ตอนที่ 1080 สถานีใหม่ โดย Ink Stone_Fantasy
“คุณหนูซิลเวียยืนยันมาแล้ว บริเวณรอบๆ ไม่มีปีศาจอื่นอยู่”
“ถ้าศัตรูโจมตีจากระยะนี้ พวกเราจะมีเวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 5 นาที”
“5 นาทีก็เพียงพอให้หน่วยปืนกลต่อต้านทางอากาศได้เตรียมตัวแล้ว ระดับความอันตรายล่ะ?”
“ในกลุ่มศัตรูตอนนี้ไม่พบปีศาจระดับสูง ระดับความอันตรายต่อราชินีแทบจะเป็นศูนย์”
“ถ้าทำงานไปตามปกติ ความเสียหายที่มากที่สุดอาจจะมาจากคนเหยียบกัน เพราะกลุ่มคนงานขนย้ายรางเหล็กมีคนเป็นจำนวนมาก กระจายตัวได้ลำบาก ประเมินว่าจะมีผู้เสียชีวิต 1 – 2 คน”
ทุกคนภายในกองบัญชาการต่างยุ่งวุ่นวาย หลังเคราะห์ข้อมูลและทำการปรึกษากันซ้ำไปซ้ำมาแล้ว ข้อสรุปแต่ละอันก็ถูกติดขึ้นไปบนกระดาน นี่คือความเคยชินอย่างหนึ่งที่สมาชิกในทีมที่ปรึกษาค่อยๆ บ่มเพาะขึ้นมา เมื่ออยู่ต่อหน้าข้อมูลที่มีความซับซ้อนแล้ว ตัวหนังสือนั้นทำให้คนมองข้ามได้ยากกว่าคำพูด
“โดยสรุปแล้ว เฟร์ราน ชิลต์ทำความเคารพขวานเหล็กพร้อมพูดรายงาน “พวกเราคิดว่าการให้คนงานทำงานต่อจะได้ประโยชน์มากกว่าการหยุดทำงานแล้วก็คอยป้องกัน จริงอยู่ที่พวกปีศาจอาจจะรู้ถึงเป้าหมายของพวกเรา แต่เดิมนี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในแผนการของฝ่าบาทอยู่แล้ว ส่วนปีศาจ 4 ตัวนั้น พวกเราแค่คอยเฝ้าระวังเอาไว้ก็พอ”
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้มา ข้อสรุปที่ออกมาก็คือ ‘ไม่มีอะไรน่ากลัว’
ถึงแม้หน้าที่ของทีมที่ปรึกษาคือช่วยวิเคราะห์และเสนอคำแนะนำ แต่คนที่มีอำนาจตัดสินใจในตอนสุดท้ายยังคงเป็นตัวขวานเหล็ก แต่ข้อสรุปอันนี้กลับเหมือนที่เขาคิดเอาไว้พอดี
กองทัพที่หนึ่งนั้นไม่ใช่กองทัพโบราณแบบเมื่อ 400 ปีก่อนอีก ต่อให้เป็นกองทัพแนวหน้าจำนวนแค่ 5,000 คนเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์แล้ว อาศัยเพียงแค่ปีศาจคุ้มคลั่งเพียงสี่ตัวนั้นไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ สำหรับแผนการของฝ่าบาทแล้ว ชีวิตคนงานเพียงคนสองคนแลกกับการบดขยี้ศัตรูนั้นไม่ถือเป็นความเสียหายด้วยซ้ำ
เพราะความเสี่ยงในการออกมาทำงานที่แผ่นดินรกร้างนั้นได้เขียนเอาไว้ในสัญญาตั้งแต่แรกแล้ว
ขวานเหล็กมองไปทางเอดิธส์ อีกฝ่ายไม่พูดอะไร
ในฐานบัญชาการ การเงียบนั้นหมายถึงการยอมรับ
“ข้าเข้าใจแล้ว อย่างนั้นก็ให้คนงานกลับมาทำงานเหมือนเดิม หน่วยปืนกลต่อต้านทางอากาศคอยเฝ้าระวังอยู่ที่เดิม คนอื่นๆ ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเอาไว้” ในตอนที่ขวานเหล็กกำลังออกคำสั่ง เอดิธส์พลันเอ่ยปากพูดขึ้นมา
แต่เธอไม่ได้พูดกับเขา หากแต่หันไปพูดกับอกาธาและฟิลลิส
“พวกท่านมีวิธีที่จะบดขยี้แมลงวันพวกนี้ในทีเดียวหรือเปล่า?”
“เจ้าหมายความว่า…เปิดฉากโจมตีก่อนเหรอ?” อกาธาถามพร้อมขมวดคิ้วขึ้นมา
“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าการปล่อยให้พวกมันมาจับตาดูเราอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดี” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพยักหน้า “จากที่ข้ารู้มา สาวน้อยสองคนที่บินได้ต่างก็มีความสามารถในการต่อสู้อยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ? ถ้ารวมกับคุณหนูจากอาณาจักรดอว์นไปอีกคนล่ะก็ บางทีพวกนางอาจจะกำจัดพวกมันได้ก็ได้ เรื่องนี้เกินกำลังของกองทัพที่หนึ่ง แล้วก็มีแต่พวกท่านถึงจะจัดการได้”
“นี่มัน…” อกาธาลังเลเล็กน้อย “ตามหลักแล้วพวกนางจะลงมือโจมตีได้โดยไม่มีอันตรายก็ต่อเมื่ออีกฝั่งมีปีศาจแค่สองตัว เพราะถ้าหากศัตรูเกิดขว้างหอกออกมาในระยะใกล้ๆ พวกนางก็ยากที่หลบหอกพวกนั้นได้ ต่อให้มีแอนเดรียช่วยอีกคน แต่พวกมันก็บยังเหลือปีศาจอยู่อีก 3 ตัว…”
เธอยิ่งพูดยิ่งช้าลง เพราะว่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝืนพูดอยู่
ในเมื่อเป็นสงคราม มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความเสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นศึกที่จะตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ด้วย เพื่อที่จะทำให้มนุษย์มีชีวิตรอดต่อไปแล้ว แม่มดนับหมื่นต้องตายลงด้วยน้ำมือของปีศาจ ไลต์นิ่งเองก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษกว่าแม่มดคนอื่นๆ เหล่านั้นเลย
แต่ในความเป็นจริง เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของไลต์นิ่งตั้งแต่เข้ามาในที่ราบลุ่มบริบูรณ์แล้ว ถึงแม้ไลต์นิ่งจะพยายามปกปิดมันเอาไว้ แต่อกาธาที่มีเคยผ่านสงครามแห่งโชคชะตามาก่อนก็ยังมองออก เธอรู้ว่านั้นเป็นความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ และก็เป็นเพราะความแข็งแกร่งของศัตรูที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนไม่สามารถเอาชนะได้ ทำให้แม่มดจำนวนมากในกองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการต่อสู้มาเป็นเวลานานก็ยังไม่อาจหลีกหนีความรู้สึกแบบนี้ไปได้ ถ้าอยากจะปรับสภาพจิตใจให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว นอกจากยากับพลังเวทมนตร์ ก็มีแต่ต้องค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจด้วยตัวเอง
เพื่อที่จะเอาชนะปีศาจแล้ว อกาธาไม่สนใจว่าจะมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ขอเพียงได้ประโยชน์มากพอ ต่อให้เป็นแผนการที่อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาเธอก็ไม่มีทางถอย ในจุดนี้เธอกับแม่มดทาคิลาคนอื่นๆ ต่างคิดเหมือนกัน
แต่ไลต์นิ่งนั้นไม่เหมือนกัน การบังคับให้เธอออกไปสู้กับปีศาจในสภาพแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับการให้เธอไปตายเลย
ตัวอกาธานั้นอาจจะไม่กลัวความเสี่ยง แต่เธอไม่สามารถส่งให้อีกฝ่ายไปลงนรกด้วยมือของตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะพี่น้อง
หลังจากที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เธอก็พบว่าตัวเธอเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะแม่มดกลุ่มนี้
“อย่างนั้นเหรอ…” เอดิธส์เลิกคิ้วขึ้นมา เธอไม่ได้พูดดึงดันที่จะให้พวกไลต์นิ่งออกไปสู้ “แล้วถ้าแค่ไล่พวกมันออกไปล่ะ? ใช้เรืออาร์คเวทมนตร์พรางตัวเอาไว้ แล้วให้คุณหนูจากอาณาจักรดอว์นหาโอกาสลงมือ ต่อให้จัดการได้ตัวเดียวก็ไม่เป็นไร ข้าคิดว่ายังไงก็ดีกว่าปล่อยให้พวกมันมาคอยดูพวกเราได้ตามใจชอบ”
อกาธากับขวานเหล็กสบตากัน “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ข้าจะแจ้งหน่วยจู่โจมพิเศษ”
….
ในเวลาสิบกว่าวันหลังจากนั้น ปีศาจกับกองทัพที่หนึ่งเหมือนจะ ‘รู้ใจ’ กันขึ้นมา
ทุกๆ วันจะมีอสูรสยองกลุ่มหนึ่งมาคอยบินไปบินมาอยู่นอกแนวป้องกัน บางครั้งก็จะเพิ่มเป็น 2 – 3 กลุ่ม ทิศทางในการปรากฏตัวก็ไม่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าด้วยการตรวจตราของซิลเวีย พวกมันจึงไม่สามารถแอบทำอะไรได้ ยังไม่ทันที่พวกมันจะได้เข้ามาใกล้ กองทัพที่หนึ่งก็ไปดักรอพวกมันเอาไว้ก่อนแล้ว
และก็น่าจะเป็นเพราะไม่มีโอกาสให้โจมตีแม้แต่น้อย พวกปีศาจจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากบินไปบินมา
ในตอนแรกพวกคนงานยังรู้สึกหวาดกลัวปีศาจอยู่ แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน ทุกคนเหมือนจะเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ไปเสียแล้ว พวกเขากลับไปทำงานกันอย่างขันแข็งเหมือนอย่างเก่า เพราะว่า ‘ภัยอันตราย’ นั้นอยู่อีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า แต่เงินค่าจ้างนั้นกลับอยู่ตรงหน้า
สิ่งเดียวที่ดูแปลกออกไปจากเดิมในช่วงเวลานี้นั้นมาจากแอนเดรีย
ทุกครั้งที่ปีศาจถูกยิงตกลงมา พวกคนงานจะพากันระเบิดเสียงเฮออกมาดังสนั่น
เหตุการณ์แบบนี้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า บางวันก็ไม่มีเสียงเฮเลย บางวันก็มีเสียงเฮดังขึ้นมาสองสามครั้ง
ถึงแม้ทุกคนจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของหน่วยจู่โจมพิเศษ แต่ทุกคนรู้ว่านี่ต้องเป็นการตอบโต้จากทางกองทัพอย่างแน่นอน
พวกคนงานถึงกับมีเกมการพนันแบบใหม่ขึ้นมา
นั่นก็คือทายจุดจบของพวกปีศาจ
วันนี้จะมีปีศาจมากี่ตัว แล้วจะมีปีศาจได้กลับไปกี่ตัว เกมแก้เบื่อแบบนี้กลายเป็นที่นิยมของทุกคน
เนื่องจากการก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างราบรื่น ไม่นานกองทัพที่หนึ่งก็เคลื่อนที่เข้าไปยังจุดเชื่อมต่อที่สองของรางเหล็ก
ตามแผนการรบแล้ว รางเหล็กที่ไม่มีป่าเร้นลับคอยปกป้องจะมีการตั้งสถานีเอาไว้ทุกๆ ระยะ 50 กิโลเมตร ป้อมคอนกรีตแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับประกันว่ากองทัพที่หนึ่งจะสามารถรับมือกับกองทัพปีศาจที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าได้ ขณะเดียวกัน ขณะเดียวกันทัพหลักกับทัพหน้าก็ยังคอยประสานงานกันด้วย กองหนุนที่อยู่ด้านหลังก็จะยิ่งทำงานได้สะดวกมากขึ้นด้วย
รางเหล็กที่อยู่ระหว่างสถานีสองสถานีจะให้รถไฟหุ้มเกราะที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่บนรางคอยคุ้มกัน ต่อให้ถูกศัตรูโจมตีใส่รางจนพังเสียหาย การสร้างมันขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เรียกได้ว่าเมื่อมีสถานีเหล่านี้แล้ว การที่ศัตรูจะกำจัด ‘แบล็กริเวอร์’ ทิ้งในระยะเวลาสั้นๆ นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย พวกมันเป็นเหมือนกับตะปูที่ทำให้กองทัพที่หนึ่งสามารถปักหลักอยู่บนที่ราบแห่งนี้ได้
และสิ่งที่พวกเขาจะทำในตอนนี้ก็คือการการตอกตะปูเหล็กตัวที่สองลงไป —- ‘สถานีหมายเลขหนึ่ง’
……………………………………………………….