บทที่ 687 คุมขัง

บัลลังก์พญาหงส์

ตอนที่ถาวจวินหลันกำลังจัดการกิจวังหลวงในวังตวนเปิ่น ขันทีเป่าฉวนก็เข้ามาประกาศราชโองการอย่างกะทันหัน ความหมายของฮ่องเต้นั้นชัดเจนอย่างมาก สั่งห้ามไม่ให้นางออกไปไหน อีกทั้งยังไม่บอกว่าถึงเมื่อไร

 

 

แน่นอนว่าการห้ามออกไปไหนก็คือห้ามจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงออกไปข้างนอก แม้แต่เรื่องจัดการกิจในวังก็ถูกแย่งไปเช่นเดียวกัน แม้แต่หลี่เย่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา

 

 

หลังจากขันทีเป่าฉวนอ่านราชโองการเสร็จ ก็พูดกับถาวจวินหลันด้วยสีหน้าลำบากใจ “พระชายา ท่านว่า…”

 

 

ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้ว่าขันทีเป่าฉวนไม่มีวิธีอื่น จึงพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่มีทางทำให้กงกงลำบากใจแน่นอน แต่เรื่องนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่ ต้องขอให้กงกงช่วยบอกให้ข้ารู้หน่อยเถิด”

 

 

ขันทีเป่าฉวนถอนหายใจเบา ๆ เล่าเรื่องที่ฮ่องเต้ถามไถ่ทั้งหมด สุดท้ายก็พูดอีกว่า “กระหม่อมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นจะต้องคิดหาวิธีมาแจ้งก่อน”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า ยิ้มรับ “ข้าไม่โทษกงกง น้ำใจของท่านครั้งนี้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งมากแล้ว”

 

 

“กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวงเฟยเหนียงเหนียง” ขันทีเป่าฉวนพูดเสียงเบา “เมื่อวานนี้ฮ่องเต้เสด็จไปประทับอยู่ที่วังของจวงเฟยเหนียงเหนียง วันนี้ตอนเช้ากระหม่อมก็ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะได้พบผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

กู้ซีอย่างนั้นหรือ? ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ในใจ จากนั้นก็พยักหน้า “เรื่องนี้รบกวนกงกงไปบอกองค์รัชทายาทด้วย อีกอย่างขอให้กงกงช่วยข้าถ่ายทอดคำพูดกับองค์รัชทายาท บอกว่าข้าไม่ร้อนใจ คนบริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์วันยันค่ำ ถือว่าพักผ่อนรักษาตัวอยู่ในห้องระยะหนึ่งเท่านั้น ข้าจะได้บำรุงร่างกายไปด้วย”

 

 

ขันทีเป่าฉวนได้ยินถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ท่านคิดเช่นนี้ถือว่าดีมากพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ “มิเช่นนั้นจะให้ทำอย่างไร? อย่างไรก็ไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่ต้องกลัวอะไร”

 

 

ขันทีเป่าฉวนพยักหน้า กดเสียงให้เบาลงอีก “ที่จริงลี่ว์สือปฏิเสธเรื่องนี้ แต่ไปค้นภายในห้องของนางพบปิ่นทองของท่านเข้า ดังนั้นเรื่องนี้จึงอธิบายได้ยาก สุดท้ายลี่ว์สือรับโทษไม่ไหวถึงได้ยอมพูดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจว่าขันทีเป่าฉวนกำลังเตือนตนเอง จึงพยักหน้าพูดว่า “เรื่องนี้ข้าจะสืบให้ชัดเจน หากปิ่นทองเป็นของข้าจริง เช่นนั้นคงต้องไปสืบให้ดีแล้ว”

 

 

นางไม่เคยให้ปิ่นทองเป็นของรางวัล ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นเงินทอง ต่อให้บางครั้งจะตกรางวัลเป็นเครื่องประดับ ก็มีเพียงแค่พวกหงหลัวไม่กี่คนเท่านั้น อีกทั้งยังไม่มีลวดลายต่างๆ ของที่มีลวดลายในวังนางล้วนเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี

 

 

ดังนั้นถ้าจะสืบจริงๆ ก็ง่ายดายนัก

 

 

ถาวจวินหลันเข้าไปในห้องต่อหน้าขันทีเป่าฉวน แล้วยังให้ขันทีเป่าฉวนลงกลอนประตู แล้วเก็บกุญแจไป การคุมขังเช่นนี้ถือเป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ และไม่ให้นางใช้ความโปรดปรานและตำแหน่งมาแสวงหาผลประโยชน์

 

 

แน่นอนว่าแม้ประตูจะถูกปิด แต่หน้าต่างไม่ได้ถูกลงกลอนไปด้วย อย่างไรการส่งข้าวส่งน้ำยังต้องทำเช่นเดิม เพียงแค่หลังจากนี้จะยุ่งยากขึ้นเล็กน้อย โดยให้ส่งผ่านทางหน้าต่าง

 

 

คนที่ถูกคุมขังพร้อมถาวจวินหลันยังมีอีกสี่คนคือ ชุนฮุ่ย หงหลัว ปี้เจียว และสุ่ยเหวิน ทั้งสี่คนนี้เป็นคนที่นางพามาจากจวนอ๋อง เป็นคนที่นางเชื่อใจและอยู่ด้วยสบายใจที่สุด

 

 

ทางด้านขันทีเป่าฉวนเพิ่งจากไป ถาวจวินหลันก็ให้บรรดาบ่าวช่วยกันนับจำนวนเครื่องประดับและห้องเก็บของ “เห็นว่าปิ่นทองเป็นของข้า พวกเจ้าไปสืบว่าแท้จริงแล้วของหายไปจริงๆ หรือไม่”

 

 

หงหลัวรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของถาวจวินหลัน จึงไม่กล้าล่าช้าอีก สั่งให้สุ่ยเหวินอยู่รับใช้ข้างกายถาวจวินหลัน ส่วนคนอื่นก็พากันออกไปค้นสองคนแยกไปห้องเก็บของ อีกคู่ก็ไปดูกล่องเก็บเครื่องประดับ

 

 

ปิ่นในกล่องเก็บเครื่องประดับล้วนเป็นของทั่วไปในวัง และคนที่รับผิดชอบก็คือปี้เจียว ดังนั้นย่อมต้องให้ปี้เจียวอยู่ด้านนอก

 

 

ถาวจวินหลันก็ไม่มีเรื่องให้ทำ จึงยืนมองอยู่ข้างๆ

 

 

ตปิ่นที่ใช้เป็นปกติก็มากพอแล้ว ในกล่องเก็บของจึงเต็มล้นไปหมด ทั้งทองแดงเอย ฝังอัญมณีเอย หลากสีหลากแบบ ดูแล้วตาลายยิ่งนัก

 

 

ปี้เจียวหยิบสมุดมาเล่มหนึ่ง ตรวจสอบทีละชิ้น แม้จะบอกว่ายุ่งยากแต่ก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้

 

 

ถาวจวินหลันสั่งให้สุ่ยเหวินไปช่วยอีกแรง

 

 

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ทางด้านปี้เจียวก็ใช้เวลาตรวจสอบไปกว่าค่อนวัน สุดท้ายสีหน้าของปี้เจียวก็ไม่น่ามอง รายงานเสียงเบา “ปิ่นผีเสื้อตอมดอกไม้ทองแดงหายไปเพคะ เป็นของที่ส่งมาจากกรมช่างภายในวังหลวง เคยใช้วันขึ้นสิบห้าเดือนแปดเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันใจกระตุกเบาๆ “ใช้เมื่อวันขึ้นสิบห้าเดือนแปดหรือ? หายไปวันนั้นหรือไม่?” นางกับหลี่เย่ตกลงไป ที่สูงขนาดนั้นปิ่นปักผมจะตกกระจายก็เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งตอนนั้นนางยังเสียบปิ่นปักผมเอาไว้บนศีรษะจำนวนมาก จะหล่นไปสักอันสองอันก็ไม่แปลก อย่างไรตอนที่นางฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ปิ่นบนศีรษะก็ถูกถอดออกหมดแล้ว ไม่เคยใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้มาก่อน

 

 

ปี้เจียวได้ยินถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็ลังเลทันที หลังจากย้อนคิดอย่างละเอียดแล้วก็ยังไม่มั่นใจ “ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวาย อีกทั้งไม่ใช่หม่อมฉันที่ช่วยถอดปิ่นออกจากศีรษะของพระชายาองค์รัชทายาท แต่เหมือนว่าหลังจากวันขึ้นสิบห้าเดือนแปด ก็ไม่เห็นปิ่นอันนั้นอีกเลยเพคะ”

 

 

ปิ่นของถาวจวินหลันมีมากมาย อีกทั้งพยายามใช้ลายต่างกันทุกวัน ดังนั้นปิ่นธรรมดาที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร ปี้เจียวจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก

 

 

“ปกติใส่กุญแจกล่องเครื่องประดับอยู่เสมอ จะถูกเปิดออกแค่ตอนแต่งหน้าทำผมเท่านั้น กุญแจนั้นบ่าวเป็นคนรักษาเก็บเอาไว้มาโดยตลอด หากบอกว่าขโมยไปเกรงว่าคงไม่ง่ายเพคะ” ปี้เจียวพูดเสียงเบา แล้วยังโทษตัวเอง “แต่ต่อให้ถูกคนอื่นขโมยไป ตอนนี้ก็หาหลักฐานไม่ได้แล้ว”

 

 

ผ่านไปไม่นานหงหลัวกับชุนฮุ่ยก็กลับมา เห็นท่าทีของปี้เจียวก็เข้าใจทันที “หาเจอหรือไม่?”

 

 

ปี้เจียวพยักหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก “อืม ปิ่นผีเสื้อตอมดอกไม้ทองแดงหายไป แต่ยังไม่มั่นใจว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไร หลังจากใช้ในวันขึ้นสิบห้าเดือนแปดแล้ว ก็เหมือนจะไม่เห็นอีก”

 

 

หงหลัวได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างมั่นใจ “ต้องหายไปในวันขึ้นสิบห้าเดือนแปดเป็นแน่ ตอนนั้นบ่าวก็ไม่เห็นปิ่นผีเสื้อตอมดอกไม้อะไรเพคะ บางทีอาจจะตกอยู่ใต้ประรำบูชา แล้วถูกคนเก็บไป”

 

 

ถาวจวินหลันส่งเสียงรับคำ “ก็ไม่แปลก ตอนนั้นลมก็พัดแรง ตกหายไปแล้วจะไม่พบก็ถือเป็นเรื่องปกติ หากคนจะเก็บไปซ่อนเอาไว้ก็ไม่แปลก แต่ทำไมถึงได้บังเอิญขนาดนั้น ไปอยู่ในมือลี่ว์สือได้อย่างไร?”

 

 

ลี่ว์สือไม่ได้เข้าร่วมงานสมโภช ย่อมไม่มีทางเก็บปิ่นได้

 

 

อีกทั้งขันทีเป่าฉวนยังบอกว่าอาจเกี่ยวข้องกับกู้ซี กู้ซีจงใจใส่ร้ายนางอย่างนั้นหรือ? แต่อยู่ดีๆ กู้ซีจะมาใส่ร้ายนางทำไม? มีประโยชน์อะไรกับกู้ซี?

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย จึงตัดสินใจนอนลงสักพักเพื่อสงบใจ

 

 

แม้จะบอกว่าหงหลัวและคนอื่นๆ อารมณ์ไม่ดีเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น ทำได้แค่พยายามข่มใจสงบอารมณ์เท่านั้น

 

 

และหลี่เย่อารมณ์ขุ่นมัวเช่นกัน ฮ่องเต้คุมขังถาวจวินหลัน แล้วยังไม่อนุญาตให้เขามายุ่งกับคดีนี้ ความหมายนั้นชัดเจนมาก นี่เป็นการลงโทษและข่มขู่ที่ถาวจวินหลันปะทะกับฮ่องเต้ครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งเรื่องที่เขาไม่ยอมเชื่อฟัง

 

 

ลี่ว์สือถูกโบยจนขวัญกระเจิงไปแล้ว จึงยอมสารภาพเพราะถูกทรมานบังคับ เรื่องนี้คนมีตาล้วนมองออก แต่ฮ่องเต้กลับเชื่อ อีกทั้งยังกัดฟัดแน่นมั่นใจว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องจริง

 

 

พอเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งตอบโต้อะไรไม่ได้

 

 

เขานั้นเป็นห่วงถาวจวินหลันสุดหัวใจ ทั้งกลัวว่านางจะคิดมากเกินไป และกลัวว่านางจะหงุดหงิดไม่พอใจ และยิ่งกลัวว่านางจะกังวล อีกทั้งเมื่อเรื่องนี้กระจายออกไป ย่อมต้องส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของถาวจวินหลัน

 

 

ตอนแรกฮ่องเต้คิดจะมอบสิทธิ์ดูแลกิจวังหลวงให้กู้ซี แต่หลี่เย่เอ่ยเตือนฮ่องเต้ไว้ “อี้กู้เฟยจัดการเรื่องในวังหลวงได้ดี ไม่ควรเปลี่ยนคน อีกทั้งการดูแลกิจในวังก็เหนื่อยยิ่ง เกรงว่าจวงเฟยจะรับไม่ไหว จวงเฟยอ่อนแอบอบบางมาตั้งแต่เด็กแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฮ่องเต้ได้ยินก็มองหลี่เย่อย่างลุ่มลึก ก่อนพยักหน้ากล่าว “เช่นนี้ก็ให้อี้กุ้ยเฟยจัดการไปเถิด”

 

 

กลับไม่มีใครพูดถึงฮองเฮา มิเช่นนั้นแล้วสิทธิ์ดูแลก็คงต้องคืนให้ฮองเฮา

 

 

หลังจากนั้นหลายวัน หลี่เย่ก็ไม่ได้พบหน้าถาวจวินหลันอีก แม้เขายังกลับไปวังตวนเปิ่น แต่ถาวจวินหลันถูกขังเอาไว้ ไม่อาจพบหน้ากันได้ ถึงได้พูดคุยผ่านหน้ากำแพงสองสามคำ แต่สุดท้ายไม่ได้เห็นหน้าก็พาลทำให้กังวลใจเป็นยิ่ง

 

 

สิ่งเดียวที่หลี่เย่ทำได้คือให้หมอหลวงรีบช่วยเจียงอวี้เหลียน เท่านี้ถึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเจียงอวี้เหลียนฆ่าตัวตายหรือถูกคนวางยากันแน่

 

 

แต่ผ่านไปหลายวัน เจียงอวี้เหลียนก็ไม่มีแววจะดีขึ้น เรื่องราวเริ่มเข้าสู่สภาวะตึงเครียด หากเจียงอวี้เหลียนตาย ฮ่องเต้คงไม่ปล่อยถาวจวินหลันไปง่ายๆ แน่นอน

 

 

ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้จะยุติธรรมหรืออะไร แต่เพราะฮ่องเต้ยึดเอาเรื่องนี้มาใช้กดดันวังตวนเปิ่น

 

 

ดังนั้นตอนนี้สถานการณ์ของถาวจวินหลันจึงละเอียดอ่อนอย่างมาก

 

 

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่เรื่องนี้กลับไม่คืบหน้าแม้แต่น้อย จนหลี่เย่เริ่มร้อนใจ ทำเรื่องอะไรก็ไม่มีสมาธิ บวกกับการตั้งตนเป็นปฏิปักษ์จากจวงอ๋องและอู่อ๋องในราชสำนัก เขาก็ยิ่งอารมณ์ขุ่นมัว

 

 

จุดพลิกพันของเรื่องราวเกิดขึ้นโดยเร็ว แต่ไม่ใช่สิ่งที่หลี่เย่และถาวจวินหลันคาดหวังไว้ ทว่า…แย่ลง

 

 

จู่ๆ ฮองเฮาก็บอกว่าถาวจวินหลันเป็นเหตุให้หลิวซื่อตาย และตระกูลถาวก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ส่วนพยานก็คือถาวจือ

 

 

ถาวจือหนีออกจากวังตวนเปิ่น ไปขออาศัยอยู่ที่วังของฮองเฮา

 

 

ถาวจือออกมาเป็นพยานเช่นนี้ บวกกับความสัมพันธ์ในตอนนั้นของถาวจวินหลันและหลิวซื่อไม่ค่อยดี ทุกคนจึงพากันสงสัยนาง

 

 

การแย่งชิงลูกคนโต การแย่งชิงตำแหน่ง ความเกี่ยวข้องของผลประโยชน์เหล่านี้เหมือนจะเป็นเหตุผลและเหตุจูงใจมากพอให้ถาวจวินหลันลงมือกับหลิวซื่อ

 

 

แล้วยังมีการตายของหงฉวีที่ถูกเอามาโยงเข้ากับถาวจวินหลัน

 

 

ไม่นาน โทษของถาวจวินหลันก็ตามมาไม่ขาดสาย จนคนได้ฟังต้องอ้าปากค้าง

 

 

ฮ่องเต้กริ้วโกรธ สั่งให้คนคุมตัวถาวจิ้งผิงมาสอบสวน ไม่สนแม้แต่หน้าตาขององค์หญิงเก้า

 

 

ถาวจิ้งผิงถูกจับตัวไปเช่นนี้ ก็เหมือนหินก้อนเดียวสะท้อนให้เกิดคลื่นพันชั้น ทันใดนั้นทุกคนก็เริ่มสงสัยถาวจวินหลันและตระกูลถาวขึ้นเรื่อยๆ ชื่อเสียงของตระกูลถาวดำดิ่งลงไปใต้บ่อลึกทันควัน

 

 

และยังมีผู้ประสงค์ดีขุดเรื่องของถาวจื้ออู้ออกมาอีกด้วย