“เหมยกุ้ย ผมอยากคุณธุรกิจกับคุณ”
ดวงตาสีดำคู่นั้นของเย่เทียนจ้องเขม็งไปที่เหมยกุ้ย “ผมอยากให้คุณช่วยตามหาคนให้หน่อย”
“ไม่สนใจ”
เหมยกุ้ยเหลือบมองเย่เทียนทีหนึ่ง หมุนตัวแล้วเดินจากไป
“ในเมื่อเถ้าแก่เหมยกุ้ยไม่สนใจ เห็นทีผมคงต้องให้พวกพ้องไปโรงเรียนที่อยู่ในเขาลึกสักหน่อยแล้วมั้ง!”
ไม่ทันที่เหมยกุ้ยจะได้ก้าวเท้า เสียงที่แผ่วเบาของเย่เทียนก็ดังเข้ามาในหู
เหมยกุ้ยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที รีบหมุนตัวกลับมา ดวงตาสวยๆ จ้องเขม็งไปที่เย่เทียนพร้อมกับสีหน้าที่เยือกเย็น
เธอกำลังจะเปิดปากพูด หางตาก็เหลือบมองไปที่พวกลูกคนรวย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ตามฉันมา!”
เย่เทียนยิ้มออกมาอย่างสดใส หันมองพวกลูกคนรวยอย่างได้ใจ แล้วเดินตามเหมยกุ้ยเข้าไปในห้องวีไอพี
“นี่นายเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงรู้จักโรงเรียนในเขาได้?”
พอประตูห้องปิดลง เหมยกุ้ยก็รีบชักปืนออกมากระบอกหนึ่ง ปากกระบอกปืนสีดำเล็งตรงมาที่เย่เทียน พร้อมกับท่าที่ที่ว่าถ้าตอบได้ไม่ถูกใจก็จะยิงทิ้งทันที
“เถ้าแก่เหมยกุ้ย ในสามเหลี่ยมทมิฬแห่งนี้คุณเป็นคนเด่นคนดัง คุณคิดว่าถ้าผมไม่เตรียมการให้รอบคอบแล้วจะกล้ามาหาคุณตามลำพังได้ยังไง?”
เย่เทียนกลับไปได้สนใจปากกระบอกปืนเลย เดินไปนั่งลงที่โซฟาอย่างเกียจคร้านพูดด้วยสีหนาที่จะยิ้มไม่ยิ้ม “ถ้าภายในหนึ่งชั่วโมงผมไม่ได้โทรหาเพื่อนของผม งั้นลูกชายของคุณก็….”
ถึงเย่เทียนจะไม่ได้พูดจบ แต่เหมยกุ้ยเดาออกว่ามันหมายความว่ายังไง สีหน้าดูแย่อย่างถึงที่สุด ปากกระบอกปืนที่ยกขึ้นมาก็ค่อยๆ ลดต่ำลง
ถูกต้อง! มันคือความลับสุดยอดที่เหมยกุ้ยเก็บซ่อนเอาไว้ เธอไม่ใช่คนที่เดียวดายอย่างที่โลกภายนอกรู้ เธอยังมีลูกชายอีกคนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนผู้ดีเซินกู่!
ในชาติที่แล้ว ความสัมพันธ์ของเย่เทียนกับเหมยกุ้ยยังถือว่าใช้ได้ จึงได้รู้ถึงความลับข้อนี้ ครั้งนี้เรื่องมันค่อนข้างเร่งด่วน เขาไม่มีเวลาให้เสียกับเหมยกุ้ยมาก จึงต้องเลือกใช้วิธีนี้
“นายอยากตามหาใคร?”
เหมยกุ้ยหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำตัวให้สงบ แล้วนั่งลงตรงหน้าเย่เทียน
“นักธุรกิจสาวคนหนึ่งของประเทศจีน”
พอเห็นเหมยกุ้ยยอมแล้ว เย่เทียนก็ยิ้มอย่างพอใจออกมาที่มุมปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “หลายวันก่อนเธอถูกคนลักพาตัวจากประเทศซ่านมาที่สามเหลี่ยมทมิฬ”
ที่เย่เย่เซิงเกอดังขนาดนี้ได้ ก็เพราะมันเป็นย่านโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดของสามเหลี่ยมทมิฬ ส่วนเหมยกุ้ยก็เป็นหัวหน้าสายข่าวที่ใหญ่ที่สุดของสามเหลี่ยมทมิฬหรือในเขตเเดนของทั้งสามประเทศเลยก็ว่าได้ และนี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงได้กินอยู่สบายทั้งโลกบนดินและใต้ดิน
โบราณพูดไว้ดี : กินเหล้าแล้วจะพูดความจริง
ต่อให้เป็นคนที่ปกติจะไม่ชอบพูดแค่ไหน แต่พอแอลกอฮอลล์ขึ้นสมอง บวกกับมีสาวสวยคอยรับข้อมูลอยู่ข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจอยู่ข้างๆ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยงไม่ให้หลุดพูดอะไรออกมาเลย
พูดอย่างไม่เวอร์วัง ด้วยสาวๆ ที่อยู่ใต้อาณัติ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดีมีระดับ หรือพวกที่ไม่เอาไหน ขอแค่เหมยกุ้ยอยากรู้ แม้แต่วันนี้พวกเขาใส่กางเกงในสีอะไรก็ยังรู้ได้
“รอห้านาที” เหมยกุ้ยมองหน้าเย่เทียนอย่างลึกซึ้ง หยิบมือถือออกมาแล้วเดินไปคุยที่ไกลๆ
ความจริงแล้ว ผ่านไปแค่ประมาณสามนาทีเหมยกุ้ยก็วางสายและเดินกลับมาแล้ว “ฉันรู้แค่ว่าคนที่นายหาถูกพาตัวไปที่เมืองที่ไม่เคยหลับเมื่อคืน ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน ฉันก็ไม่รู้แล้ว”
“เมืองที่ไม่เคยหลับเหรอ?”
เย่เทียนตกใจ สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา
ด้วยความที่ตำแหน่งของสามเหลี่ยมทมิฬค่อนข้างพิเศษ กฎหมายที่ใช้ได้จึงค่อนข้างจำกัด มันจึงทำให้เกิดเรื่องที่ผิดกฎหมายขึ้นไม่น้อย
เย่เย่เซิงเกอเป็นย่าโคมแดงที่ใหญ่ที่สุดของสามเหลี่ยมทมิฬ ถ้าอย่างนั้นเมืองที่ไม่เคยหลับก็คือบ่อนที่ใหญ่ที่สุดของสามเหลี่ยมทมิฬ!
ตั้งแต่ไผ่นกกระจอกไผ่โป๊กเกอร์ รวมไปจนถึงชนไก่แข่งหมา ไม่ว่าอะไรที่มีคำว่าพนันอยู่ในนั้น ก็จะพบเจอได้ในเมืองที่ไม่เคยหลับทั้งนั้น
แค่คิดก็รู้แล้ว คนที่สามารถสร้างกิจการที่ใหญ่โตแบบนี้ได้ในสามเหลี่ยมทมิฬ ก็คงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่นอนจริงมั้ย?
“เถ้าแก่เหมยกุ้ย เรื่องก่อนหน้านี้ผมเองก็ไม่มีทางเลือก หวังว่าคุณจะไม่เก็บไปคิดมากนะครับ”
ถึงแม้จะได้คำตอบที่อยากได้แล้ว แต่เย่เทียนก็ไม่รีบร้อนที่จะออกไป แต่กลับหยิบบัตรออกมาใบหนึ่งวางไว้บนโต๊ะแล้วโยนออกไป “บัตรใบนี้มีเงินอยู่แสนหนึ่ง รหัสคือศูนย์หกตัว ถือเป็นคำขอโทษจากผม และถือเป็นเงินที่ผมใช้ซื้อข้อมูล”
นี่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็เป็นหัวหน้าสายข่าวที่ใหญ่ที่สุด ใครจะไปรู้ว่าต่อไปจะได้ติดต่อกันอีกมั้ย เย่เทียนไม่อยากให้จากนี้เหมยกุ้ยจะเคียดแค้นตัวเองหรอกนะ
เหมยกุ้ยที่เห็นอย่างนั้น สีหน้าที่เคร่งขรึมก็ดูดีขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เกรงใจกับเย่เทียน ระหว่างที่ยื่นมือหยิบบัตรใบนั้นขึ้นมา เธอก็ล้วงกล่องใส่บุหรี่สำหรับผู้หญิงออกมาแล้วเริ่มสูบบุหรี่
ในเมื่อได้รับข้อมูลที่อยากได้แล้ว เย่เทียนก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อ ลุกขึ้นแล้วบอกลา “เถ้าแก่เหมยกุ้ย ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่รบกวนแล้ว ถ้าอนาคตยังมีโอกาส ไว้ผมจะเลี้ยงอาหารคุณนะ”
พอเย่เทียนยืนขึ้น เหมยกุ้ยกลับยื่นมือห้ามเขาเอาไว้ หลังจากที่ลังเลไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังพูดอย่างไม่สบายใจว่า “ฉันไม่อยากให้เรื่องที่ฉันมีลูกชายหลุดออกไป”
แต่ยังไม่ทันที่เย่เทียนจะทันได้ตอบ เหมยกุ้ยก็ได้ส่ายหัวพร้อมกับรอยยิ้มที่ขมขื่น “ช่างเถอะ ฉันจะให้ข้อมูลอีกอย่างกับนายก็แล้วกัน”
หลังชะงักไปแปบหนึ่ง เหมยกุ้ยก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อน ได้มีคนกลุ่มหนึ่งจากประเทศหมิงมาที่สามเหลี่ยมทมิฬ พวกเขามักจะเข้าๆ ออกๆ เมืองที่ไม่เคยหลับอยู่เป็นประจำ ถ้าสายข่าวของฉันไม่ผิดพลาด พวกนั้นน่าจะเป็นคนของแก๊งภูเขา”
“แก๊งภูเขา?!”
เย่เทียนขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ในใจของเขารู้ดี จุดประสงค์ที่เหมยกุ้ยมอบข้อมูลชุดนี้ให้กับเขา ก็เพื่อไม่ให้เอาเรื่องลูกชายของเธอไปบอกใคร
ประเด็นสำคัญคือ แก๊งภูเขานั้นเป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ใหญ่ที่สุดของประเทศหมิง เป็นหนึ่งในแก๊งที่ครบเครื่องที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือในโลกเลย สมาชิกภายในแก๊งมาเป็นหมื่น!
“รู้รึเปล่าว่าพวกเขามาทำอะไร?”
เหมยกุ้ยส่ายหน้าเบาๆ “อันนี้ฉันไม่รู้ พวกนั้นปากแข็งมาก คนของฉันถามอะไรไม่ได้เลย”
“ยังไงก็ตาม ขอบคุณครับ”
เย่เทียนพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเดินออกจากห้องวีไอพีไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตอนที่เขาแอบย่องกลับเข้ามาในโรงแรมจากทางหน้าต่างกลับเห็นว่าฟู่เซิ่งหนานยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง จึงได้ส่ายหน้าพร้อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น พวกลูกน้องของสาวคนนี้นี่มันยังไงกัน? ตั้งหลายชั่วโมงไม่เห็นเธอออกไปก็ไม่คิดจะเข้ามาตามเลยรึไง?
เย่เทียนที่วุ่นวายมาทั้งคืนก็ไม่มีอารมณ์ที่ไปคิดเรื่องไม่ดี พอเขากำลังจะไปนอนที่โซฟา ประตูห้องก็ถูกเคาะทันที
“ไสหัวไป เดี๋ยวเจ๊ก็สั่งคนมาฆ่าทิ้งทั้งบ้านหรอก!”
เย่เทียนตกใจจนสะดุ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบตอบโต้อะไร ฟู่เซิ่งหนานที่กำลังหลับอยู่ก็ลุกพรวดขึ้นมา ดูจากสายตาที่งงงวย คงยังไม่รู้ตัวคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองแล้วมั้ง?
“ฉันเป็นพ่อของแก!”
มีเสียงที่แอบโมโหดังมาจากด้านนอก “ไอ้หนูที่อยู่ข้างในอย่าคิดหนี ฉันให้คนล้อมที่นี่ไว้แล้ว รีบออกมาเดี๋ยวนี้!