“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน!”
อวี้เฟยเยียนพอได้เปิดเผยฐานะ มีพี่น้องกับเขาเข้าหน่อยก็ หันไปเข้าข้างพวกเดียวกันเองทันทีเลยเชียวนะ เชียนเย่เสวี่ยยคิดได้เช่นนั้นก็เริ่มส่งค้อนปะหลับปะเหลือกให้กับสหายรักวงใหญ่ ก่อนจะตะโกนออกมาดังลั่นว่า
“ข้าบอกว่าข้าเต็มใจ! ได้ยินชัดหรือยัง?”
คราวนี้ เชียนเย่เสวี่ยถึงกับตะโกนเสียงดังสนั่นเสียจนหูของตี้อู่เฮ่ออี้สะเทือนกันทีเดียว
แต่ตี้อู่เฮ่ออี้ก็ไม่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มออกมาราวกับเด็กๆแล้วตรงเข้าอุ้มเชียนเย่เสวี่ยขึ้นมาทันที
“ข้าได้ยินแล้ว! ข้าดีใจที่สุดเลย!”
ตี้อู่เฮ่ออี้อุ้มเชียนเย่เสวี่ยหมุนไปรอบๆ เขากำลังใช้วิธีการนี้แสดงถึงความดีใจของตนเองออกมา
“เจ้าทึ่ม รีบวางข้าลงเร็วเข้า!”
เห็นหน้าตาท่าทางล้อเลียนของอวี้เฟยเยียน เชียนเย่เสวี่ยก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก
นางเป็นหญิงอกสามศอกผู้แข็งแกร่งนะ!
แต่วันนี้นางไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย!
“ไม่ปล่อย!”
หมุนอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดตี้อู่เฮ่ออี้ก็วางเชียนเย่เสวี่ยลง เขาหยิบแผ่นหยกรูปน้ำเต้าออกมาด้วยความดีใจแล้วมอบมันให้กับเชียนเย่เสวี่ยต่อหน้าซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียน
“นี่เป็นของหมั้นหมาย และขอให้น้องสาวและน้องเขยของข้าเป็นพยาน!”
อีกฝ่ายมอบของหมั้นหมายแทนใจให้แล้ว เชียนเย่เสวี่ยจึงหยิบแผ่นหยกรูปมังกร ให้กับตี้อู่เฮ่ออี้ด้วยความหนักแน่นเช่นกัน
“เจ้าทึ่ม ข้าจะไม่ทนหากมีอะไรมาเกาะแกะเจ้าแม้เพียงสักนิดเดียว! และหากวันใดเจ้าทรยศข้าหรือว่ามีหญิงอื่นละก็ ข้าจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับเจ้าเสีย!”
คำพูดนี้ ช่างเหมาะสมกับนิสัยใจคอของเชียนเย่เสวี่ยยิ่งนัก
แต่เล็กจนโตนางชินชาเสียแล้วกับการที่เชียนลั่วเฉิงมีเมียเล็กเมียน้อยไปทั่ว ชินชาเสียแล้วกับการที่ฉู่ฮองเฮามารดาของนางต้องหลั่งน้ำตา ดังนั้นนางจะไม่ยินยอมให้ตนเองก็ต้องกลายเป็นฉู่ฮองเฮาคนที่สองอย่างแน่นอน
“ผู้ชายของข้าจะมีข้าได้เพียงคนเดียว! หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าได้รับปากข้าเป็นอันขาด!”
ตี้อู่เฮ่ออี้ไหนเลยจะเคยมีความคิดเช่นนั้น
คนๆหนึ่งมีหัวใจเพียงดวงเดียว มีรักได้เพียงรักเดียว ไม่สามารถมีใครอีกคนอื่นได้อีก!
อีกอย่างการตายของฉู่ฮองเฮาก็กลายเป็นเงาดำที่คอยหลอกหลอนในจิตใจของเชียนเย่เสวี่ยมาโดยตลอด เขาจึงมีแต่จะรักนาง ปกป้องนางให้มากเสียด้วยซ้ำไป
แล้วจะใช้วิธีการที่นางรังเกียจที่สุดมาทำร้ายนางได้อย่างไรกัน!
ตี้อู่เฮ่ออี้รีบส่ายหน้าทันทีทันใด
“ไม่มีวัน! หัวใจของข้ามีเพียงเจ้า ตอนนี้เป็นเช่นนี้และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป!”
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น”
ในที่สุดก็ทำให้ตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยแน่ใจในความรู้สึกและลงเอยกันได้เสียที อวี้เฟยเยียนจึงชักชวนพวกเขาฉลองด้วยการอยู่กินหม้อไฟด้วยกันในมื้อเย็นเสียเลย
คนทั้งสี่ตกลงกันว่าจะเดินทางไปที่เมืองอู๋โยวพร้อมกัน ดังนั้นตี้อู่เฮ่ออี้และเชียนเย่เสวี่ยจึงย้ายเข้ามาอยู่ที่จวนหลินเจียงอ๋องด้วยกันให้เรียบร้อย
เพียงพริบตา เวลาก็ล่วงเลยไปถึงเทศกาลปีใหม่
ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับอนุญาตให้ซย่าโหวฉิงเทียนได้หยุดพักยาวเป็นพิเศษ เพื่อให้เขาได้มีเวลาอยู่กับภรรยาอย่างเต็มที่ เพื่อความสุขของเขาลูกชายและลูกสะใภ้
จวบจนกระทั่งคืนวันก่อนขึ้นปีใหม่ ฮ่องเต้จึงได้พบซย่าโหวฉิงเทียนอีกครั้ง
“ดี อ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นมาก!”
ซย่าโหวจวินอวี่กำลังหรี่ตามองดูลูกชายที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าเขามาก ด้วยความพึงพอใจ
“มีคนคอยดูแลสินะ ย่อมไม่เหมือนกับแต่ก่อนอยู่แล้ว!”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
เมื่อฮ่องเต้ทรงเอ่ยชม ซย่าโหวฉิงเทียนจึงตอบรับไปโดยไม่มีท่าทีเกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“เจ้านี่นะ——”
ซย่าโหวจวินอวี่ส่ายหน้าเบาๆแล้วมองเลยไปหาอวี้เฟยเยียน ซึ่งสายพระเนตรของพระองค์ก็เพ่งมองไปที่ท้องน้อยของนางก่อนเป็นอันดับแรก ราวกับว่าสายพระเนตรของพระองค์มีรังสีเอ็กซเรย์ที่สามารถมองทะลุเข้าไปด้านใน จึงกำลังดูว่ามีเจ้าซาลาเปาน้อยหรือไม่ อย่างไรอย่างนั้น
“เฟยเยียน หากฉิงเทียนทำให้เจ้าโกรธเคืองละก็เจ้าบอกข้าได้เลยทันที ข้าจะสั่งสอนเขาให้เอง!”
“ฉิงเทียนดีกับหม่อมฉันมากเพคะ!”
อวี้เฟยเยียนยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
“พวกเจ้าสุขสบายดี ข้าก็ดีใจ!”
ในตอนนั้นเองเซี่ยงจิ้นก็ยกน้ำชาเข้ามา อวี้เฟยเยียนจึงรับถ้วยมาถือเอาไว้แล้วคุกเข่าลงบนพื้นพรหมตรงหน้า
“เสด็จพ่อ เชิญดื่มน้ำชาเพคะ!”
คำเรียก ‘เสด็จพ่อ’ ทำให้ซย่าโหวจิวนอวี่ปลาบปลื้มใจจนน้ำตาจวนเจียนจะไหล
เขารอคอยมาตั้งหลายปี ในที่สุดก็ได้ดื่มน้ำชาของลูกสะใภ้เสียที!
“ดีๆ เจ้าช่างเป็นเด็กดียิ่งนัก!”
ว่ากันตามธรรมเนียมของชาวบ้าน ฮ่องเต้ที่เป็นพ่อสามีได้ดื่มน้ำชาจากลูกสะใภ้ครั้งแรก ก็ต้องมอบเงินขวัญถุงให้กับอวี้เฟยเยียนหนึ่งซอง
“ขอให้พวกเจ้ารักกันยืนนาน มีลูกในเร็ววัน! ข้ารออุ้มหลานอยู่นะ!”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
อวี้เฟยเยียนเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของซย่าโหวจวินอวี่ดี พระองค์รักซย่าโหวฉิงเทียนมาก ซย่าโหวฉิงเทียนคงจะไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและสุขสบายทุกอย่างเฉกเช่นทุกวันนี้ได้ หากปราศจากความรักและการปกป้องคุ้มครองจากฮ่องเต้
หลังจากยกน้ำชาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้เอ่ยถึงเรื่องที่ว่าหลังจากเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไปเขาและอวี้เฟยเยียนจะเดินทางไปที่เมืองอู๋โยวขึ้นมา
เมื่อครู่ฮ่องเต้ยังทรงดีพระทัยอยู่เลย มาคราวนี้กลับเศร้าหมองเสียแล้ว
“ข้ารู้ดีว่าพวกเจ้าจะต้องไปที่เมืองอู๋โยวในสักวัน! ที่นี่รั้งพวกเจ้าเอาไว้ไม่ได้!”
ซย่าโหวจวินอวี่ทำท่าจะร้องไห้
แม้ว่าพระองค์จะคาดการณ์เอาไว้ตั้งนานแล้วว่าชีวิตของคนทั้งคู่ไม่ได้ถูกลิขิตมาให้ดำเนินไปอย่างปกติสุขเรียบง่าย แผ่นฟ้าของหลัวอวี่คงจะรั้งซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเอาไว้ไม่ได้ แต่เมื่อมาได้ยินซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยปากออกมาจริงๆฮ่องเต้ทรงอดที่จะเสียใจไม่ได้
มอบแผ่นดินหลัวอวี่ให้กับซย่าโหวฉิงเทียน เป็นเพียงความปรารถของเขาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นสินะ
อินทรีย์ต้องการท้องฟ้าที่กว้างใหญ่เพื่อกางปีกโบยบิน เขาไม่ควรที่จะขัดขวางอนาคตของลูกๆ
“พวกเจ้าอายุยังน้อย ยังมีอนาคตอีกยาวไกล”
ราวกับซย่าโหวจิวนอวี่แก่ชราลงไปในฉับพลัน เขารู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงลุกขึ้นแทบไม่ไหว
“เสด็จพ่อ พวกเราจะกลับมาเยี่ยมพระองค์อย่างแน่นอน!” อวี้เฟยเยียนปลอบโยนเสียงแผ่วเบา
“อย่าทรงเสียพระทัยไปเลยเพคะ! “
“ข้าเปล่าเสียหน่อย! ข้าดีใจต่างหาก!”
ลูกชายของเป็นถึงจอมเทวา ลูกสะใภ้คือปรมาจารย์ ลูกๆยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เขาที่เป็นพ่อ ควรจะรู้สึกภาคภูมิใจถึงจะถูก
“พวกเจ้าอายุยังน้อย ควรจะออกไปเผชิญโลกให้มาก มันก็ถูกต้องแล้ว! ไม่ควรแต่จะมากักตัวอยู่ที่คับแคบเช่นนี้ ข้าสนับสนุนพวกเจ้า!”
ต่อให้ในพระทัยจะอาลัยอาวรณ์เพียงใด แต่ซย่าโหจวินอวี่ก็ยังสนับสนุนซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนอยู่ดี
ไล่ตามความฝันคือคุณสมบัติพื้นฐานที่คนหนุ่มสาวพึงมี!
ใช้โอกาสตอนที่อายุยังน้อย ยังไม่มีภาระผูกพันใดๆ ฟันฝ่าเดินหน้าโดยไม่มีท้อถอยและไม่หยุดยั้ง
อีกทั้งซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนต่างก็หลงใหลในการฝึกวรยุทธ์ทั้งคู่ อยู่ที่นี่ต่อไปก็คงไม่ได้เรียนรู้อะไรมากกว่านี้ หากว่าพวกเขาต้องการแข็งแรงมากขึ้นยิ่งกว่านี้ ก็มีเพียงไปที่เมืองอู๋โยวเท่านั้น
“เพียงแต่ว่า อู๋โยวตั้งอยู่ไกลโพนหนทางยากลำบาก ข้าคงจะช่วยเหลือพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว!”
ซย่าโหวจวินอวี่เอ่ยความในใจเพียงหนึ่งเดียวที่เขาเสียใจมากที่สุดออกมา
หากเป็นบนแผ่นดินหลัวอวี่แห่งนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนอยากจะเดินกร่างสักเท่าไหร่ ก็จะมีเขาคอยปกป้องจะไม่ยอมให้พวกเขาต้องได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจใดๆเป็นแน่
แต่ที่เมืองอู๋โยวนั้นไม่ใช่!
จอมเทวาและปรมาจารย์สำหรับที่นั่นแล้วไม่ใช่ระดับขั้นที่สลักสำคัญอะไร ซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนไปที่นั่นเท่ากับต้องเริ่มต้นใหม่ ทั้งยังไม่มีใครบังลมกันแดดกันฝนให้กับพวกเขาอีกด้วย นี่แหละที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงมิอาจวางพระทัยได้
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันสำเร็จจอมปราชญ์อาวุโสแล้วเพคะ”
รู้ดีว่าซย่าโหวจวินอวี่เป็นห่วง อวี้เฟยเยียนจึงได้เอ่ยปากทำให้พระองค์มั่นใจมากยิ่งขึ้น
“อะไรนะ?!” ซย่าโหวจวินอวี่ถึงกับอึ้งกิมกี่
“ลูกสะใภ้เด็กดีของพ่อ!”
ก่อนแต่งงานอวี้เฟยเยียนยังเป็นปรมาจารย์อยู่เลย หลังแต่งงานเพียงไม่กี่วันก็สำเร็จขั้นจอมปราชย์อาวุโส? มันจะสำเร็จรวดเร็วอะไรปานนั้น!
ครู่ใหญ่ ฮ่องเต้ถึงทรงได้สติ
“ฮ่าๆ!”
ซย่าโหวจวินอวี่หัวเราะออกมาอย่างแช่มชื่นหัวใจ ก็เขาดีใจเขาภาคภูมิใจนี่นา!
อวี้เฟยเยียนเปี่ยมด้วยพระสวรรค์เช่นนี้ เก็บเอาไว้ที่หลัวอวี่ช่างน่าเสียดายความสามารถเหลือเกิน!
เขาเชื่อแน่ว่าหากพวกเขาไปที่อู๋โยว จะต้องสามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน! ไม่แน่นะว่าพวกเขาอาจจะมีวาสนา สามารถสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้อีก!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความเศร้าหมองในใจของซย่าโหวจวินอวี่ก็พลันสลายไป
“ฉิงเทียน เฟยเยียนรุดหน้าเกินเจ้าไปแล้วนะ หากยังไม่ขยับเพิ่มขึ้นอีก เห็นทีจะไม่ได้แล้วนะ! เฮ้อ ข้ายังต้องการจะให้เจ้าสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากข้าอีกนะ! แต่เห็นทีว่าตอนนี้พวกเจ้าคงจะไม่อยากได้แล้วกระมัง!”
เมื่อสภาพจิตใจดีขึ้น ซย่าโหวจวิวอวี่ก็เริ่มพูดจาล้อเล่นขึ้นมา
เห็นฮ่องเต้ทรงพระทัยแจ่มใสมากขึ้น ในที่สุดซย่าโหวฉิงเทียนอวี้เฟยเยียนก็คลายความกังวลลงไป