บทที่ 688 ใจเย็น

บัลลังก์พญาหงส์

เรื่องเหล่านี้ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้ หากรู้เข้าเกรงว่าคงแค่นหัวเราะออกมา เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถยืนกรานตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ นางทำให้หลิวซื่อตายอย่างนั้นหรือ? ช่างน่าขำเสียจริง ตอนที่หลิวซื่อตาย นางเองก็ติดเชื้อโรคระบาด เกือบตายด้วยเหมือนกัน! นางจำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อหลิวซื่ออย่างนั้นหรือ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแย่งชิงตำแหน่งชายาเอกในตอนนั้น แม้แต่การแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮา นางเองก็ไม่มีทางเลอะเลือนจนถึงขั้นนั้นเป็นแน่ นางกล้าเอาชีวิตของตัวเองมาเป็นประกันได้เลย!

 

 

ส่วนหงฉวียิ่งไม่มีความจำเป็น หงฉวีเป็นเพียงอนุภรรยา แล้วยังไม่ได้รับความโปรดปราน ไม่ว่าอย่างไรก็ข่มขู่นางไม่ได้ หากบอกว่าหลิวซื่อยังน่าเชื่อกว่าอีก!

 

 

และด้วยเพราะไม่รู้ ถาวจวินหลันถึงไม่ได้ร้อนใจหรือโมโห มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่านางคงโกรธจนกระอักเป็นเลือด นี่มันอะไรกัน? กลับผิดเป็นถูก กลับถูกเป็นผิดอย่างนั้นหรือ?

 

 

ตระกูลที่เกี่ยวข้องในคดีของถาวจื้ออู้ ตอนนี้จู่ๆ ก็ขดตัวกลายเป็นปมใหญ่ กัดฟันแน่นว่าตอนนั้นถาวจื้ออู้มีโทษสมควรได้รับ

 

 

ไม่นาน ทางด้านใต้เท้าเฉินก็ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด และตอนนี้แหขนาดใหญ่ปากหนึ่งสุดท้ายก็โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา

 

 

ตระกูลถาวแปลงเหตุร้ายให้กลายเป็นดี อาศัยแค่เพียงเรื่องนี้ หลี่เย่ก็คิดว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลหวัง มิเช่นนั้นไฉนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้? ตอนนี้เขายังถึงขั้นสงสัยว่า ‘อุบัติเหตุ’ ในวันขึ้นสิบห้าเดือนแปดเป็นฝีมือของฮองเฮา

 

 

เรื่องวันขึ้นสิบห้าเดือนแปดจนถึงตอนนี้เขายังสืบไม่พบเบาะแส เพราะตอนนั้นฮ่องเต้ทรงกริ้ว โบยคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมดจนตาย เรื่องนี้จึงขาดเบาะแสไปอย่างสมบูรณ์ คิดถึงตอนนั้นที่ฮ่องเต้ฟังสิ่งที่เขาสงสัยจบแล้ว ฮ่องเต้ก็ยังคงจัดการสั่งให้โบยจนตายโดยไม่ลังเล ก็ให้หลี่เย่รู้สึกหนาวเหน็บใจ

 

 

เขาคิดว่าฮ่องเต้ยิ่งผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ แล้ว กษัตริย์ที่ดีคงไม่ต้องพูดถึง ยิ่งเลอะเทอะเลอะเลือนขึ้นเรื่อยๆ

 

 

พูดตามจริงแล้ว ฮ่องเต้กดดันวังตวนเปิ่นเช่นนี้ เขาไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย พอเป็นเช่นนี้นอกจากทำลายความมั่นคงของราชสำนักแล้ว ยังมีประโยชน์อะไรอีก?

 

 

หลี่เย่ถอนหายใจ ก่อนนวดหว่างคิ้วเบาๆ แล้วหวังหรูก็เข้ามารายงานอย่างระมัดระวัง “องค์หญิงเก้ามาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าอยากพบองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่า…”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “ให้เข้ามา” ที่จริงใครก็รู้ว่าองค์หญิงเก้ามาด้วยจุดประสงค์อะไร ย่อมไม่พ้นเรื่องตระกูลถาวและถาวจิ้งผิง

 

 

แม้องค์หญิงเก้าปะแป้งมาหนา แต่ก็ไม่สามารถปกปิดอาการเหนื่อยล้าบนใบหน้าได้ รวมทั้งดวงตาที่บวมแดงนั่นด้วย

 

 

เห็นชัดว่าองค์หญิงเก้าเพิ่งร้องไห้มาอย่างหนัก เมื่อพบหลี่เย่ก็สะอึกสะอื้นพูดว่า “พี่รอง ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไรเพคะ?” ถาวจิ้งผิงถูกพาออกไปเช่นนี้ ใจของนางเหมือนกับคานหลักในห้องถล่มลงมา ไร้ซึ่งหลักพึ่งพิง ใจโหวงเหวงเดียวดายยิ่งนัก

 

 

หลี่เย่ปลอบองค์หญิงเก้าอย่างอดทน “ต้องไม่เป็นไร”

 

 

“แต่จิ้งผิงถูกพาตัวไปเพคะ” เห็นชัดว่าองค์หญิงเก้าไม่ได้ฟัง แต่กลับพูดออกมาอย่างโศกเศร้าเช่นนี้

 

 

หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็รับปากอย่างหนักแน่น “เดี๋ยวก็ได้กลับมาแล้ว” พูดจบก็ส่งผ้าเช็ดหน้าไปให้ “ร้องไห้ทำไมกัน? วางท่าให้ดูเข้มแข็งไว้ อย่างไรก็ต้องจัดการได้ ร้องไห้ไปก็มีแต่ให้คนอื่นสะใจเท่านั้น”

 

 

เขาคิดอบบนี้จริงๆ เขาเองก็ไม่ได้ใจเย็นหรือเฉยชา แต่เขาแสดงให้คนอื่นเห็นได้หรือ? แน่นอนว่าไม่ ยิ่งฝ่ายตรงข้ามอยากเห็น เขายิ่งต้องแสดงท่าทางใจเย็นออกมา

 

 

องค์หญิงเก้าซับน้ำตา สะอึกอยู่ครู่หนึ่ง “หม่อมฉันร้อนใจจะตายแล้วเพคะ ไฉนจะใจเย็นได้? หม่อมฉันไม่เหมือนพี่รองเสียหน่อย…”

 

 

หลี่เย่กวาดตามององค์หญิงเก้าเรียบๆ “หากร้องไห้แล้วมีประโยชน์ ข้าก็เต็มใจร้อง”

 

 

องค์หญิงเก้าอึ้งไป ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ ร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยอะไร แต่ตอนนี้นอกจากร้องไห้แล้ว นางก็ไม่รู้ว่ายังทำอะไรได้อีก

 

 

องค์หญิงเก้าครุ่นคิด ก่อนพูดเสียงเบา “หรือหม่อมฉันจะไปขอร้องเสด็จพ่อ…” นางพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะในใจของนางรู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่มีทางฟังนางเป็นแน่ นางไม่ได้รับความโปรดปรานมาแต่เด็ก ฮ่องเต้ฟังนางก็แปลกแล้ว อีกทั้งหากคำนึงถึงนาง เขาก็คงคำนึงถึงไปนานแล้ว ไฉนต้องรอจนถึงวันนี้?

 

 

“ไม่สู้เจ้าไปขอร้องกู้ซี” หลี่เย่แค่นหัวเราะออกมา

 

 

องค์หญิงเก้าตาเป็นประกาย สะอึกสะอื้นถามกลับว่า “มีประโยชน์จริงหรือเพคะ?” ถ้ามีประโยชน์ แม้จะต้องเสียหน้าไปบ้าง แต่นางก็เต็มใจ ขอแค่ถาวจิ้งผิงปลอดภัยก็พอแล้ว

 

 

หลี่เย่เห็นท่าทีขององค์หญิงเก้า ก็ให้นึกฉุนจนหัวเราะออกมา พูดเนิบช้าว่า “เจ้าเก้า เจ้าควรใจเย็นคิดให้ดีเสียก่อน“

 

 

พูดจบเขาก็ไม่สนใจองค์หญิงเก้าอีก แต่กลับเรียกให้โจวอี้เข้ามา สั่งเขาว่า “เจ้าแอบออกไปที่บ้านตระกูลเฉิน บอกใต้เท้าเฉินว่าต้องพลิกคดีที่ตระกูลถาวถูกใส่ร้ายให้ได้! ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรต้องทำให้เร็วที่สุด! มีอะไรข้าแบกรับไว้เอง”

 

 

โจวอี้พยักหน้า ถอยออกไปเงียบๆ ตรงไปยังบ้านตระกูลเฉินเพื่อถ่ายทอดคำพูด

 

 

จากนั้นหลี่เย่ก็หันไปสั่งหวังหรู “ช่วยนัดจวงอ๋องแทนข้า บอกว่าข้ามีเรื่องอยากพบเขา”

 

 

หลังจากหวังหรูออกไป หลี่เย่ก็สงบจิตสงบใจมานั่งดูฎีกา ไม่ได้สนใจองค์หญิงเก้าแม้แต่น้อย ตอนนี้องค์หญิงเก้ากังวลจนคิดอะไรไม่ได้แล้ว สูญเสียซึ่งสติสัมปชัญญะทั้งปวง ให้นางได้ใจเย็นเสียหน่อยถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

 

ผ่านไปนาน องค์หญิงเก้าถึงเอ่ยปากขึ้นมา ตอนนี้ไม่ได้ร้องไห้แล้ว “ถ้าสืบเรื่องนี้ไม่พบ พี่รองคิดจะทำอย่างไรเพคะ?”

 

 

หลี่เย่ชะงักปลายพู่กัน ดวงตาพลันทอประกายเฉียบคมกว่ามีด มือที่จับพู่กันก็กำเข้าหากันแน่น ข้อนิ้วปรากฏเป็นสีซีดขาว

 

 

จากนั้นเขาก็พูดเนิบๆ “ถ้าภรรยาของตนเองยังปกป้องไม่ได้ ยังจะเรียกว่าบุรุษอย่างนั้นหรือ?”

 

 

คำพูดนี้ฟังแล้วเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่พอลองพิจารณาดีๆ แล้ว องค์หญิงเก้าก็สัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น เห็นชัดว่าหลี่เย่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ส่วนสุดท้ายแล้วเขาจะทำอะไรเพื่อปกป้องภรรยาของตัวเองก็ไม่มีใครทราบได้ แต่องค์หญิงเก้ากล้ารับรองว่าไม่ใช่เรื่องที่นุ่มนวลแน่นอน

 

 

แต่คำพูดของหลี่เย่กลับกระตุ้นความกล้าขององค์หญิงเก้า จู่ๆ องค์หญิงเก้าก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ลังเลอยู่พักใหญ่แล้วจึงเงยหน้าพูดว่า “ที่จริงแล้วชายารัชทายาทเคยบอกเรื่องหนึ่งกับข้า”

 

 

หลี่เย่เงยหน้าขึ้นทันที “เรื่องอะไร?”

 

 

“ชายารัชทายาทฝากข้าบอกคนตระกูลเฉิน ให้เตรียมตัวยื่นฎีกาปลดฮ่องเต้เพคะ” องค์หญิงเก้าลดเสียงลง รู้สึกหวาดกลัวอยู่ตลอด กลัวว่าคนอื่นจะได้ยินคำพูดหักหลังนี้

 

 

หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ พอจะเดาอะไรได้บ้าง “ตอนที่ฮ่องเต้ต้องการแต่งตั้งกู้ซีเป็นหวงกุ้ยเฟยกระมัง?”

 

 

องค์หญิงเก้าพยักหน้า แปลกใจเล็กน้อย “พี่รองทราบได้อย่างไรเพคะ?”

 

 

“เพราะระยะนี้เสด็จพ่อไร้สาระอยู่เรื่องเดียว” หลี่เย่ตอบออกมาเรียบๆ สุดท้ายก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกโดยเร็ว “ทำตามนั้นเถิด”

 

 

เรื่องการเคลื่อนไหวกอบกู้ตระกูลถาวก็ไม่มีอะไรเสียหาย เขาเองรู้ดีมาตลอด แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ก็ไม่อาจนอนตาหลับทุกเรื่องสมใจปรารถนา มีเรื่องต้องคอยระแวงเช่นกัน ของสิ่งนั้นเรียกว่าใจประชาชน

 

 

ล้วนพูดกันว่าบัณฑิตเป็นของไร้ประโยชน์ แต่หากบัณฑิตเกิดโมโหขึ้นมา พู่กันในมือเหล่านั้นย่อมน่าหวาดกลัวมากกว่ากระบี่

 

 

หลี่เย่แค่นยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าไปติดต่อ ให้พวกเขายื่นฎีกา พูดแทนคนตระกูลถาว พูดแทนถาวจิ้งผิง ข้าอยากดูนักว่า ใครจะกล้าทำอะไรจิ้งผิงและตระกูลถาวอีก”

 

 

ถาวจวินหลันใส่ใจเรื่องของตระกูลถาวที่สุด เขาต้องช่วยปกป้องตระกูลถาวเอาไว้แทนถาวจวินหลัน อีกทั้งเขาก็ไม่อยากหยิกเล็บเจ็บเนื้อ

 

 

ตอนที่ตระกูลถาววุ่นวาย และหลี่เย่ก็พยามยามทำทุกอย่างสุดความสามารถ ทางถาวจวินหลันกลับมองดูปี้เจียวทำเสื้อผ้าให้นางอย่างสบายอารมณ์ ตอนนี้ท้องของนางเริ่มนูนชัดแล้ว จึงต้องสวมใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ขึ้น แม้ครั้งยังเป็นชายารองก็มีเสื้อผ้าเช่นนี้ แต่ตอนนี้ฐานะเปลี่ยนไป คงต้องทำเสื้อผ้าใหม่เอาไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นสีหรือรูปแบบล้วนเปลี่ยนไปหมด

 

 

ภายในห้องนั้นกำลังพูดคุยกัน ฉับพลันก็มีนางกำนัลคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้หน้าต่าง ตะโกนเรียก “พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ!”

 

 

ถาวจวินหลันหันไปสบตากับบรรดาบ่าวอย่างตกใจ หงหลัวลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง “ใครพูด”

 

 

นางกำนัลคนนี้ดูแปลกหน้า แล้วยังรีบพูด “บ่าวเป็นนางกำนัลที่รับผิดชอบงานทั่วไปในวังอิงเฟยเหนียงเหนียงเพคะ ที่มาครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่งให้มาคุยกับพระชายาองค์รัชทายาท”

 

 

ได้ยินว่าเป็นอิงเฟย ถาวจวินหลันก็พยักหน้าเข้าใจ “เรื่องอะไร? เจ้าพูดเถิด”

 

 

นางกำนัลคนนั้นรีบเล่าเรื่องภายนอกวัง สุดท้ายก็พูดว่า “ตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ภายในวังกำลังปรึกษาเรื่องปลดตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทของท่านเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ แววตาก็เย็นเยียบทันที

 

 

นางกำนัลคนนั้นตกใจจนต้องหดคอ รีบเอ่ยทูลลา “ตอนนี้บ่าวถ่ายทอดคำพูดหมดแล้ว บ่าวขอทูลลา มิเช่นนั้นคนอื่นพบเข้าจะไม่ดีเพคะ”

 

 

ย่อมไม่มีใครห้ามเอาไว้ อย่างไรจะห้ามก็คงห้ามไม่อยู่

 

 

หงหลัวหันไปมองถาวจวินหลันทันที

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว ประคองเอวลุกขึ้นมายืนนิ่ง ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ สีหน้าครุ่นคิด

 

 

หงหลัวเริ่มกังวลใจ จึงเอ่ยปากเรียก “พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ?”

 

 

ถาวจวินหลันถึงได้สติกลับมา ก้มลงไปมองอย่างเลื่อนลอย ขมวดคิ้วถามว่า “พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

 

 

หงหลัวกลัวว่าถาวจวินหลันจะกังวลจึงส่ายหัวทันที “เกรงว่าจะเป็นเรื่องโกหก ไฉนจะเป็นเช่นนี้ได้? นี่ต้องเป็นข่าวลือ…”

 

 

“ข้าว่าเป็นเรื่องจริง” ถาวจวินหลันหรี่ตาลง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแววตาก็เย็นเยียบ “นี่มีคนจงใจตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับข้า ตั้งใจให้ข้าไม่พอใจ คิดว่าพวกเขาคงอยากให้เรายุ่งเหยิงเป็นแน่”

 

 

หงหลัวพูดเรื่องที่เหลือไม่ออกในทันที นางคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะสงบนิ่งและใจเย็นถึงเพียงนี้ แต่พอคิดดูให้ดีก็เหมือนเป็นเรื่องแน่นอน ถาวจวินหลันดูเหมือนจะไม่เคยมีช่วงเวลาที่ลนลานมาก่อนกระมัง? ไม่ว่าสถานการณ์จะแย่เพียงใด นางเองก็รับมือด้วยความใจเย็นสงบนิ่งมาตลอด

 

 

แต่ทำไมท่าทีของถาวจวินหลันถึงทำให้ใจของนางยิ่งเจ็บปวดและสงสารเล่า?

 

 

หงหลัวไม่ทันได้สนใจความเจ็บปวดของตนอีก เพราะถาวจวินหลันพูดกำชับเสียงเบา “คิดหาวิธีเรียกจิ้งหลิงมาหาข้า ข้ามีเรื่องอยากถามนาง”