บทที่ 88 ปรับความเข้าใจ โดย Ink Stone_Romance
แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูด ทว่าอวี๋หวั่นก็สามารถอ่านความหมายจากดวงตาไร้เดียงสาแต่กลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลออก
ไม่ได้โกรธ หากแต่เข้าใจผิดว่าเธอไม่ชอบพวกเขา ไม่อยากเจอพวกเขาอีกแล้ว
คืนนั้นเธอมิได้คิดไปเองแต่อย่างใด พวกเขาร้องไห้ในอ้อมอกของอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันจริง
ไม่แน่ว่า ตั้งแต่วันนั้น พวกเขาก็เข้าใจผิดว่าเธอไม่ชอบพวกเขามาโดยตลอด
จนวันที่เธอเข้าเมืองหลวง กลับมิได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเขา พวกเขาก็แน่ใจยิ่งกว่าเดิมว่าเธอไม่ชอบพวกเขา
ทว่าเหตุผลที่ไม่ชอบพวกเขา ก็เพราะไม่ชอบที่พวกเขาเป็นเด็กดื้อ
หัวใจของอวี๋หวั่นเจ็บปวดเหลือเจียนตาย!
ทำไมพวกเขาถึงคิดแบบนั้นกัน? ทำไมถึงโทษตัวเองอย่างนั้น?
มีใครเคยบอกหรือว่าพวกเขาดื้อ?
“ทำไมถึงเป็นเด็กดื้ออย่างนี้? ถ้าเป็นแบบนี้ข้าจะไม่ชอบพวกเจ้าแล้วนะ!”
อวี๋หวั่นพลันแกล้งดุเด็กทั้งสามซึ่งกำลังทำคอตก ลึกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ
เธอน่าจะคิดให้มากกว่านี้ เด็กน้อยที่น่ารักเช่นนี้ คนจะไม่ชอบได้อย่างไรกัน
เธอชอบพวกเขา จะดื้อหรือไม่ดื้อก็ชอบ
จะเหมือนกับเจินเจินที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย หรือเหมือนกับเถี่ยตั้นน้อยที่วิ่งซนไปทั่วหมู่บ้าน ขอเพียงเป็นพวกเขา เธอก็ชอบทั้งนั้น
อวี๋หวั่นรับตัวอักษรที่พวกเขาเขียนมา โน้มลงไปลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขา เธอรับปากอวี๋เฟิงไปแล้ว และสัญญากับตนเองแล้วเช่นกันว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับจวนคุณชายมากนัก แต่เธอก็พบว่าตนเองมิอาจต้านทานเด็กน้อยเหล่านี้ได้
ทันทีที่เห็นพวกเขา เธอก็อยากจะขโมยกลับบ้านทันที
พวกเขารู้สึกผิด ในหัวใจของอวี๋หวั่นเองก็สับสน
แบบนี้ดูไม่สมกับเป็นตัวเธอเลย
บางทีพวกเขาอาจจะเห็นความปรารถนาดีในดวงตาของอวี๋หวั่น ทั้งสามคนจึงมิได้ขยับหนีเมื่อเธอจะลูบหัว
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างไรดี เธอจึงเปลี่ยนวิธีพูด และเอ่ยถามว่า “วันนั้นที่ข้าเข้าเมืองหลวง แต่กลับไม่ได้ไปหาพวกเจ้า พวกเจ้าโกรธข้าหรือไม่?”
เด็กทั้งสามส่ายหัว
มุมปากของอวี๋หวั่นยกขึ้น “ไม่ได้โกรธ ถ้าอย่างนั้น หลังจากนี้ข้าก็เข้ามาเยี่ยมบ่อยๆ ได้หรือไม่?”
ตาของพวกเขาโตขึ้นทันที
ในใจอวี๋หวั่นแอบรู้สึกยินดี ทว่าใบหน้ากลับดูผิดหวัง “ไม่ได้หรือ? อย่างนั้น…ข้าไปก็ได้”
พูดจบ อวี๋หวั่นก็ลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังจะเดินออกไป
เด็กทั้งสามกอดขาของเธอไว้แน่น!
อวี๋หวั่นยังคงแกล้งพวกเขาต่อ
ความสามารถด้านการแสดงของอวี๋หวั่นนั้นแนบเนียนเสียจนเด็กทั้งสามมองไม่ออก เมื่อวินาทีก่อนยังหลบเพราะกลัวถูกอวี๋หวั่นเกลียดเข้า บัดนี้กลับกอดอวี๋หวั่นจนแน่น ไม่ยอมปล่อยมือ!
ไอ้หยา เด็กๆ พวกนี้
ในใจลึกๆ อวี๋หวั่นรู้สึกดีใจจนมิอาจพรรณาได้ แต่กลับสรรหาวิธีมาแกล้งเด็กน้อยทั้งสาม “พวกเจ้าไม่ชอบข้า ไม่อยากเจอหน้าข้าแล้ว”
เด็กน้อยทั้งสามตื่นตระหนกจนหน้าแดง พวกเขาอ้าปาก คล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นเป็นประกายขึ้นทันที หากสามารถใช้โอกาสนี้ทำให้เด็กน้อยทั้งสามเปิดปากพูดได้ก็คงจะดีไม่น้อย
เด็กๆ อดทนอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มิได้พูดอะไร
อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ เป็นเธอที่เร่งร้อนไปเอง เรื่องแบบนี้ เดิมทีก็ไม่ควรรีบ อีกทั้งอายุสองขวบก็ไม่นับว่าโต ต้องใช้เวลาสักหน่อย สุดท้ายแล้ววันหนึ่งพวกเขาก็ต้องพูดเอง
อวี๋หวั่นคิดว่าเด็กน้อยทั้งสามจะหมดแรงเสียแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าทันใดนั้นเองพวกเขาก็ดึงแขนเสื้อเธอไว้
อวี๋หวั่นค้อมตัวลงมา
ทั้งสามคนเขย่งปลายเท้าสุดแรง แล้วหอมแก้มของเธอเบาๆ
……
ในคืนนั้น อวี๋หวั่นนอนเป็นเพื่อนเด็กน้อยทั้งสาม
หลังจากปรับความเข้าใจ อวี๋หวั่นก็แปรงฟันให้พวกเขา แล้วอุ้มพวกเขาไปยังเตียงนอนซึ่งปูด้วยผ้านวมหนานุ่มๆ
ทั้งสามคนนอนลงอย่างว่าง่าย ดวงตากลมโตสีนิลจ้องมองอวี๋หวั่นไม่กะพริบ
“ข้าจะรอพวกเจ้าหลับก่อน แล้วค่อยไป” อวี๋หวั่นนั่งอยู่ที่ขอบเตียง
ในตอนแรกทั้งสามก็พยายามฝืน ทว่าอวี๋หวั่นค่อยๆ ลูบหน้าท้องของพวกเขา คงจะรู้สึกสบายไม่น้อย หนังตาค่อยๆ หนักขึ้น ผ่านไปเพียงครู่เดียว พวกเขาก็กรนเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ
หากไม่นับครั้งที่พวกเขาถูกวางยา และหลับสนิทโดยมิสนโลก นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นได้สังเกตท่าทางการนอนของเด็กน้อยทั้งสาม
ทั้งสามคนหลับไม่สนิท พวกเขาซึ่งปกติแล้วไม่พูด จะมีเพียงเสียงฮึมฮัมเบาๆ ขณะฝัน บางครั้งพวกเขาก็กระตุก ราวกับตกใจกลัวบางอย่าง
“ฝันร้ายหรือ?” อวี๋หวั่นลูบหน้าผากของเด็กทั้งสาม เป็นเพราะสิ่งที่เธอแสดงทำให้พวกเขากลัว หรือเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีบางสิ่งทำให้พวกเขาตกใจกลัว?
อวี๋หวั่นไม่มั่นใจ เพียงแต่ต้องอยู่กับพวกเขาให้นานกว่านี้สักหน่อย จนกระทั่งลุงวั่นจัดการธุ(ค่อน)ระ(แคะ)ของตนเสร็จ และเข้าไปเฝ้าเด็กน้อยทั้งสาม อวี๋หวั่นจึงตัดใจเดินออกมา
ลุงวั่นประหลาดใจยิ่งนัก เด็กดื้อพวกนี้ล้วนนอนตอนกลางวัน แม่นางอวี๋สามารถกล่อมให้พวกเขานอนในตอนกลางคืนได้ นับว่าไม่ธรรมดา
อาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าอวี๋หวั่นยังมิได้กลับบ้าน ประตูด้านหน้าของบ้านสกุลติงจึงถูกลงกลอนไปแล้ว อวี๋หวั่นเห็นว่าประตูหลังยังเปิดอยู่ จึงหันหลังแล้วเดินตรงไปยังประตูหลัง
ครั้นเดินออกมาจากโถงกลาง ก็บังเอิญไปพบกับเยี่ยนจิ่วเฉาผู้ซึ่งผีเข้าผีออกอยู่เป็นนิจเข้า
คุณชายเยี่ยนสวมผ้าคลุมสีเงิน ในมืออุ้มจิ้งจอกหิมะซึ่งเป็นเสมือนเตาอุ่นมือธรรมชาติ ในความมืด เขาส่องสว่างราวกับแสงจันทร์
ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาค่อนข้างซับซ้อน เขาช่วยชีวิตเธอ แต่ก็ยังทำให้เธอเจ็บใจ หากจะบอกว่าไม่รู้สึกขอบคุณเขาก็คงจะเป็นการโกหก หากจะบอกว่าไม่รู้สึกโกรธ ก็คงจะเป็นการเสแสร้ง เพียงแต่ว่า เห็นแก่ที่เขาเป็นบิดาของเด็กๆ ทั้งสาม และที่เขาช่วยหมู่บ้านเหลียนฮวาเอาไว้ เธอก็จะฝืนใจเป็นเพื่อนบ้านที่ดีสักหน่อยก็แล้วกัน
“คุณชายเยี่ยน” อวี๋หวั่นเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าปกติ
จิ้งจอกหิมะน้อยตะกุยอุ้งเท้าเล็กๆ ไปหาอวี๋หวั่น แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉากดเอาไว้อย่างโหดเหี้ยม
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองเธอครั้งหนึ่ง “ดึกดื่นเช่นนี้ ไยเจ้าไม่อยู่บ้านดีๆ มาทำอันใดที่บ้านข้า”
เริ่มแอบคิดอะไรกับข้าแล้วหรือ?
อวี๋หวั่นมักจะรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขายียวนเล็กน้อย แต่ใครใช้ให้เธอเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกันล่ะ?
อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวเนิบๆ ว่า “คำพูดนี่ข้าน่าจะถามคุณชายเยี่ยนมากกว่า ไยคุณชายเยียนไม่อยู่เมืองหลวงดีๆ มาทำอันใดที่หมู่บ้านอันแสนยากจนข้นแค้นเช่นนี้?”
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “ข้าพอใจ”
อวี๋หวั่น “…”
เจ้ามีเงิน เจ้าก็ทำตามอำเภอใจได้สิ
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยจิตใจสงบนิ่ง “ของขวัญข้าวางไว้บนโต๊ะ หากไม่มีธุระอะไรข้าขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวก่อน เจ้าจะไปเช่นนี้หรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่างน้อยก็นำอาหารเหล่านี้ไปอุ่นสักหน่อย พวกเขาหลับไปหมดแล้ว จะให้ข้าไปจุดเตาเองหรืออย่างไร?”
อย่างนั้นก็หมายความว่าเขาเห็นของขวัญของฉันแล้ว และรู้ว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ ในเมื่อรู้อยู่แล้ว จะถามทำไมกัน?!
เยี่ยนจิ่วเฉาเชิดหน้าขึ้น ใช้สายตามองไปยังห้องครัวเป็นนัยๆ “โน่น”
ไม่โกรธ ไม่โกรธ เธอเป็นเพื่อนบ้านที่ดี…
อวี๋หวั่นหยิบเนื้อแห้งบนโต๊ะมาหนึ่งเส้น พร้อมกับเนื้อพะโล้ที่เย็นแล้วหนึ่งชาม แล้วสาวเท้าเดินไปยังห้องครัว
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเธอก้าวเท้าข้ามธรณีประตู พื้นก็สั่นอย่างรุนแรงขึ้นทันที ราวกับว่าภูเขากำลังคลอน ฟ้าถล่มดินทลาย เท้าของเธอเสียหลัก ทั้งร่างล้มลงสู่พื้น
เบื้องหน้าของเธอมีหินก้อนใหญ่ก่อนหนึ่ง และบัดนี้เธอกำลังจะล้มหัวกระแทก แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีแขนแกร่งยื่นเข้ามาโอบเอวของเธอเอาไว้ได้ทัน และดึงเธอเอาไว้ในอ้อมกอด ทว่าดันเธอออกไปไม่ทัน จึงทำได้เพียงหมุนตัว แล้วใช้ร่างของตนกำบัง หันแผ่นหลังให้พื้น แล้วล้มลงไปบนมุมของหินก้อนนั้นพอดิบพอดี
………………………..