ผีหิวโหยตนนั้นร่างกายใหญ่โต แต่หัวใจของเธอกลับเล็กอย่างไม่เป็นสัดส่วนกัน มันเป็นประกายและสะท้อนแสงราวกับทับทิมสีแดงเลือด มันไม่ได้เปลี่ยนสีหรือว่าแปดเปื้อนแต่อย่างใด “ใครจะคิดว่าปิศาจน่าเกลียดเช่นนั้นกลับมีหัวใจบริสุทธิ์เช่นนี้?”
เฉินเกอเอื้อมมือออกไปแตะหัวใจของปิศาจหิวโหย เขาอยากจะศึกษามันและหาดูว่าหัวใจของวิญญาณสีเลือดที่แท้แล้วคือสิ่งใด แต่ว่า ตอนที่ปลายนิ้วของเขาแตะลงที่หัวใจ ความรู้สึกด้านลบก็กวาดผ่านร่างของเขาราวกับคลื่นลูกหนึ่ง กระแสเลือดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา และความปรารถนาอันอธิบายไม่ได้ก็ก้องอยู่ในสมองของเขา เขารู้สึกหิวจนแทบจะกัดกินตัวเอง
“หิวมาก!” เสียงครวญอย่างสิ้นหวังหลุดออกจากปากเฉินเกอ เขาผงะถอยห่างจากหัวใจนั้นไปหลายก้าวก่อนที่จะรู้สึกกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง
“สิ่งนี้กินคนเป็นและผีเข้าไปมากมายเท่าใดกัน?” เขาอ้าปากฮุบอากาศอย่างกระหาย แผ่นหลังของเฉินเกอชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขารั้งมือกลับและสาบานว่าจะไม่จับสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณสีเลือดง่าย ๆ อีกแล้ว
“หัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเป็นความปรารถนาที่จะกินเพียงอย่างเดียว มันเป็นความต้องการอันไร้สิ้นสุดที่จะทำให้พึงพอใจได้ด้วยการกินอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น” เฉินเกอเข้าใจว่าทำไมซู่อินจึงไม่รับเอาหัวใจของปิศาจหิวโหยเข้าไปโดยตรง นี่เป็นสิ่งที่วิญญาณร้ายทั่วไปไม่สามารถจัดการได้ “ตอนนั้นที่พวกเราสังหารซยงฉิง ซู่อินมอบหัวใจของซยงฉิงให้แก่ไป๋ชิวหลิน ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าไป๋ชิวหลินได้รับผลกระทบจากซยงฉิงหรือไม่”
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเฉินเกอที่มองเขา ไป๋ชิวหลินก็คิดว่าได้เวลาที่ตัวเองต้องรายงานหน้าที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงลากเด็กชายที่เหลือชีวิตอยู่เสี้ยวเดียวไปด้วย ตรงกันข้ามกับซู่อิน ไป๋ชิวหลินนั้นมีหัวใจที่ย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด
“เหล่าไป๋ดูปกติเป็นที่สุด บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าซยงฉิงนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะทิ้งผลกระทบอะไรกับเขาได้” เฉินเกอเปิดหนังสือการ์ตูนดึงเด็กชายเข้าไป เขาวางแผนจะค่อย ๆ สอบถามเด็กชายและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลกลางซินไห่จากเขาช้า ๆ หลังจากที่ภารกิจทดลองนี้สิ้นสุด หลังจากจัดการกับเด็กชายแล้ว เฉินเกอก็หันกลับไปมองหัวใจในมือซู่อิน
เขามองเห็นได้เลยว่าเพียงแค่ถือหัวใจนี่เอาไว้ก็เป็นความกดดันมหาศาลต่อซู่อินแล้ว หากกินหัวใจนี่ลงไปเขาคงต้องประสบกับปัญหาแน่แล้ว นอกจากนี้ ซู่อินยังไม่เคยแสดงความตั้งใจที่จะกินหัวใจของใคร กลับกัน เขาต้องการหาหัวใจที่เป็นของเขาเอง
“อย่างนั้น ฉันควรจะทำอะไรกับสิ่งนี้ดี?” หัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเป็นรางวัลอันมีค่า โดยทางเทคนิคแล้วนั้นมันเต็มไปด้วยทุกอย่างที่เกี่ยวกับปิศาจหิวโหย เมื่อสิ่งนี้มาอยู่ในความครอบครองของเฉินเกอ เขาก็ยังอาจจะมีโอกาสชุบเลี้ยงวิญญาณสีเลือดตนอื่นที่ควบคุมความหิวได้ดีกว่าในอนาคต!
สิ่งนี้นั้นมีค่าเกินไป กระทั่งเงานั่นและคุณหมอเกาก็อาจจะสนใจในหัวใจนี่ด้วย
“หากซู่อินรับหน้าที่เป็นผู้เก็บหัวใจดวงนี้เอาไว้ เขาก็จะต้องแบ่งพลังส่วนหนึ่งไปต่อต้านความรู้สึกด้านลบที่หัวใจนี้จะนำมาด้วย นั่นก็ย่อมต้องกระทบกับความสามารถในการต่อสู้ของเขา” ในสถานการณ์อันตราย ซู่อินนั้นเป็นกำลังรบหลักของเฉินเกอ ดังนั้นให้ซู่อินจัดการกับหัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเรียกได้ว่าเป็นความสูญเสียอย่างมาก
“แต่นอกจากเขาแล้ว ใครจะสามารถต้านทานคลื่นความรู้สึกด้านลบรุนแรงนี่ได้?” เฉินเกอให้ไป๋ชิวหลินทดลองดู แต่เขากลับทนอยู่ได้เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นบิดเบี้ยว เขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความหิวโหย และก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังจะหลุดจากการควบคุมอย่างช้า ๆ
“มีวิธีอื่นนอกจากทิ้งมันไปหรือเปล่านะ? ถ้าทิ้งก็นับว่าเป็นความสูญเสียอย่างมากเลย” รองเท้าส้นสูงสีแดงน่าจะอยากได้หัวใจของปิศาจหิวโหยนี่ ยกมันให้เธอนั้นอาจจะทำให้เฉินเกอได้พรรคพวกที่มีประโยชน์ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรนี้อย่างไม่สมควร
“วิญญาณอาฆาตธรรมดานั้นอ่อนแอเกินกว่าจะกลืนกินหัวใจที่ทรงพลังเช่นนี้ พวเขาอาจจะสลายไปหลังจากกินหัวใจนี่เข้าไปก็ได้ มีเพียงวิญญาณสีเลือดเท่านั้นที่จะสามารถต้านทานความต้องการกลืนกินของหัวใจนี่ได้” เฉินเกอเหลือบมองหัวใจในมือซู่อินแวบหนึ่ง หัวใจสีแดงเลือดนั้นฝังลึกอยู่ในก้อนเนื้อใหญ่เท่าภูเขาและยังมีผลกระทบต่อคำสาปเลือด
“ทิ้งมันไว้ให้ซู่อินนับว่าเป็นการสร้างภาระแล้ว ทางเลือกเดียวที่ฉันเหลืออยู่ก็คือจางหยา” เฉินเกอเรียกซู่อินเข้ามาใกล้ ๆ กับแสงเทียนเพื่อให้ซู่อินวางหัวใจของปิศาจหิวโหยลงไปที่เงาของเขา ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เงาของเฉินเกอนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เขาเพิ่งมาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ตอนที่เขาพยายามเรียกจางหยาซ้ำ ๆ ก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมจางหยาถึงทำอย่างนี้ แต่เขาเชื่อว่าจางหยาจะไม่ทำร้ายเขา
แสงเทียนส่องสว่างไปยังร่างของเฉินเกอ แต่น่าแปลกที่เงาของเขานั้นกลับอยู่ในรูปร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง เฉินเกอมองเงาตัวเองเงียบ ๆ ซู่อินนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะเข้าไปใกล้กว่านี้ หลังจากได้รับอนุญาตจากเฉินเกอ ในที่สุดเขาก็วางหัวใจของปิศาจหิวโหยลงที่เงาของเฉินเกอ
จากนั้นก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อหัวใจที่ส่องประกายราวกับทับทิมพ้นมือของซู่อิน มันก็เริ่มกระเด้งตัวไปมาอย่างบ้าคลั่ง ในไม่ช้า เงาของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวใจดวงนั้น เฉินเกอรู้สึกว่าเธอดูคุ้นตามาก ในที่สุด เขาก็นึกได้ว่าเธอดูคล้ายกับผู้หญิงที่เขาเห็นในห้องของเจ้าของโรงแรม ผู้หญิงที่ในรูป ผู้หญิงที่เจ้าของโรงแรมเรียกว่าแม่ นั่นน่าจะเป็นรูปลักษณ์แท้จริงของผีทับทิม
“งั้นเธอก็ยังมีไม้ตายนี่ซ่อนอยู่สินะ” เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากเฉินเกอ หากเขาให้พนักงานของเขากินหัวใจนี้เข้าไป พนักงานคนนั้นก็จะกลายไปเป็นปิศาจหิวโหยตนที่สอง
เสียงร้องโหยหวนของผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ แผ่วเบาลงก่อนที่จะสลายไปเป็นหยดเลือดมากมายพรมลงที่เงาของเฉินเกอ เงาของเขานั้นราวกับทะเลสาบล้ำลึก หยดเลือดที่หล่นลงบนเงานั้นทำให้เกิดคลื่นเล็ก ๆ ก่อนที่จะหายวับไป
หลังจากหัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นละลายไปหมดแล้ว เงาของเฉินเกอก็ดูเข้มขึ้น และเงาของผู้หญิงคนหนึ่งก็เห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะอะไรไม่รู้ หัวใจของเฉินเกอเริ่มเต้นรัว เขามองไปยังเงาของตัวเองและรู้สึกว่าหญิงสาวคนหนึ่งกำลังโบกมือให้เขาอยู่ที่อีกด้านของเงานั้น หากเขาเอื้อมมือไปหาเธอ เขาก็จะถูกลากเข้าไปในเงาและอยู่กับเธอที่นั่นไปจนนิรันดร์
“จางหยา?” ชื่อนั้นลอยขึ้นมาในใจเฉินเกอ เส้นผมที่ในเงาสะบัดราวกับมีสายลมพัดผ่าน– นี่ เฉินเกอนับว่าเป็นการตอบสนองแบบหนึ่ง
“เธอดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งขึ้น…” เฉินเกอนั้นพยายามเพิ่มระดับพลังของพนักงานของเขา แต่หลังจากดิ้นรนเป็นนาน เขาก็พบว่าการร่วมมือกันของพนักงานทั้งหมดของเขานั้นกลับเทียบกับจางหยาไม่ได้ และที่แย่ไปกว่านั้น ความแตกต่างระหว่างระดับพลังยังมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น “บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าพรสวรรค์”
ที่ห้องเก็บศพใต้ดินวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงนั้น ถึงแม้ว่าจางหยาจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เหมือนกัน เธอก็ยังเก็บเกี่ยวบางอย่างจากภรรยาของคุณหมอเกาได้ มันเป็นสิ่งเดียวกับตอนที่เธอประมือกับเงานั่น จากนั้น เธอก็ยังขโมยเลือดจากคุณหมอเกาได้หลายหยด ตอนนี้ เธอยังได้กลืนกินหัวใจของปิศาจหิวโหย จางหยาจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดนั้น กระทั่งตัวเฉินเกอเองก็บอกไม่ได้
“ฉันไม่ใช่คนที่ชอบพึ่งพาคนอื่น แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ก็เหมือนว่าฉันจะมีตัวเลือกเดียว” ริมฝีปากของเขาเชิดขึ้นด้านบนอย่างไม่รู้ตัว เฉินเกอมองไปยังหญิงไร้หัวและรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น “ถ้าพวกคุณยังดื้อดึงอยู่อีก ผมจะให้เธอกินพวกคุณซะ”
รองเท้าส้นสูงสีแดงล้มไปกับพื้น และพวกมันยังดูไม่ต่างไปจากรองเท้าธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง เธอดูเหมือนจะหมดพลังไปมากจนไม่สามารถรักษารูปร่างเดิมไว้ได้ อย่างไรเสีย ระหว่างการต่อสู้กับปิศาจหิวโหย เธอคนเดียวก็รับมือกับความเสียหายถึงสามในสี่ส่วน และก็เป็นเธอที่เป็นคนลงมือสร้างความเสียหายรุนแรงแก่ปิศาจหิวโหยซึ่งทำให้เฉินเกอมีโอกาสที่เขาต้องการ
“คุณช่วยผมครั้งหนึ่ง ดังนั้นผมจะปฏิบัติกับคุณอย่างดี ผมจะไม่เอาเปรียบคุณ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ผมจะพาคุณกลับไปยังสถานที่ปลอดภัยและยังอาจจะสร้างบ้านให้คุณด้วย” เฉินเกอนั้นได้เห็นความน่ากลัวของคำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงกับตา เขาเก็บรองเท้าขึ้นมาด้วยผ้าปูโต๊ะที่เหลืออยู่และวางรองเท้าคู่นี้เอาไว้บนเคาน์เตอร์
“ทีนี้ก็ตาคุณแล้ว คุณไล่ล่าผมมาทั้งถนนเฮงซวยนี่และผมก็คิดว่าคุณติดหนี้คำขอโทษผมอยู่” เฉินเกอให้ซู่อิน ไป๋ชิวหลินและเหมินหนานจับหญิงไร้หัวเอาไว้ก่อนเขาถึงจะกล้าเข้าไปใกล้เธอ หญิงไร้หัวดูเหมือนจะมีอคติกับพวกผู้ชาย และเธอก็ไม่มองพวกเฉินเกอด้วยซ้ำ
“ถ้าคุณไม่อยากคุยกับผู้ชายก็ไม่เป็นไร ผมมีลูกจ้างที่เป็นผีผู้หญิงอยู่เหมือนกัน” เฉินเกอเรียกต้วนเยว่ออกมาคุยกับหญิงไร้หัว หลังจากคุยกันอยู่นาน ต้วนเยว่ก็กลับมาบอกเรื่องราว สภาพของหญิงไร้หัวนั้นไม่ดีนัก เธอสูญเสียร่างกายครึ่งหนึ่งไป และศีรษะของเธอยังได้รับความเสียหายรุนแรง แค่เธอกำลังพยายามรักษาสภาพร่างเอาไว้ไม่ให้สลายไปก็ยากแล้ว อย่าว่าแต่จะสู้เลย
“ถึงแม้ว่าคุณจะไล่ตามผมตั้งนาน ผมก็ยังเป็นคนใจกว้างพอที่จะไม่เอาเรื่อง หลังจากพวกเราออกไปจากที่นี่แล้ว ผมจะหาสถานที่ปลอดภัยให้คุณพักฟื้น” เฉินเกอดึงหญิงไร้หัวเข้าไปในหนังสือการ์ตูน
“เฮ้! ผมรู้ว่าคุณมีพื้นที่จำกัดที่บ้านผีสิงของคุณ ทำไมคุณไม่เอาเธอมาแทนที่ผมล่ะ?” เหมินหนานพูดด้วยน้ำเสียงแบบผู้ใหญ่ เขาวิ่งเหยาะ ๆ ด้วยขาสั้น ๆ ของเขามายืนด้านหลังเฉินเกอ “ผมไม่ได้กลับบ้านตั้งนานแล้ว มีปัญหาบางอย่างที่หอผู้ป่วยสาม เมื่อประตูหลุดออกจากการควบคุม ผลที่ตามมาก็เลวร้ายเกินจินตนาการได้”
“ฉันสัญญากับเธอ หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ฉันจะพาเธอกลับไปที่หอผู้ป่วยสามทันที” เฉินเกอนั่งยอง ๆ ลงและยื่นมือออกไปด้วยท่าทางจริงจัง “อ่ะ เกี่ยวก้อยสัญญาเลย”
“พระเจ้า คุณจะเป็นเด็กน้อยไปไหม?” ถึงแม้ว่าปากเขาจะบ่นพึมพำแต่เหมินหนานก็ยังยื่นนิ้วออกมาเกี่ยวก้อยสัญญากับเฉินเกอ “แต่ทำไมจู่ ๆ คุณถึงเปลี่ยนใจล่ะ? ผมสาบานได้เลยว่าคุณต้องมีอะไรสักอย่างถึงได้รับปากผมง่ายขนาดนี้”
“ฉันก็แค่เพิ่งตระหนักได้ว่ามันอันตรายแค่ไหนเวลาที่ประตูหลุดออกจากการควบคุม ดังนั้นฉันถึงเข้าใจว่ามันจะเป็นการดีที่สุดถ้าฉันส่งเธอกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เฉินเกอลุกขึ้นและบอกความคิดในใจของเขาออกมา
“ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมกำลังบอกคุณตั้งแต่ต้นแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมเชื่อผม ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ มันก็สายไปแล้วที่จะเริ่มต้นแก้ไขความผิดพลาด” หลังจากได้รับสัญญาจากเฉินเกอ ในที่สุดเหมินหนานก็ถอนหายใจโล่งอกได้ “เห็นว่าคุณจริงใจหรอกนะ ผมจะช่วยคุณอีกสักครั้ง แล้วก็ พวกเราอยู่ที่ไหนกันเนี่ย? ทำไมมันถึงมีวิญญาณสีเลือดเยอะขนาดนี้ในโรงแรมเล็ก ๆ นี่?”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ในประตูที่หลุดออกจากการควบคุม ที่นี่คือเมืองหลี่ว่าน จิ่วเจียงตะวันออก” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดเรื่องทั่วไป เขารออยู่นานแต่กลับไม่ได้ยินคำตอบรับอะไรจากเหมินหนาน เขาหันกลับไปดู “มีอะไรหรือ?”
เหมินหนาน ที่ตัวสูงกว่าเข่าเฉินเกอแค่นิดเดียว ตัวแข็งอยู่กับที่ไปแล้ว เขาดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “พวกเราอยู่ในประตูที่หลุดออกจากการควบคุม?”
“ใช่”
“ในโลกด้านหลังประตู?”
“ถูกต้อง”
หลังจบบทสนทนาสั้น ๆ นี้ เหมินหนานก็ฟุบไปกับพื้น เขามองเฉินเกอด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่มีคำพูดใดหลุดจากริมฝีปาก เหมือนจิตใจของเด็กชายนั้นจู่ ๆ ก็ลัดวงจรไปเสียแล้ว
“เธอเป็นอะไรไป?” เฉินเกอรีบนั่งลงไปตรวจดูเด็กชาย เขายังเป็นห่วงเหมินหนานอยู่เหมือนกัน
“ไม่มีอะไร” เหมินหนานโบกมือ “ผมแค่อยากจะสัมผัสกับพื้นดินที่ใต้เท้า ผมกลัวว่าเร็ว ๆ นี้จะไม่มีโอกาสทำแบบนี้อีกแล้ว”
“เลิกดราม่าได้แล้ว ไม่มีอะไรให้กลัว ฉันก็ยังอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“เพราะคุณอยู่ที่นี่แหละผมถึงได้กลัวขนาดนี้! ถ้าไม่เพราะว่าผมเอื้อมมือไม่ถึงคอของคุณละก็ ผมก็คงจะบีบคอคุณตายไปอย่างน้อยก็สองครั้งแล้ว! นี่คุณเสียสติไปแล้วหรือยังไงฮะ? คุณเข้ามาด้านหลังประตูนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่คุณยังเลือกประตูที่หลุดออกจากการควบคุมไปแล้วซะอย่างนั้น! ผมสงสัยนักว่าคุณหาที่ที่อันตรายอย่างนี้เจอได้ยังไง! มันยากนักหรือไงที่คุณจะอยู่อย่างสงบ? มันมีอะไรผิดเหรอที่อยากจะเป็นตัวตนที่สงบสุขน่ะ?” ในที่สุดเหมินหนานก็ทำตัวเหมือนอายุของเขา เขาน้ำตาไหลพรากขณะโวยวายออกมา
“เข้าใจแล้ว ฉันรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร ไม่ต้องห่วง ถ้าเรารอดไปจากที่นี่ได้ ฉันส่งเธอกลับบ้านแน่ ๆ” เฉินเกอรีบปลอบเหมินหนาน หลังจากนั้นเป็นครู่ใหญ่ อารมณ์ของเด็กชายถึงได้คงที่ขึ้น เฉินเกอพยายามถาม “มันอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอที่ด้านในประตูที่หลุดออกจากการควบคุมน่ะ?”
“ใช่สิ! ลองคิดดูนะ ด้านหลังประตูแต่ละบานคือสิ่งก่อสร้างปิดมิดชิดหลังเดียว ดังนั้นจำนวนวิญญาณสีเลือดและปิศาจที่คุณต้องรับมือนั้นจึงมีจำกัด แต่เรื่องมันต่างออกไปเมื่อประตูสักบานหลุดออกจากการควบคุม มันจะดึงเอาสิ่งก่อสร้างทั้งหมดรอบ ๆ พื้นที่นั้นเข้าไปในโลกแห่งฝันร้าย และไม่มีใครบอกได้ว่ามีวิญญาณสีเลือดและปิศาจซ่อนตัวอยู่ในนั้นมากเท่าใด” เหมินหนานโบกมืออย่างอ่อนแรงและใบหน้าของเขามีความเจ็บปวดที่เห็นได้ชัดเจน “ผมสู้ไม่เก่ง และผมก็ถูกสมาคมเล่าเรื่องผีหลอกมาแล้วอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง พลังของผมนั้นอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องการซ่อมหน้าต่างในหอผู้ป่วยสามให้เร็วที่สุด ถ้ามีอะไรที่ด้านนอกแทรกซึมเข้ามาในหอผู้ป่วยสาม อย่างนั้นบ้านของผมก็จะถูกทำลาย”
“แต่ว่านั่นก็ดีออกไม่ใช่เหรอ? แบบนั้นฉันก็สามารถเตรียมบ้านใหม่…” เฉินเกอชะงักกลางประโยคเมื่อเห็นว่าเด็กชายกำลังจะคลั่งอีกแล้ว ดังนั้นจึงรีบหยุดตัวเองไว้ “เธอพูดก็มีเหตุผล หลังจากออกจากเมืองหลี่ว่าน ฉันจะไปส่งเธอกลับหอผู้ป่วยสามทันที”
หลังจากดึงเหมินหนานเข้าไปในหนังสือการ์ตูนแล้ว เฉินเกอก็เรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาเพื่อเก็บกวาดโรงแรมเร็ว ๆ ครั้งหนึ่ง คำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นทรงพลังและน่ากลัวกว่าที่เขาคาดเอาไว้ หลอดเลือดและส่วนที่ยังเหลืออยู่ของปิศาจหิวโหยที่สัมผัสเข้ากับคำสาปนั้นสลายกลายเป็นเถ้าและปลิวหายไปในสายลม เหลือเอาไว้เพียงแค่โซ่เหล็กสี่เส้น
“ยังมีเรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับปิศาจหิวโหยอีกหลายอย่าง ฉันต้องขุดลงไปให้ถึงก้นบึ้ง” เฉินเกอเข้าไปในห้องที่หนึ่งและแก้มัดชายชรา “คุณเห็นโซ่เหล็กที่บนพื้นไหม? คุณเป็นคนที่ขังผู้หญิงคนนั้นเอาไว้หลังตู้เย็นใช่ไหม?”
ประสบการณ์นั้นเพิ่มตามอายุ ตอนที่ชายชราเห็นสภาพของโรงแรม เขาก็สรุปทุกอย่างได้ในใจ ดังนั้น เขาจึงอธิบายทุกอย่างให้เฉินเกอฟัง
ครอบครัวสามคนนี้ไม่ใช่คนเมืองหลี่ว่าน พวกเขาดูแลอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่ในเมืองจิ่วเจียงตะวันออก ชั้นบนของอพาร์ทเม้นท์นั้นให้เช่าขณะที่ชั้นล่างนั้นทำเป็นร้านอาหาร
จากนั้น วันหนึ่ง จู่ ๆ ภรรยาของชายชราก็ป่วยโรคประหลาด เธอไม่อิ่มไม่ว่าจะกินเข้าไปมากเท่าใด และเมื่อพวกเขาห้ามเธอกินต่อ เธอก็จะเจ็บปวดและตื่นตระหนกเหมือนพวกเขากำลังทรมานเธอ พวกเขาพาเธอไปพบหมอหลายคน แต่ว่าไม่ได้ผล อาการป่วยของภรรยารุนแรงขึ้น และเมื่อหิวถึงที่สุด เธอก็กัดกินคนอื่นด้วย
พวกเขาใช้เงินเก็บทั้งหมดไปกับการรักษาอาการป่วยของเธอ จนกระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาและชายชราที่เพิ่งกลับมาจากการพบหมออีกคนก็ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 และพวกเขาก็มาถึงที่เมืองหลี่ว่าน
ชายชรานั้นขี้ขลาดเกินกว่าจะลงจากรถ แต่ว่าภรรยาของเขานั้นถูกเงาลางเลือนเงาหนึ่งชักนำไปยังอพาร์ทเม้นท์ผี ตอนที่เธอกลับมา อาการป่วยของเธอนั้นก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน เขาดีใจมาก คิดว่าพวกเขาคงจะเจอเข้ากับผู้ช่วยชีวิตแล้ว แต่ว่านั่นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมนี้
ภรรยานั้นมักจะเดินออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน และในที่สุดชายชราก็พบว่าภรรยาของเขานั้นออกไปหา ‘อาหาร’ เพื่อไม่ให้ตำรวจรู้เข้า ทั้งครอบครัวจึงย้ายมายังเมืองหลี่ว่าน และสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นก็เข้ากันได้กับรายละเอียดในเกมของเสี่ยวปู้
“ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เป็นฉันเองที่ขังเธอเอาไว้ ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น เธออาจจะกินเนื้อตัวเองด้วยซ้ำ หลังจากเธอตาย ก็เป็นเงานั่นที่ขังเธอเอาไว้…” ชายชรามองเฉินเกอและพูดต่อ “เงานั่นคล้ายกับคุณ เขาเอา ‘อาหาร’ มาให้ภรรยาของฉันกินเป็นประจำจนกระทั่งเธอกลายเป็นสิ่งที่คุณเห็น”
“เงานั่นดูคล้ายผม?” เฉินเกอพยักหน้า เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว ปิศาจหิวโหยนั้นเป็นเงานั่นสร้างขึ้นมา ความหมายของการคงอยู่ของเธอก็เพื่อดูแลศูนย์กลางเมืองหลี่ว่าน
“ฉันไปดูทุกที่ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงแล้ว ได้เวลาไปที่เขตที่พักอาศัยของฟ่านฉงแล้ว” เป้าหมายของเฉินเกอนั้นสำเร็จแล้ว เขาดึงพนักงานทั้งหมดของเขาเข้าไปในหนังสือการ์ตูนและใช้เชือกมัดชายชราเอาไว้อีกครั้งแล้วทิ้งเขาเอาไว้ในห้องที่หนึ่ง
“ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว” เฉินเกอเดินออกมาจากห้องที่หนึ่งและวางแผนจะลงบันไดไปพบกันผู้โดยสารคนอื่น ๆ ตอนที่เกิดบางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้น ทางเข้าของโรงแรมจู่ ๆ ก็ถูกผลักเปิด และชายสองคนก็พุ่งเข้ามาในห้อง
“ห้ามพูด และห้ามทำอะไรทั้งนั้น! เข้าใจไหม?”
“ครับ ผมเข้าใจดี! แต่ปัญหาก็คือคุณจับคนผิด! เชื่อผม! เขาออกไปจากร่างผมแล้ว!”
ได้ยินเสียงคุ้น ๆ เฉินเกอก็เงยหน้าขึ้นตามนิสัย ตอนที่เขาเห็นสองคนที่ประตู ม่านตาของเขาก็หรี่แคบลงทันที
“หลี่เจิ้ง? เจียหมิง? ทำไมพวกคุณมาอยู่ที่นี่?”