บทที่ 96 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 96 ความลำบากใจ (3)

             อี้เป่ยซีอยู่ในห้องนอนของตัวเองตลอดเวลา เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างนอกเป็นครั้งคราว ยังคงเงียบสงบ ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย เธอวางหนังสือลง รู้สึกห่อเหี่ยว

            ‘ป่านนี้แล้ว ลั่วจื่อหานน่าจะกลับไปแล้วมั้ง’

            ‘เขาจะจากไปโดยไม่บอกลาคำเลยงั้นเหรอ? ช่างไร้มารยาทจริงๆ’

            อี้เป่ยซีคิดพลางเปิดประตูห้องเบาๆ ชะโงกหน้าออกไปก็ถูกใครบางคนใช้นิ้วเคาะหัว

            “โอ๊ย นายมือหนักชะมัดเลย” อี้เป่ยซีนวดคลึงหน้าผากของตัวเอง มองค้อนเขาด้วยความไม่พอใจ

            “กินข้าวได้แล้วเป่ยซี”

            “หา” เธอแอบมองลั่วจื่อหาน ‘ทำไมพออยู่กับนายแล้ววันๆ เอาแต่กินๆๆ’ คิดแล้วทันใดนั้นก็รู้สึกขุ่นเคือง ‘คนคนนี้น่าเบื่อเกินไปแล้ว’

            ลั่วจื่อหานเพียงเหลือบมองก็เข้าใจความคิดของเธอ หัวเราะแผ่วเบา เดินอยู่ด้านหน้า อี้เป่ยซีตามหลังเขาไป เดินไม่กี่ก้าวก็ชนกำแพงเข้าอย่างจัง เธอเจ็บจนน้ำตาแทบไหล

            “ลั่วจื่อหานนายตั้งใจใช่หรือเปล่า”

            เขายักๆ ไหล่ “กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ จริงจังเชียว”

            อี้เป่ยซีไม่พูดความในใจออกมาอยู่แล้ว มองไปทางอื่น “เอ่อ กินข้าว กินข้าว”

            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานลงบันไดต่ำกว่าเธอขั้นหนึ่ง ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้ “กำลังคิดถึงฉันเหรอ หืม?”

            อี้เป่ยซีหน้าแดง “เปล่า เปล่านะ ฉัน ฉันจะคิดถึงนายทำไม นายก็อยู่ตรงหน้า…” ได้ยินเสียงหัวเราะของฝ่ายชายหน้าของอี้เป่ยซียิ่งแดงกว่าเดิม “ไม่ใช่ ฉันหมายความว่า อัยยา ไม่พูดแล้ว ฉันหิวแล้วจะไปกินข้าว” พูดจบก็ต้องการจะเดินหลบไปด้านข้าง แต่ถูกลั่วจื่อหานดึงเข้ามากอด

            “งั้นก็ต้องคิดถึงฉันคนเดียว มองฉันคนเดียว และในใจก็ต้องมีแค่ฉันคนเดียว” พูดจบก็ประกบริมฝีปากของเธออย่างลึกซึ้ง แม้ไม่ได้ดูดดื่มแต่ว่าระคนด้วยความรักและความทะนุถนอม อี้เป่ยซีมองเขางงงวย ลืมตอบสนองไปชั่วขณะ

            เมื่อได้สติกลับมา อี้เป่ยซีจึงพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของลั่วจื่อหานไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร และเขากำลังป้อนข้าวเธออย่างสบายอารมณ์

            “ฉัน ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว กินเองได้” พูดพลางต้องการจะลุกขึ้นจากเขา ลั่วจื่อหานไม่ได้ห้ามเธอ หัวเราะพร้อมมองเธอนั่งลงตรงข้ามตัวเอง อี้เป่ยซีรู้สึกอึดอัด

            “เป่ยซี เธอสวยจังเลย เวลากินข้าวก็สวยมาก”

            ตะเกียบของอี้เป่ยซีเกือบร่วงลงพื้น ‘นี่คือลั่วจื่อหานที่เธอรู้จักเหรอ? ทำไม เขาถึงพูดจา…ชวนคลื่นไส้แบบนี้’ ทำทีขยะแขยงแต่กลับรู้สึกเบิกบานในใจ

            หลังจากกินข้าวเสร็จอย่างสงบภายใต้สายตาของลั่วจื่อหานแล้ว อี้เป่ยซีตัดสินใจจะใช้แผนการหลบหนีซึ่งเป็นแผนการที่ดีที่สุด ลุกขึ้นยืนฉับพลัน รู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยมากจนอยากจะกลิ้งไปกับพื้น

            “เป็นอะไรไป” ลั่วจื่อหานรีบเดินมาหาเธอ เห็นใบหน้าของเธอซีดขาว บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อบางๆ ซึมออกมาด้วย

            “ไม่ ไม่รู้ ปวดท้องมากเลย” เธอกัดริมฝีปากแน่น ลั่วจื่อหานอุ้มเธอ

            “ฉันจะพาเธอส่งโรงพยาบาล”

            อี้เป่ยซีพิงอยู่บนตัวเขาอย่างหมดแรง พยักหน้าน้อยๆ

            ในโรงพยาบาล

            มู่ลี่ไป๋มองดูทั้งคนสองที่เหมือนกระต่ายตื่นตูมเมื่อครู่ก็นึกขำ ‘เรื่องแบบนี้ ลั่วจื่อหานอายุป่านนี้แล้วไม่รู้งั้นเหรอ? ยัยหนูนั่นก็ไม่รู้?’

            เขากระแอมไอ “โรคนี้อาจจะอยู่กับเธออีกหลายสิบปี แต่วางใจเถอะ ไม่ร้ายแรงหรอก”

            ลั่วจื่อหานเหลือบมองเขา มู่ลี่ไป๋รีบเก็บอาการขึงขังของตัวเอง “มากินยาแก้ปวด กลับไปก็ดื่มน้ำหวานสักหน่อย ทางที่ดีที่สึดคือทำท้องน้อยให้อุ่น ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่เป็นอะไร”

            “เขาเป็นอะไรไป?” ลั่วจื่อหานมองดูคนข้างๆ ที่ใบหน้าซีดขาว รู้สึกปวดใจ

            “ปวดเดือนละครั้งน่ะ ดูท่าทางนายแบบนี้ รออาการทุเลาเถอะ” พูดพลางยื่นใบสั่งยาให้เขา เห็นว่าเขาไม่รับก็กัดฟันออกไปรับยาเองแล้ว

            เมื่อทั้งสองคนเข้าใจความหมายที่มู่ลี่ไป๋พูด หน้าก็แดงเล็กน้อย อี้เป่ยซีทนไม่ไหวจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

            ‘น่าจะนึกออกตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ปล่อยไก่ตัวใหญ่จริงๆ’

            “ฉัน…”

            “ฉัน…”

            สองคนพูดพร้อมกัน ลั่วจื่อหานไออย่างอึดอัด “เป็นไงบ้าง? ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

        “ปะ เปล่า” เธอกำเสื้อของตัวเอง ก้มหน้า

            มู่ลี่ไป๋เอายากลับมาเห็นท่าทางของสองคน อดไม่ได้ที่จะมีความสุขไปกับเพื่อนสนิทของตัวเอง “เด็กน้อยผู้ไร้ความรู้ จำไว้ว่าช่วงนี้ห้ามมี*** เข้าใจไหม?” เขาตั้งใจเน้น***สามคำนี้มาก เห็นดวงตาที่เบิกกว้างและแก้มที่แดงก่ำของอี้เป่ยซี รู้สึกดีใจที่มุขแผลงๆ ประสบความสำเร็จ

            “พวกเรา…ไม่ได้…”

            “รู้แล้ว” ลั่วจื่อหานไม่ได้มองเขาอีก เดินเฉียดไหล่ของเขาออกจากโรงพยาบาลไป

            ยื่นของที่เตรียมไว้แล้วให้อี้เป่ยซี ชงน้ำหวานอยู่ด้านข้างพร้อมอ่านเนื้อหาในโทรศัพท์มือถืออย่างตั้งใจ ราวกับว่ากำลังทำโครงการขนาดใหญ่

            เขาเหลือบมองชั้นบน มุมปากยกยิ้ม ขึ้นชั้นบนแล้วเคาะประตู อี้เป่ยซีนอนอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความอ่อนล้าเล็กน้อย ใบหน้ายังคงไร้สีเลือด

            “ยังปวดมากไหม?”

            เธอพยักหน้าแล้วก็ส่ายหัว รับน้ำหวานมา ของเหลวอุ่นๆ ไหลเข้าสู่ร่างกาย ปลอบประโลมบริเวณที่เจ็บปวด

            อี้เป่ยซีม้วนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบางๆ “ฉันเพลียแล้ว นอนก่อนนะ”

            ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านหลัง อี้เป่ยซีพิงอยู่บนหมอน ความเจ็บปวดของท้องน้อยไม่สามารถทำให้เธอพักผ่อนได้ จู่ๆ เตียงสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นลั่วจื่อหานก็เอนตัวอยู่ข้างๆ เธอ มืออุ่นๆ ลอดผ่านผ้าห่มและวางอยู่บนท้องน้อยของเธอ นวดคลึงเบาๆ

            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน นาย…” อี้เป่ยซีต้องการจะลุกขึ้นก็ถูกมือนั้นกดไว้

            “อย่าขยับสิ เป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?” เขานวดคลึงต่อไป อี้เป่ยซีหน้าแดงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ว่าก็ไม่มีทางหนี ทั้งร่างกายอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ได้ยินคำถามของเขา อี้เป่ยซีเงียบไปครู่หนึ่ง

            “เปล่า…ฉัน…อือ นี่เป็นครั้งแรกของฉัน…ก็เลย”

            ลั่วจื่อหานหัวเราะ ลมหายใจรดถี่อยู่บนคอของเธอ “นี่ก็เป็นครั้งแรกของฉัน” ด้วยเสน่ห์ที่ยากจะเหลือรับ หัวใจของอี้เป่ยซีเริ่มเต้นรุนแรงอีกครั้ง เธอไม่กล้าขยับตัว ตอบว่าอือเบาๆ ไม่กล้ามีปฏิกิริยาอื่นอีก

            “แบบนี้สบายหรือเปล่า?”

            อี้เป่ยซีรู้สึกได้ถึงสัมผัสอบอุ่นบนท้องน้อย เหมือนกับน้ำหวานแก้วนั้นที่ปลอบประโลมเธอ “สบาย สบายมาก”

            “เพลียแล้วก็นอนเถอะ”

        “อืม”

            ทันทีที่ฟ้าสางลั่วจื่อหานก็ลืมตาขึ้น มองดูเด็กสาวที่โอบกอดตัวเอง รู้สึกพึงพอใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

            พอลืมตาก็เห็นคนที่ตัวเองชอบ ข้างกายล้วนเป็นลมหายใจที่ตัวเองชอบ หนึ่งวันสามเวลา ตราบฟ้าดินสลาย

            ราวกับว่าเวลานี้ ได้ครอบครองโลกทั้งใบแล้วจริงๆ

            เขาพลิกตัวเล็กน้อยกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขน นอกจากเตียงจะเล็กแล้ว คนที่อยู่ในอ้อมแขนก็เล็กด้วย

            ‘เป่ยซี เธอต้องโตเร็วกว่านี้ เร็วกว่านี้อีกหน่อย’

            “ลั่วจื่อหาน…” จู่ๆ อี้เป่ยซีพึมพำ

            “ฉันอยู่นี่”

        “นายเลิกจูบฉันได้แล้ว หวานจัง”

————