บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)

บทที่ 11 ไม่รู้จักประมาณตน

ก่อนขึ้นเฉลียง ฮวาหว่านหันกลับไปมองภาพเบื้องหลังของอาจารย์อู๋อย่างสงสัย

ชิงหัวดูออกว่าฮวาหว่านรู้สึกแปลกใจในตัวอาจารย์อู๋ จงใจผ่อนฝีเท้าช้าลง เข้าใกล้ฮวาหว่านอีกหน่อย กล่าวเสียงต่ำ “แม่นางฮวา ท่านอาจารย์อู๋ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่านางงามกล้วยไม้อู๋ เป็นคนฝั่งจัตุรัสบนของโรงฝีมือ ในขณะเดียวกันก็เป็นหลานสาวของรองเจ้าสำนักหนิงกวงหยวน

ฮวาหว่านเบิ่งตากลมโตคู่งาม คล้ายกับว่านางเข้าใจอะไรบ้างแล้ว เพียงแค่ชิงเหอไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน นางเองก็ไม่สามารถเดาสุ่มสี่สุ่มห้าได้ จึงถามคล้อยตามชิงเหอ “พี่ชิงเหอ จัตุรัสบนนั้นคืออะไรหรือคะ?”

ชิงเหอปิดปากหัวเราะ “แค่คำพูดสองสามคำคงกล่าวไม่ชัดนักหรอก รอไว้ให้เจ้าอาศัยความสามารถที่แท้จริงเข้ามาที่โรงฝีมือนี้ให้ได้เสียก่อน ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองแล้วล่ะ”

ก่อนหน้านี้นางได้ฟังสิ่งที่หัวหน้าหลัวกับฮวาหว่านสนทนากันนั้น ชิงเหอเองก็พอดูออกว่ามีเจตนาที่จะโอบอุ้มฮวาหว่านให้เจริญก้าวหน้า หากว่าฮวาหว่านขยันหมั่นเพียร นางอบรมที่โรงเรียนศิลป์คงไม่ต้องถึงหนึ่งปีกระมัง หากพื้นฐานนางแข็งแรงแล้ว ก็คงถูกท่านหัวหน้าไปรับมา

ฮว่าหว่านติดตามชิงเหอ ฝีเท้าไปตามทางเดินอย่างว่องไว นางคิดว่าสามารถได้เรียนในชั้นเรียนศิลปะ และคาดหวังว่าจะได้เข้าไปอยู่ในสำนักหนิงกวงหยวน หัวหน้าหลัวท่านนั้นเป็นคนดีผู้หนึ่ง เห็นว่านางเสื้อผ้าเปียกปอน ยังมีจิตใจละเอียดรอบคอบไต่ถามว่าอยากเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบของสำนักหนิงกวงหยวนหรืือไม่

ฮวาหว่านครุ่นคิดเสื้อผ้าใกล้แห้งแล้ว อีกทั้งยังไม่ลำบากมากนัก นางเองก็ไม่อยากให้วุ่นวายผู้อื่นหรือให้กลายเป็นที่ดูถูก ครั้นแล้วจึงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

ฮวาหว่านและชิงเหอยังไม่ทันจะสนทนาต่อความกันอีก นางงามกล้วยไม้อู๋ท่านนั้นก็เข้าไปในห้องหัวหน้าหลัวเสียแล้ว

หัวหน้าหลัวลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เจ้ามามีเรื่องอันใด? หากไม่มีธุระ ก็กลับไปทำงานเสีย”

นางงามกล้วยไม่อู๋เดินเข้าหาหัวหน้าหลัวอย่างช้าๆ ย่อกายทำความเคารพที่เบื้องหน้า แล้วจึงหยิบตลับไม้สีแดงออกมาจากกระเป๋าผ้ารูปดอกบัว “ท่านหัวหน้าหลัว สิ่งนี้คือชาขาวที่ท่านอาส่งมาให้ข้า เห็นว่าตลับเล็กนัก ข้าเสียดายที่จะกิน จึงตั้งใจมามอบให้ท่านหัวหน้าเพื่อแสดงความเคารพกตัญญู” (白毫银针 = เข็มเงินสีขาว คือชาขาวชนิดหนึ่งของจีน มีมาในแถบมณฑลฝูเจี้ยน มีลักษณะคล้ายเข็มเงินสีขาว สรรพคุณเป็นยาป้องกันหวัด ลดไข้ แก้พิษ และยังบำรุงกระเพาะอาหารอีกด้วย)

หัวหน้าหลัวแค่นเสียงไม่หนักแต่ก็ไม่เบานัก นางกล้วยไม้งามนี้ยังไงก็คือหลานสาวของรองเจ้าสำนักหนิงกวงหยวน

มีท่านอาเป็นถึงรองเจ้าสำนัก จึงได้รับผลประโยชน์จากคนมากมายอย่างไม่มีสาเหตุ ในโรงฝีมือแห่งนี้เองก็เถอะยังมีช่างฝีมือไม่น้อยเลย ที่คอยล้อมรอบตัวนาง

ตรงจุดนี้หัวหน้าหลัวเองก็ยังไม่เคยชิน ในสำนักหนิงกวงหยวนควรให้ความสำคัญกับฝีมือ จะให้เรื่องความสัมพันธ์มาเกี่ยวข้องได้อย่างไรกัน

แต่โดยปกติแล้วนางเองก็ไม่เคยกลั่นแกล้งนางงามกล้วยไม่อู๋นางนี้ นางเองก็ไม่อยากทำให้รองเจ้าสำนักอู๋ระคายใจจนเพิ่มเรื่องวุ่นวายให้ตนเองเช่นกัน จึงปล่อยให้เป็นเช่นนี้เอง

“มีคำพูดใดก็เอ่ยออกมาตรงๆ” หัวหน้าหลัวเดินไปที่โต๊ะเล็กหยิบเครื่องประดับหญ้าขึ้นเล่น

นางงามกล้วยไม้สายตาหลุกหลิกไม่อยู่นิ่ง มองดูซ้ายขวาไม่ทราบว่ากำลังมองหาสิ่งใด “ท่านหัวหน้าหลัว ข้าได้ยินมาว่ามเหสีจางยังไม่ได้สั่งทำเครื่องประดับผมในงานเทศกาลสารทจีน ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้ามอบภารกิจนี้ให้ผู้ใดกันคะ”

มเหสีจางตอนนี้เป็นที่โปรดปรานที่สุดในวังหลัง เป็นบุคคลที่ฮ่องเต้รักใครจนสุดหัวใจ

แล้วใครกันเล่าที่ไม่อยากจะอยู่ต่อหน้าบุคคลสูงศักดิ์เช่นนี้?

นางงามกล้วยไม้อู๋แม้ว่าจะมีท่านอารองเจ้าสำนักเป็นเสาหลักอยู่แล้ว และสามารถหลงเข้ามาทำงานในจัตุรัสบนของโรงฝีมือได้ก็จริง หากแต่มาจนถึงทุกวันนี้นางยังไม่สามารถโชว์ฝีมือสักอย่าง ยังไม่มีเครื่องประดับให้คนจับตามองอย่างยกย่อง เรื่องอับจนปัญญาอีกคือแม้แต่ตัวนางงามกล้วยไม้เองก็ไม่รู้ว่าตนงเองยังขาดฝีมือ เพียงแต่คิดเอาเองว่าที่ขาดคือโอกาส

หัวหน้าหลัวยื่นมือรับตลับไม้ นางบิดฝาจุกดมแล้วดมอีก คือชาชั้นดี น่าเสียดายที่คนส่งชาจิตใจว้าวุ่น ดังนั้นน้ำชาที่ต้มแล้วพอดื่มเข้าไปคงไม่มีรสชาติอันใด

“รูปแบบของกิ๊บปักผมกำหนดไว้แล้ว” หัวหน้าหลัวลุกเดินไปที่ห้องหนังสือหยิบกระดาษวาดโครงร่างของภาพกลุ่มเมฆซ้อนลายหกผสานออกมา

นางงามกล้วยไม้ดีอกดีใจ ที่จะได้รับรูปแบบที่ไม่ยากนัก “ท่านหัวหน้า กิ๊บปักผมอันนี้ให้ข้าทำดีหรือไม่”

“อืม? เจ้าทำได้?” คำกล่าวไม่กี่คำของหัวหน้าหลัวออกจะเย็นชา แถมยังกล่าวตามตรง “เจ้าคงรู้ว่านี่เป็นแค่ตัวฐาน มเหสีจางยังต้องการให้บนก้อนเมฆยืนไว้ด้วยหงส์เหิน! ตัวเจ้ามีฝีมือละเอียดประณีตพอที่จะเชื่อมผสานหงส์เหิน แถมยังต้องประสานเมฆให้ได้เจ็ดโพรงเป็นกลุ่มแผ่นเมฆ เจ้าล้วนไร้ฝีมือพอที่จะติดฝังอัญมณีลงไปได้หรอกนะ”

นางงามกล้วยไม้พอได้ฟังว่าต้องประดิษฐ์ตัวหงส์เหินไว้บนยอด ใบหน้าก็เปลี่ยนสี ในใจอยากจะถอยกายออกไป แต่ปากยังคงกล่าว” ท่านหัวหน้ากล่าวล้อเล่นแล้วกระมัง อย่างไรข้าก็คือคนของจัตุรัสบน ฝีมือการฝังเชื่อมไหนเลยจะด้อยฝีมือ”

” ในเมื่อเจ้าพูดว่าฝีมือไม่ด้อย อย่างนั้นข้าขอถามเจ้า ก่อนหน้านี้เหตุใดทับทิมของหางนกกระจอกบนปิ่นพู่ห้อยของพระสนมเอกสวีถึงได้ร่วงลงมา” หัวหน้าหลัวจ้องหน้านางงามกล้วยไม้อย่างไม่ท่าทางที่ดี

ปิ่นพู่ห้อยที่มีหางนกกระจอกนั้นเป็นหัวหน้าหลัวออกแบบเอง แม้จะเรียบง่ายแต่ก็มีความละเอียดประณีต ปิ่นพู่ห้อยอันละเอียดอ่อนงดงามนั้นเหมาะสมกับพระอุปนิสัยเฉพาะตัวของพระสนมเอกสวียิ่งนัก

พระสนมเอกสวีถูกใจภาพวาดโครงร่างของกิ๊บปักผมของหัวหน้าหลัวยิ่งนัก จึงตั้งใจให้นำแผ่นเหรียญทองคำที่พระมารดาของนางมอบไว้ให้ และนำติดตัวเข้าวังมาด้วยนั้น มอบให้หัวหน้าหลัวนำทับทิมแดงเม็ดเล็กเท่าปลายนิ้วฝังประดับลงบนเหรียญ แล้วค่อยนำไปตกแต่งตรงปลายของปิ่นพู่ห้อยที่ตรงปลายหางนกกระจอก

เหตุเพราะว่าการทำปลายของหางนกกระจอกค่อนข้างง่าย หัวหน้าหลัวจึงมอบหน้าที่นี้ให้นางงามกล้วยไม้อู๋ของจัตุรัสบน คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ถวายปิ่นพู่ห้อยให้พระสนมเอกสวีแล้ว พระองค์สวมใส่ยังไม่ถึงสองครั้ง ทับทิมนั้นกลับร่วงหล่นลงมาหาอย่างไรก็ไม่พบ

หากไม่ใช่เพราะว่าหัวหน้าหลัวหวาดกลัวจนต้องไปสารภาพและขอรับโทษอย่างจริงใจแล้วล่ะก็ มิเช่นนั้นพระสนมเอกสวีคงไม่พูดจาด้วยดี เรื่องนี้จึงยากที่จะมีความดีความชอบ สำนักหนิงกวงหยวนเองก็ต้องแบกความรับผิดชอบนี้ไว้

นางงามกล้วยไม้มุมปากกระดกขึ้นกระซิบกระซาบเสียงเบา “พระสนมสวีตอนนี้ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แล้ว แค่ใช้ความคิดนิดๆหน่อยๆ ทำปิ่นพู่ห้อยให้พระสนมสวีก็พอ ไม่สู้ไปสืบถามให้มากหน่อยว่ามเหสีจางต้องการอะไรบ้าง”

นางงามกล้วยไม้คิดว่าหัวหน้าหลัวคงฟังไม่ชัดเจน แต่ว่าหูของหัวหน้าหลัวแหลมคมนัก

หัวหน้าหลัวยิ้มเย็นชา” ยังจะมาพูดอีกคนในวังทั้งหลายผู้ใดกันที่ไม่ใช่เจ้านาย ยังมีพวกเราเหล่าช่างฝีมือรู้จักเพียงแต่ศิลปะไม่รู้จักผู้คน” เมื่อพูดจบหัวหน้าหลัวก็ยืนขึ้น มองไปทางด้านนอกห้อง ขี้เกียจจนไม่อยากเหลือไมตรีจิตระหว่างกันอีก “เจ้าเองก็ไปพิจารณาตนเองให้ดีว่าทำผิดที่ใดบ้าง มิเช่นนั้นอย่ามาตำหนิข้าว่าทำให้เจ้าต้องหล่นไปอยู่ในจัตุรัสล่าง”

หน้าของนางงามกล้วยไม้บัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว โกรธเคืองจะแทบจิกเท้า นางยังมีท่านอาอยู่ ไหนเลยจะกลัวคำขู่ของหัวหน้าหลัว เกรงว่าหัวหน้าหลัวที่เพิ่งมาอยู่สำนักหนิงกวงหยวนไม่ถึงครึ่งปีนางนี้กำลังอิจฉานาง

ช่างไม่รู้อะไรเสียจริง นางคงต้องหาเวลาว่างไปพบท่านอาเพื่อปรึกษาเรื่องนี้เสียแล้ว

ฮวาหว่านถึงร้านสมุนไพรหอมก็ปลายยามเที่ยงแล้ว เพราะว่าฮวาหว่านกลับมาช้าไปจึงไม่ค่อยชอบใจอยู่บ้าง

ภายหลังจึงรู้ว่าฮวาหว่านส่งของตรงตามเวลา เพียงแต่ท่านหัวหน้าสนใจเครื่องประดับหญ้าเป็นอย่างมาก ครั้นพอภายหลังที่นางบอกเล่าเรื่องราวที่โรงฝีมือสองสามประโยค สีหน้าของเถ้าแก่อันจึงผ่อนคลายลง ในคำพูดยังปะปนไปด้วยคำชมเชย

“เถ้าแก่อัน ภายหลังข้าน้อยไม่สามารถส่งเครื่องประดับหญ้าให้ท่านได้อีกแล้ว ท่านหัวหน้าหลัวให้ข้าไปโรงเรียนช่างศิลป์เพื่อเรียนการทำเครื่องประดับของจริง ช่วงเวลาที่ผ่านมาเหล่านี้ข้าน้อยต้องขอขอบคุณที่เถ้าแก่อันดูแลข้าน้อยมาโดยตลอด” ฮวาหว่านโค้งคำนับเถ้าแก่อัน หากในคำพูดไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่อันจูทำห่อผ้าตกน้ำแต่อย่างใด

” มิได้ มิได้ เป็นลุงอันที่จะต้องยินดีกับหนทางที่สดใสของเจ้าต่างหาก โรงเรียนช่างศิลป์อยู่ในเมือง จำไว้ว่าหากมีเวลาเจ้าก็มาเยี่ยมลุงอันบ้างล่ะ” ในใจเถ้าแก่อันถึงแม้จะเสียดาย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสูญเสียอันใด โดยเฉพาะเด็กน้อยฮวาหว่านฝีมือปราดเปรียวว่องไว นิสัยก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน หลังจากที่เข้าสำนักหนิงกวงหยวน คงเป็นที่รักใคร่ของผู้สูงศักดิ์ได้โดยง่าย ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะได้ใช้ประโยชน์จากฝีมือสูงส่งของนางเป็นแน่

เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเถ้าแก่อันจึงกล่าวขึ้นอีก “เด็กน้อยฮว่า ครอบครัวของเจ้าล้วนอยู่ที่หมู่บ้านหยุนเซียว เจ้าตัวคนเดียวอยู่ในเมืองหลวงอาจพบความยากลำบาก แม้ว่าเจ้ามาหาลุงอัน ลุงอันจะช่วยเจ้าอย่างสุดกำลัง”

ฮวาหว่านซาบซึ้งใจมาก อันจูเป็นเด็กดื้อรั้นหัวแข็ง แต่เถ้าแก่อันเป็นคนดีมาก “อืม! ขอบคุณท่านลุงอัน”

เถ้าแก่อันให้คนงานจูงรถลาดำมาให้ฮวาหว่าน รถลาสีดำซ่อมเรียบร้อยแล้ว ฮวาหว่านกล่าวคำขอบคุณเถ้าแก่อันอีกครั้ง เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงไม่กล้าอยู่นาน หลังจากกล่าวคำอำลานางจึงโดยสารรถลาจากไป

บนชั้นสองของศาลาสุคนธรสตรงช่องหน้าต่างที่ติดกับถนนถูกดันออกเป็นช่อง ในช่องโผล่มาด้วยใบหน้าอ้วนกลมของอันจู ดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กราวเส้นถั่วงอก ที่บัดนี้กำลังหลบซ่อนเส้นใยของความเลื่อมใสศรัทธาอยู่ภายใน