บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)
บทที่ 12 โรงเรียนช่างศิลป์
หลี่จงเหรินรอคอยฮวาหว่านอยู่ตรงถนนนอกอำเภอกวงหยางเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่สองคนพี่น้องพบหน้ากัน ฮวาหว่านจึงบอกเรื่องที่จะโรงเรียนช่างศิลป์กับหลี่จงเหริน เขาเม้มปากสนิท มีเพียง “อืม” แค่คำเดียวแล้วก็ไม่กล่าวอะไรอีก มองไม่ออกว่าบนใบหน้าแสดงอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบอันใดเลย
ฮวาหว่านเพียงคิดว่าพี่ชายไม่สนใจเรื่องของนางอย่างสิ้นเชิง ได้แต่รอให้กลับถึงหมู่บ้านจึงค่อยบอกกับท่านลุงและท่านป้า หากแต่พอนึกถึงว่าจะไม่ได้ไปส่งอาหารให้พี่ชาย และไม่สามารถช่วยอาจารย์ที่สำนักปราชญ์ตักน้ำกวาดลานสวนได้อีก ในใจก็รู้สึกปวดแปลบอยู่บ้าง
“ไม่ได้ เจ้าเพิ่งจะอายุสิบสอง ไปอยู่ในเมืองหลวงตัวคนเดียวข้าไม่วางใจ บ้านของพวกเราถึงแม้ไม่ร่ำรวย แต่ก็ไม่ขาดแคลนสิ่งใด ต่อไปเจ้าก็อยู่อย่างสงบ เครื่องประดับหญ้าก็ไม่ต้องถักแล้ว ตอนกลางวันไม่มีเรื่องมดทำก็ไปหาเซียงลี่เล่นซะ ลุงเลี้ยงเจ้าได้” หลี่ชางม่าวเมื่อฟังว่าฮวาหว่านจะไปโรงเรียนข่าวศิลป์ก็คัดค้านทันที เขาเข้าใจว่าเพราะฮวาหว่านคิดว่าที่โรงเรียนช่างศิลป์ดูแลให้อิ่มท้อง โดยเฉพาะทุกเดือนยังจะมีเงินให้อีกก้อนหนึ่งนางถึงตกลงใจที่จะไป
หายากที่นาวเก๋อซื่อไม่เอ่ยปาก นั่งเย็บผ้าเงียบๆ ใต้แสงตะเกียงน้ำมัน ฮวาหว่านร้อนรนอยู่บ้าง นางไม่อยากพลาดโอกาสนี้ แต่ก็ไม่ยินยอมโต้แย้งให้ท่านลุงเจ็บปวดใจ ทรยศฝ่าฝืนต่อความหวังดีของท่านลุง
หลี่จงเหรินม้วนปิดหนังสือในมือ มองไปทางหลี่ชางม่าวกล่าว “ท่านพ่อ ให้อาหว่านไปเถอะ นางฉลาดเฉลียวจิตใจละเอียดอ่อน ถักเครื่องประดับหญ้าจนได้รับความชื่นชมจากหัวหน้าของสำนักหนิงกวงหยวน ภายหลังเมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนช่างศิลป์ยังสามารถเข้าสำนักหนิงกวงหยวนอีก เรื่องนี้บ้านที่มีบุตรชายบุตรสาวตั้งมากเท่าไหร่ที่พยายามแสวงหาแต่ก็ไม่สามารถทำได้
“สามารถเข้าสำนักหนิงกวงหยวน?” หลี่ชางม่าวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หากว่าสามารถเข้าไปในสำนักหนิงกวงหยวนได้แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ดี ได้แต่ต้องให้ไปแล้ว แถมยังมีโอกาสได้ฐานะนางในวัง อีกทั้งช่างฝีมือของสำนักหนิงกวงหยวนไม่เหมือนนางในทั่วๆ ไป ช่างฝีมือสามารถแต่งงานได้อย่างอิสรเสรี
อย่างนี้เมื่อรอให้ถึงเวลาที่ฮวาหว่านต้องแต่งงาน ในหมู่บ้านจะมีบ้านไหนกันเล่าที่กล้าดูถูกนางอีก
สิ่งที่หลี่ชางม่าวกังวลมากที่สุดยังคงเป็นเพราะฮวาหว่านอายุยังน้อย ให้โตขึ้นอีกสักปีสองปี เขาจะไม่ขัดขวางเด็ดขาด
“ใช่แล้ว ฮวาหว่านบอกกับข้าแล้ว วันนี้หัวหน้าฝ่ายศิลป์ของสำนักหนิงกวงหยวนมาพบนางด้วยตนเอง ยิ่งกว่านั้นเดือนหน้าเจ้าจะต้องไปสอบเข้าที่สถาบันไท่เสว่ เมื่อสอบเข้าได้แล้วก็ต้องอยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน กับอาหว่านจะได้ดูแลกันและกัน” หลี่จงเหรินมองไปที่ฮวาหว่าน
ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะถูกน้ำกระเซ็นใส่ ลุกไหม้จนส่งเสียงซาๆ หยอกล้อแสงไฟจนเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด
นางเก๋อซื่อรีบตะแคงตัวปรับไส้ตะเกียง แสงไฟลุกสว่างขึ้นประทับไปบนตัวของฮวาหว่านทำให้ใบหน้าด้านข้างของนางช่างงดงามเหมือนดอกโบตั๋นยามถูกแสงอาทิตย์อัสดง
“เจ้าสามารถสอบเข้าสถาบันไท่เสว่ได้?” หลี่ชางม่าวรู้สึกคล้ายจะเป็นลม กลับมาวันนี้ เด็กสองคนนี้ก็ไม่หยุดหย่อน จากคนหนึ่งไปรับอีกคน หากเข้าสถาบันไท่เสว่ได้ ก็เท่ากับว่าขาข้างหนึ่งได้ก้าวไปในหนทางชีวิตการเป็นขุนนางแล้ว เด็กทั้งสองของเขา ต่างก็มีอนาคตที่สดใสจริงๆ
” อืม ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าต้องสอบเข้าได้แน่” หลี่จงเหรินนวดนิ้วมือไปมาเพราะว่าใช้เวลาเขียนตัวอักษรมากเกินไปข้อมือจึงเจ็บแปลบอยู่บ้าง เขากลับไปนั่งที่หน้าโต๊ะอีกครั้ง เดิมทีเขาวางแผนจะไปสอบเข้าสถาบันไท่เสว่ในปีหน้า เป็นเช่นนี้จึงมีความมั่นใจขึ้นอีกหน่อย จนปัญญาก็แต่ปีนี้ฮวาหว่านก็ต้องเข้าไปอยู่ในเมืองแล้ว
“ให้เจ้าหว่านไปเถอะ ต่างคนต่างก็มีโชคดีเป็นของตนเอง นางจะได้ไม่บ่นว่าพวกเราที่ไปขวางอนาคตของนาง” นางเก๋อซื่อใช้ปากกันเส้นด้ายที่พันกัน กล่าวเรียบเฉย
“ท่านป้า ข้าไม่เคยกล่าวโทษ…..”
“พอแล้ว พอแล้ว เจ้าเด็กโง่เอ๊ย คนอื่นพูดอะไรก็ถือเป็นจริงเป็นจัง หากเจ้าอยู่ที่โรงเรียนแล้วถูกกลั่นแกล้ง หรือว่าลำบากหรือเหนื่อยเกินไป ก็กลับมาเถอะ บ้านเราไม่ให้เจ้าอดตายหรอก” นางเก๋อซื่อโยนงานเย็บปักลงในตะกร้าสาน” ข้าจะไปเก็บของให้เจ้า พรุ่งนี้จะไปส่งเจ้าเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลป์”
” พรุ่งนี้ข้าก็จะไปส่งอาหว่าน” หลี่จงเหรินเงยหน้าส่งสายตาอย่างจริงจัง
“ไม่ได้” นางเก๋อซื่อน้ำเสียงแข็งขึ้น” พรุ่งนี้บ้านเจ้าเหอจะเข้าเมืองพอดี ข้าสองคนกับเจ้าหว่านพอดีอาศัยเข้าเมืองได้ พอส่งเจ้าหว่านเข้าโรงเรียนศิลป์แล้ว ข้าจะได้ตามบ้านเจ้าเหอกลับหมู่บ้าน ดังนั้นเจ้าสองคนพ่อลูกอย่ามาสร้างความวุ่นวายเพิ่ม ควรทำต้องทำอะไรก็ไปทำกันซะ”
“อ๋ายส์ ก็ได้ อาหว่านเจ้าตัวคนเดียวอยู่ด้านนอกต้องดูแลตัวเองให้ดี” เมื่อถูกนางเก๋อซื่อดุใส่ พ่อลูกจึงได้แต่ยอมประนีประนอมตาม
” อืม พอโรงเรียนหยุดพัก ข้าก็จะกลับมาเยี่ยมท่านลุง ท่านป้า ท่านพี่” ทุกคนต่างก็เห็นด้วย ในใจของฮวาหว่านจึงผ่อนคลายลง ติดตามนางเก๋อซื่อทางด้านหลังไปเก็บเสื้อผ้าบางส่วน
โรงเรียนศิลป์ สถาบันไท่เสว่อีกทั้งหน่วยงานของราชสำนักบางส่วนล้วนอยู่ที่สะพานโจวของฝั่งสะพานเหนือ ส่วนฝั่งสะพานตะวันออกเป็นท่าเรือแหล่งรวบรวมการลำเลียงทางน้ำ ฝั่งสะพานตะวันตกกลับเป็นซ่องโสเภณี สำนักนางโลม และฝั่งสะพานตะวันตกเป็นเขตการค้าขาย
หากไม่ใช่เพราะมีหลายโรงเรียนต่างล้อมรอบด้วยกำแพงดินสูง เกรงว่าเสียงอ่านหนังสือกับเสียงหัวเราะสนุกสนานและเสียงด่าทอของคนในตลาดคงผสมปนเปรวมอยู่ด้วยกันแล้ว
นางเก๋อซื่อจูงฮวาหว่านมารอหัวหน้าหลัวตรงหัวสะพานของสะพานโจวตั้งแต่รุ่งเช้า ผ่านไปราวสิบห้านาที ไกลออกไปก็มองเห็นรถม้าที่มีกระโจมสีแดง ตรงมุมโค้งของรถตกแต่งด้วยพู่ระย้าที่กำลังวิ่งออกมาจากมุมตรอกมุ่งตรงมายังพวกนางช้าๆ
ชิงเหอเปิดผ้าม่านก้าวลงจากรถ ยิ้มให้ฮวาหว่านและนางเก๋อซื่อ “ขอเรียนถามว่าท่านนี้คือผู้ใด?”
“พี่ชิงเหอ นี้คือท่านอาของข้า นางมาส่งข้าไปโรงเรียนศิลป์” ฮวาหว่านยิ้มหวานตอบ
“เข้าใจแล้ว วันนี้ท่านหัวหน้ามีธุระไม่สามารถไปส่งเจ้าเข้าโรงเรียนศิลป์ด้วยตนเองได้ จึงตั้งใจเขียนจดหมายมาด้วยตนเอง กำชับให้ข้าส่งเจ้าไป รีบขึ้นรถม้าเร็วเข้าเถอะ”
นางเก๋อซื่อมือหนึ่งจูงฮวาหว่าน มือหนึ่งลูบเสื้อ นางเห็นตั้งแต่แรกว่าชิงเหอแต่งตัวหรูหรา เข้าใจผิดว่าเป็นคนมีหน้ามีตาในสำนักหนิงกวงหยวน รอจนชิงเหอเปิดม่านรถให้กับพวกนาง นางจึงได้ทราบว่าชิงเหอก็คือสาวใช้ประจำตัวของท่านหัวหน้า มิน่าเล่าเหรินเอ๋อจึงเตือนนางและตาเฒ่าม่าวว่าอย่าทำให้ฮวาหว่านเสียเรื่อง
จากสะพานโจวถึงโรงเรียนศิลป์ห่างกันไม่ถึงสองลี้ หลังจากฮวาหว่านและนางเก๋อซื่อโดยสารรถม้า ม้านั่งนุ่มนิ่มนั่งยังไม่ทันร้อนก็ถึงเสียแล้ว
ชิงเหอหยิบจดหมายที่หัวหน้าหลัวเขียนด้วยตนเองออกมา อย่างรวดเร็วก็มีผู้ดูแลโรงเรียนหญิงออกมาต้อนรับ
พอมาถึงโรงเรียนศิลป์นางเก๋อซื่อก็ไม่สามารถตามเข้าไปด้วยได้แล้ว
นางเก๋อซื่อช้อนตามองเข้าไปไกลๆ ในโรงเรียนศิลป์ อิฐเขียวกระเบื้องเทาเชื่อมโยงต่อกันเป็นห้อง ห้องโถงระเบียงทางเดินล้วนกว้างขวาง มีสวนเล็กๆ กับสระน้ำกว้างถูกล้อมรอบด้วยต้นไม้พุ่มเล็กๆ หลากหลายพันธุ์ บางครั้งก็มีคนเดินผ่านระเบียง ล้วนเป็นเด็กสาว ต่างสวมใส่ชุดลำลองย้อมสีเขียวครามที่แขนเสื้อกว้างพอดีตัว มีแถบผ้าปิดทับตรงคอปกทั้งสองข้าง คงเป็นลักษณะของนักเรียนหญิง
มองออกว่าการเรียนในโรงเรียนศิลป์คงเข้มงวดมาก เมื่อเป็นเข่นนี้นางเก๋อซื่อจึงค่อยวางใจ
พูดคุยกำชับฮวาหว่านไม่กี่คำ นางเก๋อซื่อจึงมอบฮวาหว่านให้ชิงเหอและผู้ดูแลโรงเรียน ส่วนตนเองเดินจากไปตามหาคนบ้านเหอ
ขุนนางผู้ใหญ่ของโรงเรียนศิลป์คือต้าซือเฉิง จดหมายของหัวหน้าหลัวถูกส่งถึงมือของต้าซือเฉิงโดยตรง ฮวาหว่านไม่รู้เลยว่าในจดหมายของหัวหน้าหลัวเขียนข้อความอันใดไว้ รู้เพียงว่าเมื่อต้าซือเฉิงอ่านจดหมายจบแล้ว ก็ชำเลืองมองนางอย่างเย็นชาวูบหนึ่ง แล้วจึงให้ผู้ดูแลโรงเรียนจัดการเรื่องในโรงเรียนทุกเรื่องให้กับนาง
หลังจากที่ลงทะเบียนเสร็จก็ควรต้องไปห้องพักแล้ว ชิงเหอพลันดึงชายเสื้อของฮวาหว่าน นางจึงเงยหน้ามองชิงเหอ
ดวงตาที่ช่างใสสะอาด
ชิงเหอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนที่หยิ่งยโสอย่างหัวหน้าหลัวจึงให้ความสำคัญกับเด็กน้อยนางนี้ ทั้งยัวช่วยเด็กน้อยจัดการเรื่องตั้งมากมายอย่างนั้น ดวงตาทั้งคู่เฉียบแหลมปราดเปรื่อง จิตใจของฮวาหว่านเองก็ใสสะอาดยิ่ง เป็นคนมีความสามารถที่ความคิดไม่ฟุ้งซ่านหากแต่สามารถจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นอย่างดี อย่างนี้ถึงจะสามารถทำเรื่องใดๆให้สำเร็จลุล่วงได้
“พี่ชิงเหอเป็นไรแล้ว?” ฮวาหว่านถามอย่างตื่นเต้น
ชิงเหอหัวเราะ “เวลาไม่เข้าแล้ว ข้าควรจะกลับไปรายงานท่านหัวหน้าได้แล้ว ภายหลังหากมีเรื่องอันใด เขียนจดหมายหรือไปหาข้าที่สำนักหนิงกวงหยวนได้โดยตรงเลยนะ”
ฮวาหว่านรีบม้วนกายทำความเคารพชิงเหอ “พี่ชิงเหอท่านรีบกลับเถอะ วันนี้รบกวนท่านมามากแล้ว ข้ายังอยากขอร้องท่านให้กล่าวคำขอบคุณต่อท่านหัวหน้าหลัวแทนข้าด้วย”
“ได้สิ” ชิงเหอลูบศีรษะฮวาหว่าน หันไปทำความเคารพผู้ดูแลโรงเรียนตามกฎ
ฮวาหว่านพักในหอสี่ หนึ่งห้องสี่คน สี่เตียงที่เรียงตามสี่มุมของห้อง บนเตียงเพียงวางไว้ด้วยผ้าห่มเรียบง่าย
” ตอนกลางวันเจ้าก็ทำความคุ้นเคยโดยรอบก่อนแล้วกัน ตอนบ่ายข้าค่อยพาเจ้าไปที่ห้องเรียน” ผู้ดูแลโรงเรียนให้คนนำเสื้อผ้าเครื่องแบบสีครามมาให้ฮวาหว่าน ก่อนที่จะจากไปยังแนะนำกฎระเบียบในโรงเรียนให้นางอีกด้วย
หลังจากฮวาหว่านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ยังไม่กล้าเดินเพ่นพ่าน ได้แต่นั่งบนเตียงของตนเองอย่างมึนงง รอคอยเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนเลิกเรียนกลับมา……