ภายในสตูดิโอที่กั้นด้วยกระจกนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่เฉิงอวิ๋นกับหลี่จื่อเฟิงเท่านั้น แต่ยังมีนักปรับแต่งเสียงและพนักงานบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดอีกสองคนซึ่งเป็นผู้อาวุโสฝ่ายผลิตคนหนึ่งกับที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์อีกคน 

 

หลายคนนี้หันมองเฉิงอี้หรานที่อยู่ในสตูดิโอและวิเคราะห์ร่วมกัน 

 

ผู้ชายที่แต่งตัวทันสมัยแต่มีกลิ่นอายของผู้หญิงคนหนึ่ง…อายุประมาณสามสิบกว่าปีเอียงหัวพูดว่า “อืม ภาพลักษณ์ก็ดูธรรมดา พบเห็นได้ตามท้องถนนทั่วๆ ไป” 

 

เวลานี้เองนักปรับแต่งเสียงกำลังวางเดโม่ นี่เป็นตัวอย่างที่หลี่จื่อเฟิงขอให้เฉิงอี้หรานเอามาด้วย 

 

นักดนตรีซึ่งก็เป็นหนึ่งในฝ่ายผลิตเดิมของบริษัทเทียนอิ่ง เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัดที่มาร่วมฟังอีกคนขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “ทักษะการร้อง…ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีเพราะถึงยังไงก็ไม่ได้ร้องแย่มาก แต่ไม่มีอะไรพิเศษ หลี่จื่อเฟิง นี่เป็นเพียงมาตรฐานของไนต์คลับเท่านั้น ครั้งนี้คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้มองพลาดไป?” 

 

ชั่วขณะนั้นหลี่จื่อเฟิงก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมา…เดโม่แผ่นนี้เขาก็เพิ่งได้ฟังเป็นครั้งแรก เพราะเฉิงอี้หรานเพิ่งเอามาด้วยในวันนี้ 

 

 “ลองฟังเขาเล่นสดก่อนค่อยว่ากันเถอะ” หลี่จื่อเฟิงทำได้เพียงฝืนพูดออกไป 

 

ถึงแม้เขาจะพูดได้ไม่เต็มเสียงสักเท่าไร แต่เฉิงอี้หรานที่นั่งอยู่ในสตูดิโอและถือกีตาร์นั้นกลับดูมั่นใจมาก 

 

แต่หากฟังเฉพาะเดโม่ของเขาแล้ว ก็ยากที่จะเชื่อมโยงกับสิ่งที่หลี่จื่อเฟิงได้ฟังในไนต์คลับคืนนั้น ความรู้สึกที่ชวนให้คนดุเดือดเลือดพล่านแบบนั้น 

 

 “เอาล่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ให้ลองร้องสักท่อนสองท่อนเถอะ” 

 

เฉิงอวิ๋นมองนาฬิกาข้อมือและตบมือ คุณชายรองพูดว่าให้พยายามทำในสิ่งที่พนักงานเก่าเหล่านี้ต้องการ ไม่ทำลายความกระตือรือร้นของพวกเขา 

 

หากไม่เพราะแบบนั้น เขายินดีที่จะดูสาวสวยมาออดิชั่นที่นี่มากกว่า…ถึงจะร้องเพลงไม่ได้แต่ภาพลักษณ์สวยก็เพียงพอแล้ว 

 

มีเบื้องหลังอยู่ไม่ใช่หรือ? 

 

แล้วไหนจะนักปรับแต่งเสียงอีก? 

 

ขอเพียงคุณสมบัติคุ้มค่าพอให้ทุ่มเงินลงไป ถึงเสียงไม่ดีแต่ก็สามารถชูขึ้นมาได้! อีกอย่างบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดก็ไม่ได้เน้นแต่นักดนตรีอย่างเดียว หากร้องเพลงไม่ได้ก็ไปถ่ายภาพยนตร์ได้! 

 

กลายเป็นตัวแทนเบื้องหลังผู้สร้างพลังลึกลับก็ได้แล้ว! 

 

เอฟเฟค 3D อะไรนั้น ใส่กิมมิค*การลงทุนร่วมกันระหว่างประเทศเข้าไป ต่อมาก็ให้กลุ่มคนต่างชาติมาเป็นตัวแสดงหลัก จากนั้นก็สอดแทรกนางเอกที่ช่วยโลกและทำองค์ประกอบบางอย่างให้เป็นสไตล์จีน เช่นกำแพงเมืองจีน แม่น้ำเหลือง ไม่ถ่ายที่ดีที่สุด ถ่ายแต่สิ่งที่แพงที่สุด! 

 

งั้นทำไมถึงไม่เอาผู้หญิงที่เข้ากับทุกอย่างได้ดี ทั้งยังแอบซ่อนได้ง่ายแบบนั้นเล่า? 

 

กลับเป็นคน…ที่มองแวบเดียวก็เป็นใบหน้าที่ดาดดื่นทั่วไปแบบนี้? 

 

เฉิงอวิ๋นไม่เข้าใจความคิดของพวกทำดนตรีจริงๆ แต่ก็มีเพียงอยู่ในกลุ่มของนักดนตรีพวกนี้เท่านั้นเขาถึงสามารถนั่งอยู่ตรงกลางและเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจได้ 

 

 “คุณเฉิง คุณลองร้องสักท่อนสิครับ” 

 

หลี่จื่อเฟิงเปิดไมค์แล้วพูดกับเฉิงอี้หรานที่อยู่ด้านใน “หากคุณเตรียมพร้อมแล้วก็ส่งสัญญาณ พวกเรากำลังรอฟังอยู่…พยายามปล่อยของให้หมดล่ะ” 

 

ในเวลานี้เฉิงอี้หรานเพิ่งจะได้ยินเสียง เขาเพิ่งเคยมาสตูดิโอบันทึกเสียงแบบนี้เป็นครั้งแรก การจะสร้างสตูดิโอบันทึกเสียงแบบนี้ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะกีตาร์ตัวนี้ของเขาแล้ว…เกรงว่าทั้งชีวิตของเขาหากไม่ออกเงินเองก็คงไม่มีโอกาสได้มาสักครั้งใช่ไหม? 

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉิงอี้หรานก็ถอนหายใจเบาๆ หลี่จื่อเฟิงให้เขาทำเดโม่ เขาจึงใช้กีตาร์ธรรมดาอีกอันดีดและร้อง ซึ่งตัวเขาเองก็ลองฟังอยู่หลายรอบแล้ว 

 

มันธรรมดาจริงๆ แม้หลายปีมานี้เขาจะพยายามเคี่ยวกรำฝึกฝนทักษะการร้องของตนเองอยู่ตลอดแต่สุดท้ายแล้วก็ยังดูธรรมดาอยู่ดี 

 

แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังเลือกส่งเดโม่อันนั้นมา 

 

เขาต้องการให้คนเหล่านี้คาดหวังกับตนเองไว้น้อยๆ หรือหากพูดตรงๆ ก็คือให้ดูถูกก่อน 

 

 ‘เตรียมตะลึงเถอะ! ให้กีตาร์ของฉันเอาชนะหูของพวกคุณ!’ 

 

เฉิงอี้หรานทำสัญลักษณ์โอเคส่งออกไป จากนั้นก็หลับตา วางนิ้วบนสายกีตาร์ แต่ตัวคนกลับไม่ขยับและไม่อ้าปากอยู่นาน 

 

จนกระทั่งเฉิงอวิ๋นที่อยู่อีกด้านหนึ่งรอจนรำคาญแล้ว เฉิงอี้หรานก็รัวนิ้วมือลงบนสายกีตาร์อย่างรวดเร็ว 

 

เสียงดังขึ้นสะเทือนอย่างรุนแรงเหมือนภูเขาไฟปะทุออกมา! พร้อมกันนั้นเสียงนี้ก็พุ่งเข้าไปในหูของเฉิงอวิ๋นและคนอื่นๆ พร้อมกับดึงดูดความสนใจของพวกเขาทั้งหมดได้ในพริบตา! 

 

ดูคล้ายกับ…มีเวทมนตร์! 

 

นักปรับแต่งเสียงลืมแท่นปรับแต่งเสียงตรงหน้าของตนเองไปชั่วขณะ นัยน์ตาเปล่งประกาย นิ้วมือเริ่มขยับเคาะขึ้นมาและพูดอย่างไม่รู้สึกตัวว่า “สงคราม…นี่เป็นเพลงของวงเสือดำ”  

 

ในที่สุดปากของเฉิงอี้หรานก็เข้าใกล้ไมค์และร้องขึ้นว่า 

 

“รักก็รัก ด้วยท่าทางสงบนิ่งแบบนั้น! 

 

ฝ่าฟันลมพายุ ตัดสินใจแล้วไม่คิดเสียใจ! 

 

ในสายตาของฉันทอดมองไปยังทะเลผืนหนึ่ง! 

 

ทุกความหยิ่งผยองจมลงอย่างรวดเร็ว! 

 

ระหว่างฟ้าดินตรงไปตรงมาอยู่เสมอ! 

 

แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่ซื่อสัตย์! 

 

คนมีอำนาจมาพร้อมกับความคิดสนุก! 

 

คุณไม่ชอบผมแต่กลับคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม! 

 

พูดถึงคุณนั่นแหละ เด็กน้อย เข้ามาสิ…”  

 

… 

 

เสียงของเฉิงอี้หรานหยุดลง และหลังเล่นโซโล่กีตาร์ท่อนสุดท้ายจบ เสียงกีตาร์ก็หยุดลง แต่หัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งกลับไม่อาจหยุดลงได้ในทันที 

 

ในตอนที่เฉิงอวิ๋นได้สติกลับมานั้น เขาก็พบว่าตัวเองลุกขึ้นยืนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้…เมื่อครู่ดูเหมือนเขาโยกแขนของตนเองตามจังหวะไม่หยุด  

 

 “สมบูรณ์แบบ…เยี่ยมมาก! เยี่ยมสุดยอด!” เฉิงอวิ๋นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและพูดว่า “เล่นเอาผมเหงื่อออกถึงขนาดนี้เลย!” 

 

 “ผู้อำนวยการเฉิง ผมก็เหมือนกัน! เฮ้อ!” หลี่จื่อเฟิงที่อยู่ข้างๆ ก็เช็ดเหงื่อ…ครึ่งหนึ่งคือตื่นเต้นจริงๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือตกตะลึง เขากลัวว่าเฉิงอี้หรานจะแสดงออกมาได้ไม่ถึงความคาดหวังของเขา แต่ตอนนี้โล่งใจได้แล้ว! 

 

 “ผมพูดกับคุณแล้ว!” 

 

เวลานี้เองนักปรับเสียงถึงได้พูดอย่างจริงจังว่า “กีตาร์อันเดียวกลับสร้างบรรยากาศเหมือนคอนเสิร์ตที่มีคนนับหมื่นคนได้ ฉันยอมจริงๆ! ผู้อำนวยการเฉิง อิงตามประสบการณ์หลายสิบปีของผม เขาจะต้องดังแน่! และดังมากด้วย! ถ้าไม่ดังละก็ ผม ผมจะถอนตัวออกจากวงการบันเทิงเลย!!” 

 

 “คุณถอนตัวออกกี่ครั้งแล้ว?” 

 

ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ผู้มีกลิ่นอายของผู้หญิงคนนั้นหรือนับได้ว่าเป็นนักปรับเสียง เพียงแต่มองเฉิงอี้หรานที่อยู่ด้านในอย่างหลงใหลและพูดขึ้นว่า “โอ้ ก็ถือว่าจัดแต่งได้…เมื่อปลดปล่อยความดุเดือดบ้าคลั่งออกมาแล้วก็ดูมีเสน่ห์มาก!”  

 

 “แล้วยังไง?” เฉิงอวิ๋นมองพนักงานเก่าที่เหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดของตนเอง แล้วก็ขมวดคิ้ว 

 

ในที่นี่นอกจากหลี่จื่อเฟิงแล้ว ฝ่ายผลิตอีกคนซึ่งก็คือผู้อาวุโสในฝ่ายผลิตพลันพยักหน้า และเอ่ยว่า “ผู้อำนวยการเฉิง ผมดูแล้ว เขาใช้ได้!” 

 

 “โอ้ จริงเหรอ?” 

 

เฉิงอวิ๋นพยักหน้าและยืนขึ้นจัดเสื้อผ้า พยักหน้าเอ่ยว่า “งั้นตามนี้! อา…จริงสิ ใครก็ได้ช่วยไปเอาบันทึกของท่อนเมื่อกี้มาให้ผมที ผมอยากฟังอีกรอบ!” 

 

เมื่อเฉิงอวิ๋นเดินออกจากสตูดิโอแล้วก็ลูบๆ คาง และพูดอย่างมั่นใจว่า “ครั้งนี้…เก็บสมบัติได้แล้วใช่ไหม? เอาเถอะ ถึงไม่ใช่เด็กสาวก็ไม่เป็นไร…ฮ่าๆๆ!” 

 

เฉิงอวิ๋นยังรู้สึกเลือดร้อนจนอยากเต้น จึงรีบกลับไปยังห้องทำงานของตนเองอย่างรวดเร็ว  

 

… 

 

 “คุณเฉิง! เยี่ยมยอดมาก! คุณทำให้ผมรับรู้ว่าอะไรถึงเรียกว่าการแสดงที่แท้จริง!” หลี่จื่อเฟิงเปิดประตูเดินไปตรงหน้าของเฉิงอี้หราน “ระดับเทพ! นี่เป็นระดับเทพเลย!!” 

 

 “ขอบคุณครับ” 

 

เฉิงอี้หรานพยักหน้าและเก็บของของตนเองอย่างระมัดระวัง เขาระมัดระวังในการเก็บกีตาร์ของเขามาก 

 

 “ผู้อำนวยการของพวกเราก็ค่อนข้างพอใจ” หลี่จื่อเฟิงยิ้มและเอ่ยว่า “ผมคิดว่าต่อจากนี้พวกเราคงคุยเรื่องสัญญาได้แล้ว” 

 

ตอนนี้เฉิงอี้หรานกลับสะพายกีตาร์ไว้ด้านหลัง และพูดอย่างเรียบเฉยว่า “อืม ผมก็ขอพิจารณาดูเงื่อนไขที่พวกคุณเสนอมาก่อนแล้วกันครับ” 

 

 “เรื่องเงื่อนไขจิ๊บจ๊อย!” หลี่จื่อเฟิงยิ้มและพูด 

 

เขาเองก็เคยเห็นนักดนตรีที่หยิ่ง…หรือจะพูดว่าเห็นมาเยอะแล้วก็ได้ 

 

แต่สำหรับนักดนตรีที่มีความสามารถจริงๆ และทำให้คนฟังหัวใจเต้นอย่างบ้าคลั่งแบบนี้แล้ว ถึงจะหยิ่งอย่างไรเขาก็รับได้! 

 

 “ค่อยติดต่อกันอีกครั้งแล้วกันครับ” 

 

เฉิงอี้หรานพยักหน้าและไม่คิดจะอยู่ต่อ เขาเดินออกจากห้องสตูดิโอบันทึกเสียงและออกจากอาคารที่ตั้งของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดในทันที 

 

… 

 

ในตอนที่เขาเดินอยู่บนถนนคนเดียวและมองแสงไฟของเมืองตรงหน้าแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ…การเผชิญหน้ากับคนของบริษัทใหญ่แบบนี้นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน  

 

แต่… 

 

 “ดูเหมือนจะไม่เลว…” 

 

เฉิงอี้หรานยิ้ม งั้นก็ดื่มด่ำไปกับความรู้สึกถูกคนไล่ตามก่อนดีกว่า! ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็ยื่นมือออกมาชูขึ้นไปยังท้องฟ้า กางนิ้วทั้งห้าออกมา จากนั้นก็งอนิ้วกลางและนิ้วนางลง 

 

 

 

*กิมมิค คือจุดเด่นของงาน