บทที่ 6 บทที่ 42 ข้าต้องการอยู่ต่อ

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

คนต่างชาติ? 

 

จางคุนวางเสี่ยวจือในอ้อมแขนลงอย่างไม่รู้ตัว…เพราะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญจึงมีคนต่างชาติมาหมู่บ้านแห่งนี้น้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ไม่เคยมีมาเลย  

 

อย่างน้อยหลายปีมานี้จางคุนเคยเห็นเพียงสิบยี่สิบครั้งเท่านั้น 

 

คนต่างชาตินั้นมีปัญหามากกว่าคนในพื้นที่ ถึงพี่เขยของจางคุนเป็นตำรวจแต่ไม่ใช่หัวหน้า คนเลวก็มีวิธีของคนเลว คนแบบไหนไม่น่าล่วงเกิน คนแบบไหนอย่าล่วงเกินดีที่สุด หรือคนแบบไหนสามารถล่วงเกินได้นั้นเขาแบ่งแยกออกอย่างชัดเจน 

 

ถ้าหากเขามีปัญหากับคนต่างชาติผู้นี้ เพียงเพื่อแสดงอาณาเขตของตนเองเหมือนสิงโต อาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งตำรวจเล็กๆ อย่างพี่เขยของเขาไม่อาจแบกรับได้  

 

อีกอย่างพี่เขยของเขาก็เพียงหลับตาข้างลืมตาข้างสำหรับเรื่องที่เขาทำเท่านั้น…แต่หากสร้างปัญหาขึ้นจริงๆ แล้ว เขาก็คงไม่เห็นแก่มิตรภาพเพียงเล็กน้อยนี้แน่ 

 

 “ซานเอ๋อร์ ทักทายลูกค้าสิ” จางคุนหยิบเต้าหู้ที่ห่อเสร็จแล้วขึ้นมา ยิ้มและเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ฉันจะมาที่นี่อีกเพื่อ…ซื้อเต้าหู้” 

 

พูดแล้วเขาก็ล้วงเหรียญออกมาจากกระเป๋าสองเหรียญ…เหรียญหนึ่งหยวนสองเหรียญถูกวางลงบนโต๊ะเบาๆ 

 

เขาเดินจากไปด้วยท่าทางเหมือนได้ชัยชนะ 

 

ไม่รีบร้อน ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องเพราะคนต่างชาติคนเดียว ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาในวันต่อๆ อีก… ถึงอย่างไรคนต่างชาติก็ต้องจากไป แต่ร้านเต้าหู้ร้านนี้ไปไหนไม่ได้ 

 

และซานเอ๋อร์ก็ต้องอยู่ที่นี่ 

 

เห็นจางคุนเดินไปไกลแล้ว ซานเอ๋อร์ก็รีบโอบเสี่ยวจื่อขึ้นมากอดและปลอบเบาๆ จากนั้นถึงก้าวมาข้างหน้า 

 

เธอจำได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เธอเขี่ยขึ้นมาจากข้างแม่น้ำ เธอก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ดังนั้นเวลาเพียงครู่เดียวจึงไม่รู้จะพูดอะไรบ้าง 

 

แต่ไม่พูดอะไรเลยก็ไม่ได้ “ขอบคุณ…ขอบคุณ คุณมากค่ะ” 

 

ผู้ชายคนนั้นส่ายหน้า ยื่นมือออกไปหยิบเงินเหรียญหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ คีบเหรียญเอาไว้จากนั้นก็ตวัดมือโยนออกไปอย่างฉับพลัน 

 

ซานเอ๋อร์ไม่รู้ว่าผู้ชายต่างชาติคนนี้คิดจะทำอะไร แต่ก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงยื่นหัวออกไปดู เธอเห็นจางคุนล้มกองอยู่บนพื้นและกำลังอ้าปากด่าว่า 

 

ดูเหมือนเขาจะล้มลงอย่างกะทันหัน จากนั้นหน้าก็คว่ำลงไปที่กองขี้หมา…บนพื้น 

 

มีพ่อค้าแม้ค้าที่เปิดกิจการอยู่ข้างถนนหลายคนกำลังกลั้นหัวเราะ ด้วยเพราะไม่กล้าหัวเราะเสียงดัง 

 

ซานเอ๋อร์ก็กุมปากหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็พบว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ชายต่างชาติคนนี้ทำขึ้นจึงหดคอกลับมา 

 

จางคุนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยขี้หมาไม่มีหน้าอยู่บนถนนต่อ เขาก้มหน้าแล้วหายเข้าไปในซอย น่าจะกำลังด่าว่าไปทั่วอยู่นั่นแหละ 

 

 “คุณ…คุณไปสถานีตำรวจแล้วเหรอคะ?” ซานเอ๋อร์คิดว่าตนเองพูดอะไรไปก่อนจะดีกว่า 

 

 “ไปแล้ว” ชายต่างชาติพูดขึ้นมา “แต่พวกเขาช่วยผมไม่ได้” 

 

 “เอ๋…เป็นไปได้ยังไงคะ!” ซานเอ๋อร์คิดไม่ถึง ตามที่เธอคิด หากเป็นเรื่องที่สถานีตำรวจจัดการไม่ได้ งั้นก็คงเป็นปัญหาที่ตึงมือมาก 

 

ผู้ชายคนนั้นพูดว่า “แต่ไม่เป็นไร ผมนึกออกแล้วว่าผมเป็นใคร เพียงแต่ความทรงจำค่อนข้างเลือนราง อาจต้องผ่านไปอีกสักระยะถึงจะคิดออก” 

 

พูดแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็ล้วงมือเข้าไปในชุดลำลองแบบตะวันตกของเขา และเอากระเป๋าเงินออกมาเปิดต่อหน้าซานเอ๋อร์ “นี่เป็นบัตรประชาชนของผม ในนี้ยังมีเงินอยู่เล็กน้อยถือเป็นค่าเช่าแล้วกัน ผมจะอยู่ที่นี่สักพักเพื่อรอความทรงจำกลับมา” 

 

ซานเอ๋อร์ชะงัก…เคยได้ยินว่าคนต่างชาติค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ควรตรงไปตรงมาถึงขนาดนี้หรอกใช่ไหม? เธอที่ค่อนข้างหัวโบราณก้มลงมองบัตรประจำตัวประชาชนบนกระเป๋าเงินของเขา และอ่านชื่อของผู้ชายต่างชาติคนนี้ในใจ 

 

‘มาร์ค’ 

 

 “ผมรบกวนแล้ว” 

 

ซานเอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง คนต่างชาติคนนี้…หรือมาร์คก็เดินเข้ามาและเริ่มพิจารณาทุกอย่างที่นี่ 

 

 “นี่ รอเดี๋ยว ฉันยังไม่ได้ตก…” 

 

แต่เด็กหญิงเสี่ยวจือกลับดึงเสื้อของผู้เป็นแม่ เงยหน้าเอ่ยว่า “แม่คะ ลุงคนนี้คุ้มครองพวกเราได้ไหม?” 

 

 “แม่ไม่รู้…” ซานเอ๋อร์ส่ายหน้า 

 

รู้สึกเพียงว่าชีวิตของเธอน่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงแปลกๆ บางอย่างขึ้นแล้ว…เธอเคยคิดจะปฏิเสธคำขอของมาร์ค 

 

เคยคิด 

 

… 

 

… 

 

ส่วนลึกใต้ดิน 

 

เส้นสายวิญญาณนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ ทำให้ซูจื่อจวินที่อาบอยู่รู้สึกสบายมาก 

 

แต่เธอก็ไม่มีความรู้สึกที่โดนพลังวิญญาณกัดกร่อนเลย เมื่อถึงระดับเช่นเธอแล้วถึงจะอยู่ในเส้นสายวิญญาณไปร้อยปีผลกระทบก็ยังน้อยมาก 

 

เธอยังมีเรื่องสำคัญยิ่งกว่าต้องทำ เธอมายังที่ที่เซียงหลิ่วถูกคุมขัง 

 

โซ่แต่ละเส้นเหมือนมีชีวิตก็ไม่ปานและออกมาจากความว่างเปล่าทุกทิศทางมาพันมือ เท้าและตัวของเซียงหลิ่วเอาไว้ สำหรับซูจื่อจวินแล้วฉากตรงหน้าค่อนข้างดูคุ้นเคย 

 

เธอเคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน ในครั้งแรกที่เธอเหยียบเข้าร้านค้าแปลกๆ แห่งนั้น 

 

 “เซียงหลิ่ว เงยหน้าขึ้นมา” ซูจื่อจวินมาถึงตรงหน้าเซียงหลิ่วแล้วออกคำสั่ง 

 

สีหน้าของเซียงหลิ่วที่เงยหน้าขึ้นมานั้นดูแย่มาก สีหน้าซีดขาว…เหมือนคนป่วยทางจิตใจทรมานทั้งวันโดยไม่สามารถหลับนอนได้  

 

แต่ในตอนที่เขามองเห็นซูจื่อจวินก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าคิดว่าเป็นใคร…ที่แท้ก็องค์หญิงเองงั้นหรือ? ทำไม มาดูสภาพเวทนาของข้างั้นหรือ? แต่ข้ากลับชอบสถานที่แห่งนี้มาก” 

 

เซียงหลิ่วเขย่าโซ่ “เพียงแต่ของเหล่านี้น่ารำคาญมาก เวรเอ๊ย นอนไม่หลับเลย” 

 

 “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าสักหน่อย หากเจ้าทำให้ข้าพอใจได้ บางทีข้าอาจจะช่วยให้เจ้าได้สบายสักหน่อย” ซูจื่อจวินเอ่ย 

 

เซียงหลิ่วหรี่ตาลงเอ่ยอย่างฉับพลันว่า “องค์หญิง ที่แท้ท่านก็มีเวลาที่ต้องมาขอร้องข้าด้วย?” 

 

ซูจื่อจวินยิ้มเยาะ ชี้ปลายนิ้วแหลมออกไปในทันที กดเบาๆ ที่ตำแหน่งคอของเซียงหลิ่ว “ข้าสามารถช่วยให้เจ้าสบายขึ้นได้ และยังทรมานเจ้าได้เช่นกัน เจ้าเชื่อหรือไม่?” 

 

 “พูดมาสิ” เซียงหลิ่วหัวเราะเบาๆ 

 

 “เมฆดำกดทับฟ้าดิน เกราะทองมังกรบิน สองเดือนสอง มังกรทะยานฟ้า…” ซูจื่อจวินถามเสียงเข้มว่า “เจ้าได้ยินประโยคนี้มาจากที่ใด?” 

 

 “อ่านได้จากจารึกชิ้นหนึ่ง” คิ้วสีม่วงของเซียงหลิ่วดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แววตาที่ดูเจ้าเล่ห์เข้ากับเขามากเป็นพิเศษ “อีกอย่างก็ไม่ได้มีเพียงแต่ประโยคนี้เท่านั้น ยังมีอีกมากที่ข้ารู้” 

 

 “จารึกชิ้นนั้นอยู่ที่ไหน” 

 

 “หากองค์หญิงปล่อยข้าออกไปได้ เซียงหลิ่วขอสาบานว่าจะส่งมอบจารึกให้ เป็นอย่างไร?” 

 

 “ข้าเคยพูดแล้วว่าข้าไม่ใช่หลงซีรั่ว” นัยน์ตาของซูจื่อจวินฉายแววเย็นยะเยือก “เมื่อเจ้ารนหาที่ตาย เช่นนั้นข้าก็จะสงเคราะห์ให้เจ้าแล้วกัน” 

 

เธอกางนิ้วมือทั้งห้าออกมา แทงเล็บแหลมคมเข้าไปในร่างกายของเซียงหลิ่วโดยไม่ลังเล “ข้าจะสูบเลือดของเจ้าให้แห้ง ให้เจ้าค่อยๆ ตายไปทีละนิด…ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็อยู่แบบตายทั้งเป็นอยู่แล้ว คงอยากจะตายมากสินะ!” 

 

ชั่วขณะนั้นเสียงร้องโหยหวนของของเซียงหลิ่วก็ดังขึ้น เลือดของเขาไหลออกมาจากปากแผลจากนั้นก็เคลื่อนไหว…อยู่ตรงหน้าของเขา รวมกันเป็นลูกบอลเลือดที่ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ 

 

ชั่วขณะนั้นเซียงหลิ่วที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์และโหดเ**้ยมก็รู้สึกมึนงง จากนั้นถึงคิดขึ้นได้ว่าองค์หญิงแห่งราชวงศ์เซวียนหยวนผู้ยอมละทิ้งสถานะตัวเองผู้นี้ไม่ใช่องค์หญิงคนเดิมอีกแล้ว หากคิดจะลงมือโหดเ**้ยมอย่างไรก็โหดเ**้ยมอย่างนั้น 

 

 “องค์หญิง หากฆ่าข้าแล้ว ท่านก็จะไม่รู้ว่าจารึกอยู่ไหนไปตลอดกาล!” 

 

ซูจื่อจวินสบถว่า “หากไม่ได้อย่างไรข้าก็แค่ไปฆ่าวิญญาณเร่ร่อนสักหลายพันหลายร้อยดวง! เจ้าไม่พูดข้าก็มีวิธีหามาอยู่ดี!”  

 

เซียงหลิ่วไม่รู้ว่าจารึกกับการฆ่าวิญญาณเร่ร่อนหลายพันหลายร้อยดวงมีความสัมพันธ์อะไรกัน…แต่เรื่องที่ซูจื่อจวินจะฆ่าเขานั้นเป็นเรื่องเท็จจริงที่อยู่ตรงหน้า 

 

เซียงหลิ่วมองลูกบอลเลือดที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น คิดคำนวณว่าตนเองยังมีเลือดเหลืออยู่เท่าไรและคำนวณว่าซูจื่อจวินสามารถทำได้ถึงระดับไหน…ส่วนเขาสามารถควบคุมความหวาดกลัวของตนเองได้ถึงเมื่อไหร่ 

 

เวลาผ่านไปเช่นนี้ ดูเหมือนเซียงหลิ่วจะถึงขีดสุดแล้ว เขาที่อ่อนแรงกำลังขยับริมฝีปาก…แต่ในพริบตาเดียว โซ่ที่พันรอบร่างกายของเขาก็ขยับรวมตัวกันพุ่งโจมตีเข้าใส่ซูจื่อจวิน! 

 

ซูจื่อจวินใช้มือรับการโจมตี เสียงปะทะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเธอก็ถูกโซ่เหล่านั้นบีบให้ถอยหลังออกไป 

 

ส่วนเลือดที่ถูกสูบออกมานั้นก็ไหลกลับเข้าไปในร่างกายของเซียงหลิ่วในพริบตา และหลังจากโซ่บีบซูจื่อจวินให้ถอยแล้วก็กลับคืนสู่สภาพเดิม 

 

ซูจื่อจวินรู้สึกตกใจและมึนงง ส่วนเซียงหลิ่วกลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ฮ่าๆๆ! องค์หญิง ดูสิ ท่านคิดจะฆ่าข้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! มันไม่ยอมให้ข้าตาย! ฮ่าๆๆ!!!” 

 

 “เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ไม่ต้องเห็นเดือนเห็นตะวันไปตลอดกาลเถอะ!” ซูจื่อจวินสบถและตวัดมือ ยิงจุดแสงเลือดออกจากนิ้วมือของเธอเข้าไปในปากของเซียงหลิ่ว 

 

เห็นเซียงหลิ่วตกใจแล้วซูจื่อจวินก็ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ไม่ใช่ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่เพราะขี้เกียจจะลงมือเท่านั้น ที่เจ้ากลืนลงไปเมื่อครู่คือคำสาปกระหายเลือดของข้า ทุกวัน วันละสามเวลามันจะเผาไหม้เลือดของเจ้า ทำให้เจ้าได้รู้จักคำว่าตายทั้งเป็นอย่างแท้จริง! เจ้าจงเพลิดเพลินกับมันไปเถอะ!” 

 

ดูเหมือนจะยืนยันคำพูดของซูจื่อจวินก็ไม่ปาน ความเจ็บปวดจากความร้อนแผ่ไปทั่วร่างกายชั่วขณะ ทำให้เขาอดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่ได้ 

 

ส่วนซูจื่อจวินนั้นจากไปด้วยความเย็นชา 

 

ซูจื่อจวินกลับมาสู่พื้นดิน มองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง ท้องฟ้ายังไม่มืดแต่เธอกลับรู้สึกว่าเวลาในวันนี้ยาวนานจริงๆ “ง่วงจริง…” 

 

… 

 

… 

 

เสียงเคาะประตูห้องสำนักงานดังขึ้น ที่นี่เป็นสำนักงานของผู้อำนวยการบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด ส่วนคนที่เดินเข้ามา…ก็คือเลขาหญิง 

 

 “ผู้อำนวยการเฉิง หลี่จื่อเฟิงจากฝ่ายผลิตต้องการพบคุณ” 

 

เฉิงอวิ๋นขมวดคิ้ว เดิมทีเมื่อสองวันก่อนควรจะมีการจัดงานเปิดตัวต่อผู้ประกาศข่าวสร้างบรรยากาศให้กับบริษัทใหม่ แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบกับเรื่องแปลกๆ เช่นเรื่องรูขนาดใหญ่ทำให้ต้องระงับเอาไว้ชั่วคราว 

 

ถึงแม้ว่านี่จะเป็นปัจจัยจากภายนอก แต่สองวันมานี้เจ้านายของเขาคุณชายรองกลับดูหัวเสียมาก ทำให้เขาผ่านสองวันนี้มาได้อย่างอึดอัด 

 

 “มีเรื่องอะไร?” 

 

 “ดูเหมือนจะมาพูดเรื่องโปรเจกต์ที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้” 

 

 “ให้เขาเข้ามาเถอะ” เฉิงอวิ๋นเอ่ย 

 

หลังผ่านไปไม่นาน หลี่จื่อเฟิงก็มาถึงตรงหน้าของเฉิงอวิ๋น นี่เป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัทเทียนอิ่ง เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด หลังจากเทียนอิ่งหาเจ้านายใหม่ได้แล้ว พนักงานส่วนมากก็อยู่ต่อ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของคุณชายรองจงลั่วเฉิน 

 

หากทำตามความคิดของคุณชายรองแล้วต้องทำดีกับบรรดาพนักงานเก่า ดังนั้นเฉิงอวิ๋นจึงพยายามยิ้มและเอ่ยว่า “หลี่จื่อเฟิง มาหาผมมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” 

 

หลี่จื่อเฟิงอายุประมาณสามสิบปีและคร่ำหวอดในวงการนี้มานาน ยิ้มและเอ่ยว่า “ผู้อำนวยการเฉิง ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันผมพบคนใหม่ท่าทางใช้ได้ ผมคิดว่าพวกเราสามารถจัดแต่งหน่อยแล้วให้เขาเดบิวต์อย่างเป็นทางการได้!”