บทที่ 87 เด็กทั้งสาม โดย Ink Stone_Romance

ปัญหาเรื่องแม่น้ำได้รับการแก้ไข ทั้งหมู่บ้านต่างรู้สึกซาบซึ้งในความช่วยเหลือของ ‘ว่าที่จ้วงหยวน’ ผู้มาใหม่ เดิมทีเป็นจ้าวเหิงที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ แต่พวกเขาไม่ชอบจ้าวเหิง ไม่ยินดีติดหนี้บุญคุณจ้าวเหิงเป็นที่สุด เป็นเช่นนี้ย่อมดี รักษาหมู่บ้านเอาไว้ได้ อีกทั้งพวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้อะไรซิ่วไฉสกุลจ้าว

พวกเขายังส่งของขวัญแทนคำขอบคุณไปให้ ‘ว่าที่จ้วงหยวน’ ในคืนนั้นอีกด้วย

“คุณชายวั่นอยู่หรือไม่” นางเฉินนำแม่ไก่เฒ่าตัวหนึ่งมามอบให้ เห็นว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านเช่นนี้ แต่หมู่บ้านของเขายากจนเพียงนี้ บ้านของพวกเขาจะมีที่ไหนไปร่ำรวย? แม่ไก่ตัวนี้เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะนำไปให้ลูกสะใภ้บำรุงร่างกายหลังคลอดบุตร

หลังจากนั้น ป้าจางก็ถือตะกร้ามาด้านหน้าประตู นางให้ไข่ไก่สิบฟอง ไข่ไก่เหล่านี้เก็บเอาไว้นานแล้ว เดิมดีคิดว่าหลังจากเทศกาลซั่งหยวนก็จะนำไปขายในตลาด แล้วซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกในฤดูใบไม้ผลิ

“คุณชายวั่นเตรียมสอบจ้วงหยวนอย่างเหน็ดเหนื่อย ต้องกินไข่เสริมให้ร่างกายแข็งแรง!” นางนำไข่ไก่วางไว้บนโต๊ะแล้วก็กลับบ้านไป

บ้านนายพรานนำกระต่ายป่าดองมาให้ครึ่งตัว

บ้านของซวนจื่อหิ้วอัวอัวโถวซึ่งทำจากแป้งข้าวโพดมาให้

สกุลเฉินนำผักกาดขาวสดๆ มาให้สองหัว

สกุลหวังถือหัวผัดกาดสีขาวเนียนมาให้อีกหลายหัว

สกุลหวง สกุลหลี่ สกุลหลิว…และอีกหลายครอบครัวต่างนำของขวัญมามอบให้ แม้ว่าจะมิใช่สิ่งของมีค่าอันใด แต่พวกเขาก็มอบให้ด้วยใจ

เยี่ยนจิ่วเฉามีฐานะสูงส่งเป็นถึงคุณชายแห่งเมืองเยี่ยน แต่เล็กจนโตเคยรับของขวัญจากผู้อื่นมาไม่น้อย เขาไม่เคยได้ขวัญที่ดูแร้นแค้นถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่เคยได้รับของขวัญจากความจริงใจอันบริสุทธิ์เช่นนี้

มิใช่เพื่อประจบประแจงเขา มิได้นำมาให้เพราะหวาดกลัว และยิ่งมิได้ทำเพื่อให้ผู้ใดเห็น พวกเขารู้สึกขอบคุณเขาจากใจจริง รู้สึกซาบซึ้งที่เขาช่วยเหลือหมู่บ้านที่มิได้ควรค่าแก่การเอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำ

ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นความโศกเศร้าของเหล่าภูติผีอย่างเยี่ยนจิ่วเฉา บัดนี้ได้กลายเป็นคนดีที่หนึ่งในสายตาผู้อื่นเป็นครั้งแรก

ในคืนนั้น ลุงวั่นปลดกลอนประตูออกมา โดยมีผ้าห่มพันรอบตัว แล้วเอ่ยวาจาค่อนแคะอย่างบ้าคลั่ง!

บ้าแล้ว บ้าไปแล้ว!

เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นแค่คนเสเพลที่มิได้มีอารยะเท่าไรนัก!

บัณฑิต?! จ้วงหยวน?!

พวกเจ้าตาบอดกันหรืออย่างไร!

อวี๋หวั่นมาขอบคุณเป็นคนสุดท้าย ก่อนหน้านี้ที่ผู้ใหญ่บ้านนั่งเกวียนมายังหมู่บ้านเหลียนฮวา เธอจดจำอิ่งลิ่วซึ่งบังคับเกวียนได้ ในตอนนั้นเธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่คนทั้งหมู่บ้านก็อยู่ในอาการตกใจเช่นกัน จึงไม่รู้ว่าเรื่องที่ทำให้เธอตกใจนั้นมิใช่เรื่องเดียวกับพวกเขา

ในเมื่อสารถีคืออิ่งลิ่ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของบ้านคนใหม่คือผู้ใด

แม้จะรู้สึกแปลกที่คุณชายท่านนี้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ทั้งยังบังเอิญเหลือเกินที่มาอยู่ข้างบ้านเธอ ทว่าเขาช่วยเหลือหมู่บ้านเหลียนฮวา นี่เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ นับรวมกับครั้งที่เขาไล่อวี้จื่อกุยไป เธอก็ติดหนี้น้ำใจเขาอยู่ไม่น้อย

หลังจากที่อวี๋หวั่นทำอาหารเย็นให้กับนางเจียงและเถี่ยตั้นน้อย อวี๋หวั่นก็ตั้งอกตั้งใจเตรียมเนื้อตากแห้งและเนื้อพะโล้ด้วยตนเอง และถือไปแสดงความขอบคุณคุณชายคนนั้น

หลังจากที่คนในหมู่บ้านแยกย้ายกันกลับไปแล้ว ก็คงไม่มีผู้ใดมาอีก ประตูใหญ่หน้าบ้านจึงปิดลง

อวี๋หวั่นเคาะประตูอย่างเกรงใจ

แกร็ก

ประตูซึ่งมิได้รับการซ่อมแซมมาเป็นเวลาหลายปีถูกเปิดจากด้านใน

ผู้ที่มาเปิดประตูมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเด็กน้อยทั้งสามที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ

เมื่อเด็กน้อยทั้งสามเห็นอวี๋หวั่น ก็ตกใจจนนิ่งไป!

อวี๋หวั่นมิได้คาดคิดว่าจะเป็นพวกเขา คนผู้นั้นมิได้เพียงย้ายมาที่นี่ ยัง ‘ลักพาตัว’ ลูกๆ มาด้วย?

ในใจของอวี๋หวั่นรู้สึกยินดี มุมปากของเธอยกขึ้น เธอยื่นมือออกไปจะลูบศีรษะน้อยๆ ของเด็กทั้งสาม แต่ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาหดตัวกลับด้วยความหวาดกลัวประหนึ่งถูกไฟดูด จากนั้นก็วิ่งหนีไปโดยไม่หันหลังกลับมา!

มือของอวี๋หวั่นชะงัก “…เกิด เกิดอะไรขึ้น”

เด็กๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ชื่นชอบเธอ ทำไมวันนี้วิ่งหนีทันทีที่เห็นเธอล่ะ?

“หึ!” อิ่งสือซันอุ้มแม่ไก่เดินเข้ามา กวาดตามองอวี๋หวั่นด้วยสายตาอันเย็นเยียบ “เป็นเจ้านั่นแหละที่ไม่รักษาคำพูด!”

ไม่รักษาคำพูด?

เมื่อใดกันที่เธอ…

เรื่องที่คฤหาสน์สกุลเว่ย

อวี๋หวั่นนึกออกแล้ว ในคืนนั้นที่ถูกมือสังหารของเชียนจีเก๋อบุกโจมตี เธอได้สัญญากับเด็กน้อยทั้งสามเอาไว้ว่าหากเธอเข้าเมืองหลวงในครั้งถัดไป ก็จะไปแวะไปเยี่ยมเยียนพวกเขา ในงานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยนั้น เธอเข้าเมืองหลวงไป แต่กลับเปลี่ยนใจระหว่างทางไปจวนคุณชายเยี่ยน

“พวกเขารู้หรือว่าข้าเข้าเมืองหลวง?” อวี๋หวั่นถามอิ่งสือซัน

อิ่งสือซันตอบอย่างเย็นชา “หึ ใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่จวนคุณชายไม่รู้?”

อวี๋หวั่นมิได้ใส่ใจกับสำเนียงแปลกๆ ของเขา ในสมองของเธอมีแต่ภาพของเด็กน้อยทั้งสามที่หันหลังวิ่งหนีไป เธอมิได้คาดคิดจริงๆ ว่าพวกเขาจะรู้ว่าเธอเข้าเมืองหลวง เดิมทีคิดว่าหากเธอไม่ปรากฏตัวไปสักพัก พวกเขาก็จะลืมเธอไปเอง

ครั้งนี้จบกัน พวกเขารู้เรื่องหมดแล้ว

ความคิดแรกของอวี๋หวั่นคือ พวกเขาโกรธ เธอจึงโทษตนเองที่มิได้ไปพบพวกเขา

“ข้าไปดูพวกเขาได้ไหม?” บัดนี้ไม่เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาหรือลุงวั่น อวี๋หวั่นจึงเอ่ยถามอิ่งสือซัน

อิ่งสือซันกลอกตา ไม่ได้ตอบว่าได้หรือไม่ได้ เขาอุ้มแม่ไก่เฒ่าเดินไปหลังบ้าน

อวี๋หวั่นถือว่านั่นหมายความว่าอนุญาต เธอวางเนื้อพะโล้และเนื้อแห้งไว้บนโต๊ะ แล้วเดินไปยังห้องที่เด็กน้อยทั้งสามคนวิ่งเข้าไป

ประตูห้องปิดอยู่ แต่มิได้ลงกลอน เด็กน้อยทั้งสามตัวเล็กเกินไป อยากจะลงกลอนแต่เอื้อมไม่ถึง

อวี๋หวั่นผลักเบาๆ ประตูก็เปิดออก

เด็กน้อยทั้งสามกำลังขยับก้น รื้อของจากกล่องใบใหญ่

เมื่อเห็นว่าอวี๋หวั่นเข้าไป พวกเขาก็เหยียดตัวตรงทันที แล้วซ่อนของที่หยิบออกมาเอาไว้ด้านหลัง

ทั้งสามไม่มีใครเอ่ยคำพูด ความกังวลปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา

อวี๋หวั่นรู้สึกคล้ายกับว่าพวกเขามิได้กำลังโกรธ แต่หากไม่ได้โกรธแล้ว อวี๋หวั่นก็นึกเหตุผลที่พวกเขาต้องหลบไม่ออก

อวี๋หวั่นเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสามคนตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม

คิดไปเองหรือเปล่านะ?

อวี๋หวั่นสัมผัสได้ถึงความกลัวและความวิตกจากพวกเขา

อวี๋หวั่นนั่นยองเบื้องหน้าเด็กน้อยทั้งสาม เธอมองพวกเขาด้วยสายตาอันอ่อนโยน

“วันนั้น…”

ทันทีที่เธอกำลังอ้าปากอธิบายเรื่องราวในวันนั้นให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็หยิบของที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังออกมา

มันคือกระดาษขาวยับๆ สามแผ่น ทุกแผ่นมีตัวอักษรขยุกขยุยหนึ่งตัว

อวี๋หวั่นใช้เวลานานกว่าจะอ่านออก

คน เกิด ม้า

‘คนเกิดมา[1]’ หรือ?

เด็กเล็กเช่นนี้ ก็สามารถเขียนตัวอักษรได้แล้ว? แม้จะเขียนผิดไปหนึ่งคำ แต่ก็นับว่าเก่งมากแล้ว เถี่ยตั้นน้อยอายุหกขวบ ยังจับพู่กันไม่คล่องเลย!

สิ่งที่อวี๋หวั่นไม่รู้ก็คือ เพื่อที่จะผลิตเด็กอัจฉริยะซึ่งมีชื่อเสียงในใต้หล้า เหยียนหรูอวี้ถึงกับเชิญอาจารย์มาสอนพวกเขาตั้งแต่เล็ก

อายุยังไม่ถึงสองขวบ พวกเขาก็ถูกบังคับให้ก้มหน้าคัดตัวอักษร ไม่ว่าจะหนาวเหน็บหรือร้อนจัด หากคัดไม่เสร็จ ก็จะไม่ให้ของกิน

เด็กทั้งสามคนหัวแข็ง ไม่กินก็ไม่กิน ให้ตายก็ไม่คัดตัวอักษร!

เปลี่ยนอาจารย์มาคนแล้วคนเล่า เหยียนหรูอวี้โมโหจนตาแทบถลน เลือดขึ้นหน้า!

แม้ว่าจะทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่คำพูดกลับทำร้ายพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เด็กทั้งสามยังเล็กแต่ก็รับรู้ได้ว่า แม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดก็ยังเกลียดพวกเขา

ไม่มีใครชอบพวกเขาเลย

ในที่สุดเด็กทั้งสามก็ส่งกระดาษซึ่งไม่รู้ว่าเขียนไปกี่รอบจึงได้ตัวอักษรเช่นนี้ให้อวี๋หวั่นอย่างระมัดระวัง

พวกเขาเป็นเด็กดี

พวกเขาเขียนตัวอักษรได้

อย่าเกลียดพวกเขาเลยนะ

………………………………..

[1] คนเกิดมา เป็นวรรคแรกของคัมภีร์ตรีอักษร หรือซันจื้อจิง