นี่คือคนที่นางแยกจากมาที่เขาอวิ๋นอู้มากกว่าสิบปีมาแล้ว เจียงซั่งหัง!
เจียงซั่งหังแตกต่างจากตัวเขาเมื่อสิบปีก่อนอย่างสิ้นเชิง ย้อนไปเมื่อตอนที่โม่เทียนเกอเจอกับเจียงซั่งหังเมื่อพวกเขาเข้าสำนักอวิ๋นอู้ในตอนแรก เขายังหนุ่มและดูซื่อตรง ทว่าเขามักจะให้ความรู้สึกที่มืดมนและใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยการดูถูก ดังนั้นคนอื่นจึงแทบไม่อยากจะสนิทสนมกับเขา
ในทางตรงกันข้าม เจียงซั่งหังคนปัจจุบันดูค่อนข้างอ่อนวัยกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย พูดกันตามตรง เขายังอายุไม่ถึงห้าสิบปี ดังนั้นเขาจึงถือว่าอายุน้อยสำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ตอนนี้เขาผอมกว่าแต่ก่อนมาก แต่ความรู้สึกมืดมนที่น่าอึดอัดใจของเขาได้กลายเป็นความเฉยเมย สีหน้าเขาก็ดูอ่อนโยนขึ้น ไม่ได้เต็มไปด้วยการดูถูกแต่ตอนนี้กลับแสดงให้เห็นความเฉยเมยเบาๆ แทน
เมื่อปีนั้น หลังจากนางถูกเจียงซั่งหังช่วยไว้ ทั้งสองคนต่างหนีไปตามทางของตัวเอง เพราะโม่เทียนเกอดึงดูดความสนใจของคนที่ไล่ตามพวกเขา จึงไม่มีใครรู้ว่าเจียงซั่งหังก็เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วย ทำให้เขาสามารถหายตัวไปได้ด้วยดีจากเขาอวิ๋นอู้ ถึงแม้โม่เทียนเกอจะได้ฉินซีช่วยชีวิตเอาไว้ แต่นางก็ต้องเสียท่านอาของนางและต้องไปที่โรงเรียนเสวียนชิงซึ่งอยู่ห่างออกไปเป็นพันลี้ ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาถามไถ่ข่าวคราวเกี่ยวกับเจียงซั่งหัง ในชั่วพริบตา เวลามากกว่าสิบปีก็ได้ผ่านไปแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว
“… ศิษย์พี่เจียง”
เมื่อเห็นนาง เจียงซั่งหังก็ยิ่งตกใจมากกว่านางเสียอีก เพียงหลังจากที่เขาได้ยินเสียงของนางเท่านั้นเขาจึงกลับมาสงบจิตใจได้ เขาพูดกับไห่ปั๋วผู้ที่ยืนอย่างสงสัยอยู่ด้านข้างพวกเขา “นี่คือสหายของข้า รีบไปเอาชาบัวหิมะมาให้เราสิ”
ไห่ปั๋วรีบทำตามคำสั่ง “ขอรับๆ กรุณารอสักครู่ เดี๋ยวจะนำชามาให้ขอรับ”
เมื่อไห่ปั๋วออกไป สายตาเจียงซั่งหังมาจับอยู่ที่โม่เทียนเกออีกครั้ง ขณะที่เขามองสำรวจนาง ความตกใจของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป สุดท้ายแล้วเขาก็ยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ไม่เจอกันเสียนาน”
รอยยิ้มนี้ทำให้โม่เทียนเกอแอบรู้สึกสลดอยู่ลึกๆ ถ้าเป็นเจียงซั่งหังคนก่อนจะยิ้มไหม เห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนไปมากในเวลาราวสิบปีหลังจากพวกเขาออกจากสำนักอวิ๋นอู้
“นานมากแล้วจริงๆ เพียงชั่วพริบตาเวลาสิบปีได้ผ่านไปแล้วและเราก็มาพบกันอีกครั้งที่นี่โดยไม่คาดคิด”
เจียงซั่งหังยิ้มและพยักหน้า “ศิษย์น้องเยี่ย เชิญนั่งสิ อ้อ ตอนนี้ข้าควรต้องเรียกเจ้าว่าอย่างไรดี”
โม่เทียนเกอนั่งบนเก้าอี้แขกและพูดด้วยรอยยิ้ม “คำที่ท่านเรียกข้ามันจะแตกต่างอย่างไรหรือ ชื่อที่ข้าใช้อยู่ข้างนอกยังคงเป็น ‘เยี่ยเสี่ยวเทียน’ ศิษย์พี่เจียงยังสามารถเรียกข้าเช่นนั้นได้” โม่เทียนเกอหยุดพูดครู่หนึ่งแล้วจึงหยุดนิ่งพร้อมกับยิ้ม นางถามว่า “ศิษย์พี่เจียง ท่านยังใช้ชื่อเก่าอยู่หรือไม่”
เจียงซั่งหังนั่งบนที่นั่งหลักและส่ายหน้า “ทุกวันนี้ข้าใช้ชื่อเจียงสุ่ยหัน”
เป็นอย่างที่นางคาดไว้ เขาเปลี่ยนชื่อของเขาจริงๆ ด้วย เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น โม่เทียนเกอแค่ถอนหายใจและพยักหน้า เจียงซั่งหังอาจจะเปลี่ยนชื่อของเขาเพราะเขาไม่มีทางเลือก วินาทีที่เขาออกจากตระกูลเจียง เขาก็ได้ตัดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาแล้ว ก่อนเขาจะจากไป ก็ถึงขนาดฆ่าทายาทผู้เป็นที่รักของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของตระกูลเจียง ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เหมือนกับนางที่เข้าโรงเรียนเสวียนชิงและมีคนคอยคุ้มครอง ถ้าเขาไม่เปลี่ยนชื่อ เขาก็คงถูกตามหาตัวเจอได้ง่ายมาก
“เราไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายปี ศิษย์พี่เจียง ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเข้าสำนักเจิ้งฝ่าและมาลงเอยเป็นเทพเซียนของเผ่าในทิศเหนือสุดได้อย่างไร”
“ตอนนี้ข้าก็ค่อนข้างสบายดี” เจียงซั่งหังพูดแผ่วเบา “หลังจากข้าออกจากเขาอวิ๋นอู้ ข้ามุ่งมั่นที่จะออกจากคุนอู๋และมองหาเส้นเลือดวิญญาณที่อื่นที่ข้าสามารถฝึกตนได้ อย่างไรก็ตาม เพราะเส้นเลือดวิญญาณในโลกมนุษย์นั้นเล็กเกินไป ข้าจึงตัดสินใจไปที่เขตทิศเหนือสุดหลังจากคิดใคร่ครวญมามาก สำนักเจิ้งฝ่าเป็นสำนักใหญ่และเป็นเพียงกลุ่มการฝึกตนเดียวในเขตทิศเหนือสุดและก็เชี่ยวชาญพิเศษในเวทมนตร์ธาตุน้ำ เพราะฉะนั้นมันจึงเหมาะกับข้าพอดี นอกจากนี้มันยังถูกแยกออกโดยภูเขาและแม่น้ำนับไม่ถ้วน ข้าคาดว่าไม่ว่าตระกูลเจียงจะตามหาข้าอย่างไร พวกเขาก็คงไม่ไปไกลถึงขั้นมาตามหาที่เขตทิศเหนือสุดแน่
“นั่น… ก็สมเหตุสมผล ศิษย์พี่เจียงฝึกเวทมนตร์ธาตุน้ำมาก่อน ท่านช่างเหมาะสมกับสำนักเจิ้งฝ่า” โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่ต้องพยักหน้า เขาเชี่ยวชาญในวิชาธาตุน้ำ ดังนั้งวิชาการฝึกตนของสำนักเจิ้งฝ่าจึงเหมาะกับเขาพอดิบพอดี ยิ่งไปกว่านั้น มันก็เป็นการดีที่จะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากคุนอู๋
เจียงซั่งหังยิ้ม “การที่สามารถเข้าสำนักเจิ้งฝ่าได้อย่างราบรื่นที่จริงแล้วเป็นเรื่องบังเอิญ คนจากแถบทิศเหนือสุดที่มีรากวิญญาณจะได้รับเข้าเป็นศิษย์โดยสำนักเจิ้งฝ่าไม่ว่ารากวิญญาณของเขาจะแย่สักแค่ไหน อย่างไรก็ตาม พวกเขาเข้มงวดมากกับผู้ฝึกตนที่มาจากทางใต้ รากวิญญาณของข้าแย่เกินไป มันคงจะยากมากสำหรับข้าที่จะถูกรับเข้ามาแต่แรก”
“โอ้ หรือว่าศิษย์พี่อาจจะไปบังเอิญเจอเข้ากับชะตาลิขิต”
“นี่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เมื่อข้ามาถึงที่นี่ ข้าบังเอิญเจอเข้ากับคนของเผ่านี้ ท่านเทพเซียนของพวกเขาเพิ่งเสียไป พวกเขาจึงเสี่ยงกับการถูกเผ่าอื่นเข้ามายึดครอง ดังนั้นพวกเขาจึงขอร้องให้ข้าเป็นท่านเทพเซียนของพวกเขา ข้าคิดว่าข้าไม่มีที่จะไป เพราะฉะนั้นข้าก็เลยแค่ตอบตกลงกับคำขอของพวกเขา ในภายหลัง สำนักเจิ้งฝ่าเปลี่ยนชื่อและเลิกใช้ชื่อ ‘โรงเรียนเจิ้งฝ่า’ ซึ่งเดิมเป็นที่รู้จักกันในชื่อนี้ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับการเปลี่ยนชื่อ พวกเขาจึงมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ฝึกตนจากภายนอกที่กลายมาเป็นท่านเทพเซียนของเผ่าอย่างตัวข้า และเราก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมสำนักได้”
“… เข้าใจล่ะ” พูดอีกอย่างก็คือเจียงซั่งหังมีวันเวลาที่ยากลำบากกว่านางมากตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เขาเพียรพยายามหนีจากสำนักอวิ๋นอู้ ออกจากคุนอุ๋และหนีมาไกลถึงแถบทิศเหนือสุด คาดว่าเขาคงผ่านบททดสอบและความยากเข็ญมามากมายในตอนแรกเริ่ม โชคดีที่ความพยายามของเขายังให้ผลดีในท้ายที่สุด
เจียงซั่งหังมองนางแล้วจึงถามว่า “ศิษย์น้องเยี่ย จากหน้าตาท่าทางของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำได้ดีตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้นะ ตอนแรกข้าคิดว่ามันคงดีพอควรแล้วถ้าเจ้าสามารถสร้างฐานแห่งพลังงานได้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าระดับการฝึกตนของเจ้าจะสูงกว่าข้ามากนัก! เจ้าคงได้รับโอกาสที่ดีพิเศษมาบ้างใช่ไหม” ระดับการฝึกตนของเขายังคงอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ถึงแม้เขาจะต้องการก้าวเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในเวลาสั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกออยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้วและสามารถลองพยายามเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานได้ทุกเวลา
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ นิสัยของเจียงซั่งหังค่อนข้างถูกจริตนาง เขาพูดตามตรงถึงสิ่งที่เขาอยากจะพูดและไม่หม่นหมองเหมือนสมัยก่อน “ชีวิตข้าไม่แย่หรอก แต่ข้าก็แค่โชคดี”
“ข้าเกรงว่าแค่โชคดีคงไม่ใช่ทั้งหมดน่ะสิ ทำไมศิษย์น้องเยี่ยถึงถ่อมตัวนัก” เจียงซั่งหังหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าจะพูดตามตรง ตอนนั้นที่เราแยกกัน ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะหนีสถานการณ์ลำบากครั้งนั้นไปไม่ได้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้า… ท้ายที่สุดแล้วเจ้าหนีมาได้อย่างไหรือ”
“นี่…” โม่เทียนเกอรู้สึกขัดแย้งแต่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจบอกความจริงกับเขา “ข้าเกือบจะลงเอยอย่างที่ท่านคาดการณ์ไว้นั่นล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ฉินมาช่วยข้าไว้ ข้าคงตายไปแล้วแน่”
“ศิษย์พี่ฉิน” เจียงซั่งหังใช้เวลาสักพักเพื่อคิดจากนั้นจึงพูดด้วยความประหลาดใจ “เจ้าหมายถึงฉินซีน่ะหรือ ศิษย์น้องฉินที่อาศัยอยู่กับพวกเรา”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “หลังจากเราแยกกันวันนั้น ท่านอารองกับตัวข้าหนีไปจากเขาอวิ๋นอู้ แต่ในไม่ช้าเราก็โดนพวกเขาไล่ตามทัน เป็นเพราะเหตุนี้ทำให้ท่านอาของข้าต้องตาย…” ขณะที่นางพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้านางเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
เจียงซั่งหังดูรู้สึกเสียใจ เขากล่าว “ข้าต้องขอโทษ ที่ทำให้เจ้าต้องระลึกถึงเรื่องที่น่าเจ็บปวดเช่นนั้น”
“ไม่เป็นไร” พฤติกรรมของเจียงซั่งหังปัจจุบันนี้ห่างไกลจากที่เคยเป็นไปมากโข หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะขอโทษสำหรับเรื่องเช่นนี้หรือ นางยังคงพูดต่อ “ก่อนท่านอาของข้าจะตาย เขาบอกข้าให้ขอความช่วยเหลือจากใครคนหนึ่ง คนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังผู้โด่งดังในคุนอู๋ตะวันตกซึ่งติดหนี้บุญคุณท่านพ่อของข้า ครั้งหนึ่งเขาเคยให้เครื่องรางกระจายเสียงกับเราที่ใส่จิตสัมผัสของเขาอยู่… ไม่นานหลังจากข้าทำลายเครื่องรางกระจายเสียง ศิษย์พี่ฉินก็มาปรากฏตัว”
“อะไรนะ!” เจียงซั่งหังตกใจมาก เขาจมอยู่ในห้วงของการครุ่นคิดแล้วจึงถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่าศิษย์น้องฉินมีอาจารย์อยู่ก่อนที่เขาจะมาที่สำนักอวิ๋นอู้”
โม่เทียนเกอหัวเราะเบาๆ และพยักหน้า นางรู้ว่าเจียงซั่งหังเข้าใจผิดแต่นางไม่มีความต้องการจะอธิบาย ที่จริงแล้วการคาดเดาของนางก่อนหน้านี้ก็เหมือนกับของเจียงซั่งหัง และฉินซีก็ปล่อยให้นางเชื่ออย่างนั้น ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ นางจะเชื่อได้อย่างไรว่านางอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังมาตั้งหลายปี
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ครู่หนึ่ง เจียงซั่งหังถาม “เป็นไปได้ไหมว่าท่านอาจารย์ของศิษย์น้องฉินนั้นมีอิทธิพลมากกว่าสำนักอวิ๋นอู้ ดังนั้นเขาจึงสามารถ…”
“ถูกต้อง…” โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “คนของสำนักอวิ๋นอู้จะกล้าหาเรื่องศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหอแห่งโรงเรียนเสวียนชิงของคุนอู๋ตะวันตกได้อย่างไรกัน”
“อะไรนะ!” เจียงซั่งหังอุทานออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเด้งตัวยืนขึ้นด้วย
ทันใดนั้นเอง เสียงใครคนหนึ่งดังมาจากด้านนอก “ท่านเทพเซียน ชาบัวหิมะพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงซั่งหังพยายามสงบจิตใจ เขานั่งลงและพูดด้วยเสียงนิ่งๆ อีกครั้ง “เข้ามา”
หญิงคนหนึ่งยกม่านประตูเปิดขึ้นและเดินเข้ามาข้างในอย่างสง่างามพร้อมถือถาดอยู่ในมือ ขณะที่นางบริการชา สายตานางสลับไปมาระหว่างทั้งสองคนอย่างลับๆ ราวกับว่านางกำลังพยายามเดาความสัมพันธ์ของพวกเขา เมื่อนางวางชาเสร็จ ในที่สุดนางก็ขอตัวและออกไป
มีความแตกต่างอยู่บ้างระหว่างผู้หญิงที่เขตทิศเหนือสุดและผู้หญิงที่ดินแดนใจกลางและคุนอู๋ ถึงแม้ผิวของพวกนางจะขาว แต่ใบหน้าของพวกนางมีสีเข้มกว่าถ้าเทียบกัน รูปร่างของพวกนางไม่สูงแต่แข็งแรง จากชั่วขณะที่นางเข้ามาถึงเผ่านี้ ผู้หญิงทุกคนที่โม่เทียนเกอเห็นล้วนเป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ตาม หญิงคนนี้ดูสวยกว่าคนอื่นๆ เล็กน้อย และรูปร่างของนางก็ดูอ้อนแอ้นแบบผู้หญิงมากกว่า นางไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิงปกติทั่วไปจากเขตทิศเหนือสุด
เจียงซั่งหังสังเกตเห็นสายตานางแล้วจึงอธิบายว่า “ตั้งแต่สำนักเจิ้งฝ่าก่อตั้งมาในเขตทิศเหนือสุด มีการแต่งงานระหว่างพวกมนุษย์และเผ่าทางทิศเหนือสุดมากมาย ทุกวันนี้บางคนในเผ่าก็มีสายเลือดที่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนใจกลางและคุนอู๋” หลังจากเขาอธิบายเสร็จ ก็ชี้ไปยังชาบัวหิมะบนโต๊ะ “ศิษย์น้องเยี่ยเคยดื่มชาบัวหิมะในเมืองต้าอันหรือยัง ย้อนกลับไปตอนที่ข้าหนีมายังเขตทิศเหนือสุด ข้าไม่ได้ดื่มชาบัวหิมะและข้าต้องทุกข์ทรมานอย่างมากก็เพราะเหตุนั้น โชคดีที่ข้าบังเอิญเจอชนเผ่าจากเผ่าสิงโตทะเลเข้า”
โม่เทียนเกอส่ายหน้าและหัวเราะ “ข้าก็ยังไม่เคยดื่มเหมือนกัน โชคดีที่ข้าสร้างฐานแห่งพลังงานได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็คงต้องทนกับความลำบากเหมือนกัน”
เจียงซั่งหังยิ้มและทั้งสองคนต่างจิบชา
เหมือนกับชาทางใต้ ชาบัวหิมะก็ทำมาจากกรรมวิธีตากแห้งและต้มเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แทนที่จะใช้ใบชา กลีบดอกบัวหิมะกลับถูกนำมาใช้แทน เมื่อได้ดื่มไปเต็มคำ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นผุดขึ้นมาจากช่องท้องของนางและแผ่ขยายไปทั่วทั้งแขนขาและกระดูกทันที ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งตัว เห็นได้ชัดว่าวิธีการที่ใช้ในการต้านทานลมหนาวในเขตทิศเหนือสุดไม่ได้จำกัดอยู่แค่การชำระล้างด้วยน้ำดอกบัวหิมะต้มเท่านั้น การดื่มชาดอกบัวหิมะก็ได้ผลดีเช่นกัน
เจียงซั่งหังวางถ้วยชาของเขาจากนั้นจึงกลับไปพูดถึงหัวข้อก่อนหน้านี้ต่อ “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้ากำลังบอกว่าศิษย์น้องฉินเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่แห่งโรงเรียนเสวียนชิงอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว” นี่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่นางต้องเก็บเป็นความลับ
“เช่นนั้นก็หมายความว่า… เจ้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเสวียนชิงแล้วในตอนนี้”
โม่เทียนเกอเผยรอยยิ้มจางๆ “ข้าโชคดี ตอนที่ข้ามาโรงเรียนเสวียนชิง ข้าได้รับความกรุณาจากประมุขเต๋าจิ้งเหอและเขารับข้าเข้าไปเป็นศิษย์ลงนามของเขา หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังงานได้ ข้าจึงกลายเป็นศิษย์ทางการของเขา”
พอถึงตอนนี้ เจียงซั่งหังมองนางแตกต่างไปจากเดิม เมื่อเขาเห็นว่านางมั่นใจแค่ไหนและระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว เขาก็รู้แล้วว่านางต้องทำได้ดีอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยคิดว่านางจะทำได้ดีถึงเพียงนี้
ศิษย์ทางการของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่… เขาทบทวนกับตัวเอง หลังจากเขาสร้างฐานแห่งพลังงาน ความเร็วการฝึกตนของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าศิษย์หัวกะทิ ดังนั้นเขาจึงยังถือว่าตัวเองโชคดีอยู่ บางครั้งเขาจะคิดกลับไปถึงศิษย์น้องเยี่ยจากเมื่อปีนั้น แต่เขาก็มักจะคิดว่านางคงจะจากโลกนี้ไปเสียแล้ว เขาคิดว่าต่อให้นางโชคดีพอที่จะหนีจากหายนะนั้นได้ แต่นางก็อาจจะไม่สามารถสร้างฐานแห่งพลังงานของตัวเองได้ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าไม่เพียงแต่นางจะสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จ แต่นางยังสบายดีมากอีกด้วย ดีมากเสียจนมันเกินกว่าจินตนาการของเขา