บทที่ 165 บึงหมอกศิลา
ปาเหยียนผู้สวมชุดเกราะเหล็กมังกรเถื่อนอยู่ กำลังเดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย
“บัดซบ พวกนั้นหายไปกันนานเกินไปแล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีการติดต่ออะไรมาอีก ?”
“ความใจร้อนคือศัตรูตัวฉกาจของความสำเร็จ” ผู้ช่วยของปาเหยียน นักรบโทเทมขั้นสูงเกาซือเค่อกล่าวเตือนเขา “โปรดอดทนรออีกสักหน่อย อาซือถิงคงจะส่งข่าวมาในไม่ช้า”
“ข้าเกลียดการรอคอย !” ปาเหยียนโวยวายด้วยความไม่พอใจ
เกาซือเค่อทำได้เพียงถอนหายใจ ปาเหยียนนั้นหุนหันพลันแล่นและประมาทเกินไป เขาแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ด้วยอุปนิสัยและอารมณ์ของเขา ทำให้เขาไม่สามารถเป็นหัวหน้าเผ่าคนใหม่ได้ เหตุผลที่ตานปาเอาชนะเขาได้ก็เพราะใช้อารมณ์อันแปรปรวนนี้มาย้อนเล่นงานตนเองนี่แหละ
เกาซือเค่อหวังว่าภารกิจนี้จะไม่ถูกทำลายด้วยความหุนหันพลันแล่นนี้
เขารู้ดีว่าตานปาไม่ชอบปาเหยียน เหตุผลเดียวที่อีกฝ่ายเก็บปาเหยียนไว้ข้างตัวเพียงเพราะเขาต้องการกำลังและการสนับสนุนจากหัวหน้าเผ่า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือข้อตกลงทางการเมือง
ดังนั้นเกาซือเค่อจึงเชื่อว่าตานปาจะไม่ฆ่าปาเหยียน ถ้าปาเหยียนตายอีกฝ่ายก็คงไม่ได้อะไรจากเรื่องนี้
แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
มันจะง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ ?
เมื่อพิจารณาถึงความฉลาดของตานปาแล้ว เกาซือเค่อนึกฉงนใจว่าตนเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างดีแล้วจริง ๆ ใช่ไหม ?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตานปาแฝงเป้าหมายบางอย่างที่แยบยลกว่านี้ไว้ล่ะ ?
จู่ ๆ ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเกาซือเค่อ
น่าเสียดายที่เผ่าคนเถื่อนไม่ใช่นักคิดที่ดีนัก การต้องคิดมากจึงมักทำให้พวกเขาอึดอัดยิ่ง
อ่า ช่างมันไปเถอะ ทำไมเขาจะต้องคิดมากด้วย ? ตราบเท่าที่เขาได้ทำในสิ่งที่ตัวเองสบายใจ มันก็ดีพอแล้ว
เกาซือเค่อปลอบใจตัวเอง และเลิกคิดมาก
นี่คือเผ่าคนเถื่อน แม้จะมีบางเวลาที่พวกเขาจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ทว่าช่วงเวลาเช่นนั้นก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน
พวกเขายังคงเฝ้ารอคอยต่อไป
ความสามารถในการรับรู้ถึงพลังต้นกำเนิดของเผ่าคนเถื่อนนั้นต่ำมากเกินไป
แม้ว่าปาเหยียนกับคนของเขาจะซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนัก และความผันผวนของพลังอันทรงพลังจากจุดที่สู้กันนั้นมากเกินพอที่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจะสามารถรับรู้ได้ตั้งนานแล้ว
ทว่าสำหรับคนเถื่อนที่มีความสามารถในการรับรู้ในระดับที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินนี้ พวกเขากลับไม่รู้ถึงการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นเลย แม้ว่าในกลุ่มจะมีนักรบอารามอยู่ถึง 3 คนก็ตาม
จวบจนกระทั่งศรเพลิงพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า
“มาแล้ว !”
ปาเหยียนรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง ในที่สุดสัญญาณที่เขาเฝ้ารอคอยก็มาถึง
“โจมตี !” เขาหันกลับมาและส่งเสียงตะโกนใส่นักรบเผ่าคนเถื่อนทั้งหลาย
ภายใต้การนำของเขา กลุ่มนักรบ 500 คนก็พลันร้องคำรามแล้วพุ่งตรงไปที่หนองน้ำด้วยท่าทางที่ดุร้ายและไร้ความกลัว
ที่ซ่อนตัวไม่ได้อยู่ใกล้จากหนองน้ำที่ทั้งสองสู้กันมากนัก ด้วยร่างกายที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อของคนเถื่อน พวกเขาจึงไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่คนกลุ่มใหญ่ได้พบคือจุดนัดพบที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ที่นั่นเลย
“เกิดอะไรขึ้น ?” ดวงตาของปาเหยียนแทบจะถลนออกจากเบ้า “ฉือหมิงเฟิงกับอาซือถิงอยู่ที่ไหน ?”
เหล่านักรบคนเถื่อนต่างก็ชำเลืองมองกันและกัน พวกเขาต่างก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ดูนั่น !” นักรบคนเถื่อนก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
ทุกคนเหลือบมองไปในทิศทางที่นักรบผู้หนึ่งชี้ และเห็นฉือหมิงเฟิง
อีกฝ่ายกำลังจ้องมองมายังกลุ่มนักรบด้วยดวงตาเย็นชาที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธ
“อาซือถิง !” เขากัดฟันกล่าวอย่างหงุดหงิด จนกึงก่อนหน้านี้เขายังคงหวังว่าตนและซูเฉินจะคิดผิด แต่เมื่อได้เห็นนักรบคนเถื่อนเหล่านี้ หัวใจของเขาก็พลันเต็มไปด้วยความโกรธ
“มนุษย์ !” ปาเหยียนเลียริมฝีปากของเขา “ดูเหมือนเจ้าจะเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว”
“ก็เตรียมเอาไว้ดีพอเกินกว่าที่เจ้าจะคิดได้” ฉือหมิงเฟิงตอบ
เขายกมือขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ปาเหยียนสังเกตเห็นว่าหนองน้ำที่อยู่ตรงเบื้องหน้าของเขา จู่ ๆ ก็เริ่มมีฟองผุดกระจายขึ้น
โคลนสีดำเหม็นหืนที่ก้นหนองน้ำลอยขึ้นสู่พื้นผิวน้ำ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่อยู่ด้านใต้กำลังเคลื่อนไหว
“นั่นอะไรน่ะ ?” ปาเหยียนถามด้วยความประหลาดใจ
เกาซือเค่อถอยกลับ “เราควรถอยออกไปกันสักหน่อย”
เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่มนุษย์เตรียมไว้สำหรับพวกเขา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ อย่างน้อยที่สุดเกาซือเค่อก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
เขาต้องการดึงปาเหยียนให้ถอยออกมา แต่ความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายทำให้เจ้าตัวไม่ยอมขยับไปไหน
ปาเหยียนตอบ “ข้าไม่เห็นรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังอะไรเลย”
ในฐานะบุตรชายของหัวหน้าชนเผ่ากิ้งก่ากรวด ปาเหยียนมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่แข็งแกร่งจากการได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี นี่คือเหตุผลที่คนโง่อย่างเขาสามารถรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
“ข้าไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังอะไรเลยเช่นกัน แต่ข้าก็ยังคงรู้สึกว่าเราควรออกจากหนองน้ำนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” เกาซือเค่อกล่าวอย่างกังวล
“เจ้ากำลังบอกว่าเจ้ารู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของชายผู้นั้นหรือ ?” ปาเหยียนยิ้มอย่างดุร้าย “ข้ามาที่นี่เพื่อฆ่าซูเฉิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็จะไม่ล่าถอยจนกว่าข้าจะจบเรื่อง”
นี่คือปมของปัญหา แม้ว่าฉือหมิงเฟิงจะประกาศว่าเขาเตรียมตัวรับมือไว้อย่างดีแล้ว แต่ปาเหยียนก็จะไม่คิดถอยหนี ใครจะรู้ศัตรูอาจจะใช้กลเมืองร้าง[1]อยู่ก็เป็นได้ ? หากไม่ได้เผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายกับตัว เขาก็ไม่เคยคิดที่จะล่าถอย
เมื่อเห็นสถานการณ์ตอนนี้ แม้แต่ฉือหมิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชมในความสามารถคาดเดาสถานการณ์ของซูเฉิน
ชายหนุ่มพูดถูก คนเถื่อนยังไงก็ยังเป็นคนเถื่อน แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขากำลังวิ่งเข้าหากับดัก พวกเขาก็ยังคงบุกเข้าโจมตีอย่างกล้าหาญ
ฟองน้ำยังคงผุดขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างต่อเนื่อง โคลนตะกอนสีดำเองก็ลอยขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ กระบวนการนี้กินเวลาไม่นานนัก แต่ก็ไม่สั้นเช่นกัน มันมากเกินพอที่ผู้ตื่นตัวจะหลบหนี แต่ก็ไม่เร็วพอที่จะทำให้คนที่อยากต่อสู้ตกใจกลัว
“จับมัน !” ปาเหยียนตะโกนชี้ไปที่ฉือหมิงเฟิง
“โอ้วว !” นักรบคนเถื่อนทั้งหมดโห่ร้องตอบรับและพุ่งเข้าไปโจมตีอีกฝ่าย
เมื่อเห็นคลื่นคนเถื่อนพุ่งเข้าหาตัวเอง ฉือหมิงเฟิงก็พึมพำ “ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของซูเฉิน”
ขวานมากมายพากันบินข้ามท้องฟ้ามาขัดจังหวะความคิดของเขา
อย่างไรก็ตาม ฉือหมิงเฟิงไม่ได้ตอบสนองต่อการโจมตีเหล่านั้น ฟองในหนองน้ำเริ่มผุดขึ้นมาเร็วและแรงกว่าเดิม โคลนที่ก้นหนองน้ำพุ่งขึ้นสูงก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงดินขนาดใหญ่ขวางกั้นขวานบินทั้งหมดเอาไว้
ไม่เพียงเท่านั้น โคลนในหนองน้ำเริ่มเดือดพล่านมากขึ้น พริบตาต่อมาก็มีเสียงดังตูม เสาโคลนพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าและกระจายไปทั่ว
น้ำโคลนนี้ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับพวกคนเถื่อนเลย แต่การแสดงออกที่ตื่นเต้นอย่างมากกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉือหมิงเฟิง “เป็นบึงหมอกศิลา ! เป็นบึงหมอกศิลาจริง ๆ! ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ที่นี่ !!! ขอบใจเจ้ามาก ซูเฉิน !”
ขณะที่พูด โคลนในบึงหมอกศิลาก็เริ่มก่อตัวกลายเป็นยักษ์โคลนขนาดใหญ่มหึมา
“โฮก !” หลังจากร้องคำราม ยักษ์ใหญ่ก็พุ่งเข้าหานักรบคนเถื่อนและต่อยหมัดที่น่ากลัวเข้าใส่พวกเขา
คลื่นพลังรุนแรงระเบิดออกมา ส่งกระแสพลังอันโหดร้ายพัดกวาดเหล่านักรบคนเถื่อนมากมายบินไป หลายสิบคนที่อยู่ด้านหน้ากระดูกแตก อวัยวะถูกบดและเสียชีวิตทันที
“บึงหมอกศิลา !” เกาซือเค่อตะโกนด้วยความตกใจ
“มันคืออะไร ?” ปาเหยียนยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์นัก เขาจึงหันกลับมาถามเกาซือเค่อ
เกาซือเค่อตะโกนเสียงดัง “ออกไปจากที่นี่เร็วเข้า !”
ปาเหยียนต้องการจะพูดต่อ แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เขาหันกลับมาและเห็นว่าร่างกายของฉือหมิงเฟิงเริ่มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งเองก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกฝ่ายก้าวข้ามขีดจำกัดก่อนหน้านี้ที่จำกัดเขาไว้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลานั้นปาเหยียนรู้สึกเหมือนกับว่าผู้ที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ
“เวรเอ้ย !” ปาเหยียนสบถด่า
[1] กลเมืองร้าง (The stratagem of the Empty City, 空城计) – เป็นกลอุบายลือชื่อ จัดอยู่ในลำดับที่ 32 ของ 36 กลยุทธ์จีน ซึ่งนักอ่านสามก๊กตัวยง จะรู้จักกันดีว่าเป็นอุบายของ “จูกัดเหลียง” หรือ “ขงเบ้ง” ที่ใช้โดยการแสร้งตีขิมอยู่บนกำแพงเมืองที่เปิดประตูโล่ง ลวงให้สุมาอี้ระแวงสงสัย ไม่กล้าเข้าตีและยกทัพกลับไป