงเรียนที่ถูกจัดสรรดูแลโดยตรงจากราชสำนัก จึงไม่ขาดเรื่องค่าใช้จ่าย

อาหารการกินในโรงอาหารจึงอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง หมานโถวเอย ซาลาเปายัดไส้เอย ปลาแม่น้ำต่างๆ หมี่น้ำ บะหมี่เย็นทุกชนิดอะไรที่ควรจะมีก็มีอย่างครบถ้วน แค่เพียงฮวาหว่านรู้จักเรียกชื่อถูกก็ล้วนแต่มีหมด

ฮวาหว่านดวงตาแหลมคม แค่มองเห็นคำว่า ‘อาหารพิเศษ’สองคำบนป้ายไม้แค่แว๊บเดียว ก็กุมชามไม้ มองไปทางเซียะหรูอิงสามคนก่อนกล่าวอย่างตื่นเต้น “ตรงนั้นมีซาลาเปาไส้เนื้อปู พวกเรารีบไปหยิบกันเถอะ”

หวังจื่อหรงเหยียดริมฝีปาก ในดวงตาส่องประกายความเหยียดหยามวูบหนึ่ง เซียะหรูอิงยังมีใบหน้าเย็นชา หลินซีกลับรู้สึกเหมือนฮวาหว่าน ยิ้มอย่างชอบใจ “ข้าก็ชอบกินซาลาเปาเนื้อปู ไป เราสองคนไปด้วยกัน”

หวังจื่อหรงมองเงาร่างด้านหลังคนทั้งคู่ พูดที่ข้างหูเซียะหรูอิงว่า “ซาลาเปาเนื้อปูแค่ก้อนเดียวก็ทำให้นางตะกละได้ขนาดนั้น คิดดูแล้วคงไม่ใช่คนที่มาจากตระกูลใหญ่อะไร พูดอะไรว่าหัวหน้าฝ่ายของโรงศิลป์ส่งนางมา เกรงว่าตั้งใจจะหลอกต้มพวกเราแล้วล่ะสิ”

” เจ้าถามนางตามตรงก็ได้นี่นา ลับหลังมาพูดนั่นพูดนี่” เซียะหรูอิงพูดพลางกอบกล่องอาหารไปตักหมี่น้ำ และหยิบซาลาเปาสี่สีมาหนึ่งเข่ง แล้วจึงไปหาโต๊ะนั่งของตนเอง

ปลายพักเที่ยงโรงเรียนช่างศิลป์เกิดเสียงดังขึ้นห้าครั้ง เข้าชั้นเรียนหรือแยกชั้นเรียนก็แล้วแต่เสียงสั่งบังคับ ห้าครั้งเข้า หกครั้งแยก ฮวาหว่านไม่ได้เดินตามเซียะหรูอิงสามคนไปที่ห้องเรียน หากแต่ถูกผู้ดูแลโรงเรียนมารับไป

ภายหลังจากที่ผู้ดูแลโรงเรียนได้สอบฮวาหว่านว่ารู้หนังสือหรือไม่ พร้อมถามว่ามีความรู้ด้านศิลปะมากน้อยแค่ไหน นางก็พยักหน้า ฮวาหว่านแม้จะเข้าเรียนสายกว่าคนอื่นๆ สองเดือนแล้วก็ตาม ทั้งยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่ิองศิลปะดีนัก แต่ดีที่รู้จักหนังสือและธรรมเนียมมารยาทก็เหมาะสม การเรียนของโรงเรียนช่างศิลป์เมื่อสองเดือนก่อน ส่วนมากวางแผนให้เรียนหนังสือและธรรมเนียมประเพณี ดังนั้นถึงแม้ว่าฮวาหว่านจะไม่ได้เรียนก็สามารถตามทัน

หลังจากเดินลัดเลาะเลี้ยววนไปตามห้องหลายห้อง ผู้ดูแลโรงเรียนจึงตัดสินใจให้ฮวาหว่านเข้าชั้นเรียน ที่ 4

กล่าวไปแล้วก็ประจวบเหมาะ เซียะหรูอิงทั้งสามคนก็อยู่ชั้นเรียนที่ 4 เช่นกัน

เมื่อเห็นฮวาหว่าน บนใบหน้าของหลินซีก็ฉายแววดีใจ แอบโบกเรียกนาง ฮวาหว่านยิ้มกลับ ทำตามที่ท่านอาจารย์ของชั้นเรียนที่ 4 จัดการ นั่งลงที่ด้านหลังเบื้องซ้ายของหลินซี