เหวินซื่อจัดการเสร็จก็ได้ใจเล็กน้อย พูดขึ้นว่า “ยัยหนู เห็นทีจะต้องขอบใจข้าเสียแล้ว มิเช่นนั้น…” เขายังพูดไม่ทันจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องเล็ก เดินไปออกคำสั่งกับชิงหลวนไปว่า “ดูเขาให้ดี ถ้าหากว่าเขายังกล้าเข้ามาในเขตกักตัวล่ะก็ ตัดขาเขาได้เลย”
“นี่เจ้า…” มองเห็นนางเดินไปไม่หันกลับ เหวินซื่อโกรธจนแทบจะกระโดดขึ้น “ยัยเด็กบ้านี่ มันง่ายนักหรือไงที่ข้ามาส่งยาให้เจ้าเนี่ย อีกนิดเดียวข้าก็จะโดน…”
พูดยังไม่ทันจบ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยุด แล้วหันกลับมาตอบเขาด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า “สมควร ตอนแรกข้าบอกให้เจ้าตัดรากถอนโคนไปเลย แต่เจ้ากลับระลึกถึงความเป็นพี่น้องเลยไม่กล้าจะลงมือ ตอนนี้ที่เจ้าเสียเปรียบอยู่เช่นนี้ ก็เป็นเพราะเจ้าทำตัวเอง”
เหวินซื่อประหลาดใจถามว่า “ข้าไม่ได้พูดถึงเขาเสียหน่อย เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ก็เพราะว่าเขาอยากจะฆ่าข้าไงล่ะ แต่ว่าไม่ทันได้ทำ ก็คิดอยู่ว่าขากลับเมืองหลวงเขาอาจเจอเจ้าก็ได้” พูดจบ ก็เอามือลูบแขน ทำท่าทางประหลาดใจ “แต่น่าแปลก ทำไมเจ้าไม่โดนเขาฆ่าตายนะ มีชีวิตรอดมาจนถึงที่นี่ได้เยี่ยงไรกัน”
เหวินซื่อโกรธมาก กระโดดขึ้น แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ยัยบ้านี่ มีคนที่คอยแช่งคนอื่นอย่างเจ้าด้วยหรือ ถ้ารู้แบบนี้…”
ขี้เกียจจะฟังเขาพูดไร้สาระ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งจูหลี “จูหลี ถ้าหากว่าเขายังกล้าพูดมากอีก ก็อุดปากเขาซะ”
จูหลีตอบรับอย่างชื่นมื่น แล้วมองไปที่เขาด้วยสายตาข่มขู่
เหวินซื่ออ้าปากอยากจะพูดคำที่ตนพูดค้างไว้เมื่อครู่ แต่เมื่อได้เห็นสายตาของจูหลี ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่พูดงึมงำอยู่ในลำคอ
“ระวังตัวหน่อย ซ้อเพิ่งจะมีลูก ยังรอให้เจ้ากลับไปดูแล เจ้าห้ามเป็นอะไรไปเด็ดขาด” พูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องเล็ก
เหวินซื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น วางใจเถิด ข้าจะต้องไม่เป็นอะไร”
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ยาที่ต้องการก็มาตรงตามเวลาที่กำหนด
จางเจ๋อหวยสั่งให้คนรีบเอาไปต้ม แล้วให้คนที่มีอาการหนักได้ดื่มก่อน ในขณะนั้นก็มีคนที่ทนไม่ไหวตายไปก็มี แต่ว่าดีกว่าวันก่อนมากแล้ว อย่างน้อยนายทหารที่มีหน้าที่หามศพคนตายก็ไม่ได้ยุ่งจนไม่ได้หยุดพัก
ส่วนหมอหลวงหนุ่มคนนั้นเมื่อเห็นผลเป็นเช่นนี้ จึงแอบเดินเข้าไปในสถานกักตัวเงียบๆ เข้าไปเป็นหน่วยช่วยเหลือคนด้วย
หมอหลวงเจียงเห็นเขาที่กำลังยุ่งเพราะช่วยคน ก็ถอนหายใจ หมอหลวงคนนี้ศาสตร์การแพทย์ไม่เลวเลย เนื้อแท้ของเขาก็ไม่ได้เลวร้าย แต่ว่าเย่อหยิ่งไปหน่อยก็เท่านั้น ขอแค่แม่นางเมิ่งไม่ถือสาคำพูดของเด็กเมื่อวานซืนอย่างเขาก็พอ ปล่อยเขาไป มิเช่นนั้น การเป็นหมอหลวงของเขาก็น่าจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้
ตอนเย็น ร้านยาเต๋อเหรินจากทั่วทุกสารทิศก็ส่งยามาให้ จางเจ๋อหวยจดบันทึกทีละอันๆ สั่งคนให้เอายาไปต้ม คนที่มีอาการหนักก็ให้ดื่มก่อนหนึ่งชาม
ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนก็ตัวร้อนขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีตัวยาแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้กังวลมากแล้ว จึงป้อนยาเขาด้วยความระมัดระวัง แล้วเฝ้าอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา
วันที่สอง ฮ่องเต้ได้รับรายงานเร่งด่วน จึงออกราชโองการให้ร้านยาทุกแห่งส่งยาไปที่หลินเฉิง กำชับว่า ‘ถ้าหากว่ามีผู้ใดไม่ส่งหรือว่าฉวยโอกาสขึ้นราคา ประหารทันที…ทั้งตระกูล’
เมื่อราชโองการออกไป ใครหน้าไหนจะกล้าขัด วันที่สามยาจากร้านยาทั้งหลายก็ส่งมาไม่หยุด
ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวที่ไม่ได้พักผ่อนติดต่อกันหลายวัน ก็ไม่ไหวเข้าเสียแล้ว สุดท้ายก็นอนฟุบไปที่บนตัวของหวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังหลับอยู่
หวงฝู่อี้เซวียนฟื้นขึ้น เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังนอนฟุบอยู่ด้วยท่าที่ไม่ค่อยสบายนัก เห็นเช่นนี้จึงปวดใจยิ่งนัก อยากยื่นมือไปลูบที่ใบหน้าของนาง แต่ก็กลัวนางตื่น จึงทำได้แค่มองนางเท่านั้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเหนื่อยมากจริงๆ นางหลับไปได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ถึงจะตื่น อย่างแรกก็คือยื่นมือไปลูบหัวของหวงฝู่อี้เซวียน แต่กลับเห็นหน้าเขาที่กำลังยิ้มแล้วมองมาที่ตนอยู่ ชะงักเล็กน้อย แล้วจึงพูดด้วยความดีใจว่า “อี้เซวียน เจ้าฟื้นแล้วหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนยกมือขึ้นมา ลูบไปที่ใบหน้าของนาง ดวงตาสื่อถึงความรักปละความสงสารอย่างที่สุด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแห้งแหบว่า “โยวเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว”
เมื่อเห็นว่าเขามีสติและพละกำลัง ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้ม แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “คนโง่ พูดเรื่องพวกนี้เพื่ออะไรกัน เจ้าฟื้นก็ดีแล้ว”
รู้สึกได้ว่าตนเองจะรอดออกไปได้แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนซาบซึ้ง กระแอมสองครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืนทันที “ข้าจะไปเอาน้ำให้เจ้า” แล้วจึงรีบวิ่งออกไป
ชิงหลวนเห็นนางวิ่งออกมา จึงคิดว่าหวงฝู่อี้เซวียนตัวร้อนอีกแล้ว กำลังจะไปเอายามาอีกชาม แต่ได้ยินคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยวเสียก่อน “เร็วเข้า เอาน้ำให้ข้าที อี้เซวียนฟื้นแล้ว”
จูหลีรีบไปเทน้ำอย่างรวดเร็ว เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา แล้ววิ่งกลับเข้าไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว
หวงฝู่อี้เซวียนตะเกียกตะกายจะลุกขึ้นนั่ง เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้เขาหยุด “เจ้าตัวร้อนมาหลายวัน ไม่ได้กินข้าวสักเม็ด ไม่มีแรง นอนลงไปเถอะ ข้าป้อนเอง”
รู้สึกว่าตนเองไร้เรี่ยงแรงมากจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้ฝืนทำต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มือซ้ายจับหน้าของเขาเงยขึ้น มือขาถือแก้วป้อนน้ำให้เขาดื่ม
ตัวร้อนติดต่อกันมาหลายวัน อีกนิดเดียวน้ำก็จะหมดตัวหวงฝู่อี้เซวียนอยู่แล้ว ดื่มน้ำลงไปหนึ่งแก้ว จึงรู้สึกดีขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขานอนบนผ้าห่ม แล้วยิ้มมองไปที่เขา
ยื่นมือออกมา เอามือของเขามาแนบไว้ที่ใบหน้าของตน แล้วลูบไปมา หวงฝู่อี้เซวียนพูด “โยวเอ๋อร์ ข้านึกว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้ว ข้าเขียนจดหมายไว้เรียบร้อยแล้ว ฝากไว้กับใต้เท้าจาง บอกเขาว่ารอให้ข้าตายก่อนแล้วค่อยส่งให้เจ้า แต่โชคดี ที่ข้าไม่ตาย ต่อไปนี้เจ้าก็ไม่ต้องไปแต่งงานกับคนอื่นแล้ว”
ลูบไปที่ใบหน้าของนาง เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า “เจ้าบ้า พวกเราคุยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือ ว่าชีวิตนี้จะไม่จากกัน แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าไปจากข้าได้อย่างไร”
ตาของหวงฝู่อี้เซวียนก็แดงก่ำเช่นเดียวกัน มองกลับไปที่นาง
องครักษ์หลวงที่อยู่อีกทางด้านหนึ่งก็ฟื้นขึ้นแล้วเช่นกัน ลืมตาขึ้นมา เห็นท่าทางของทั้งสองคนแล้ว ตกใจมากจึงต้องหลับตาลงอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ นางจะไม่เห็นการกระทำของพวกเขาได้อย่างไร ดึงมือกลับมา แล้วถามพวกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
องครักษ์หลวงรู้ว่านางเห็นแล้ว เกร็งเล็กน้อย แต่แล้วก็ตอบกลับไปว่า “ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณแม่นางเมิ่งมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัว “ไม่ต้องขอบคุณข้า ที่พวกเจ้าสามารถมีชีวิตต่อไปได้ เป็นเพราะตัวพวกเจ้าเอง ไม่ได้เกี่ยวกับข้า เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนเอาข้าวต้มมาให้พวกเจ้ากินเสียหน่อย ร่างกายจะได้สบายขึ้น”
พวกองครักษ์หลวงพยักหน้า “ขอบคุณแม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แล้วเรียกทหารที่ทำหน้าที่ป้อนข้าวโดยเฉพาะให้เอาข้าวต้มมา ป้อนให้ทุกคนกิน ส่วนนนางก็ถือข้าวต้มมาหนึ่งชาม แล้วป้อนให้กับหวงฝู่อี้เซวียนทีละช้อน
กินหมด นอนไปได้สักพัก หวงฝู่อี้เซวียนและองครักษ์หลวงทั้งหลายก็หลับลึกไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าพวกเขาหลับแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพวกเขาจะต้องรอดอย่างแน่นอน และโรคระบาดในครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะจัดการได้แล้ว ถึงแม้ว่ายังมีคนตายอยู่บ้าง แต่อย่างไรซะนั่นก็คือส่วนน้อย คนส่วนมากล้วนแล้วแต่มีชีวิตรอด หลินเฉิงก็จะได้ไม่เป็นเมืองร้างเพราะโรคระบาดนี้ด้วย
คนที่ดีใจมากเช่นกันก็คือหมอหลวงเจียงและพรรคพวก ในเขตกักตัว คนไข้ที่ตัวร้อนก็น้อยลงเรื่อยๆ คนที่มีอาการไม่หนักมากก็สามารถยืนขึ้นได้แล้ว แสดงว่าวิธีการรักษาโรคระบาดนี้ได้ผล แล้วหัวของพวกเขาก็ไม่หลุดออกจากบ่าด้วย
จางเจ๋อหวยก็ดีใจเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นสถานการณ์โดยรวมของด้านใน แต่ว่าเขาเห็นทหารแบกศพออกมาเพียงแค่หนึ่งศพเท่านั้นในวันนี้ เท่านี้เขาก็รู้แล้วว่าโรคระบาดในครั้งนี้ควบคุมได้แล้ว เขาสามารถรักษาตำแหน่งในเมืองหลินเฉิงและชีวิตของเขาไว้ได้
ชิงหลวนและจูหลีแทบจะร้องไห้ด้วยความปีติ ซื่อจื่อไม่เป็นอะไรแล้ว นายหญิงของพวกนางก็ไม่เป็นอะไร ต่อจากนี้พวกนางก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนแต่ก่อนแล้ว
กัวเฟยและหัวหน้าองครักษ์เงายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ปกติพวกเขาเป็นคนที่ก็เก็บความรู้สึกอยู่แล้ว แต่เวลานี้ก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มไว้ได้
คนที่เกินหน้าเกินตาไปหน่อยก็คือเหวินซื่อ เดินที่เชือกกั้นแบ่งเขตตั้งหลายรอบ อยากเข้าไปดูเสียหน่อย แต่พอนึกถึงคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ถอยกลับไป
คนทุกคนที่หลินเฉิงดีใจเป็นอย่างมาก แต่ที่เมืองหลวง อ๋องฉีที่กำลังนั่งอ่านจดหมายอยู่ที่ห้องหนังสือ กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก