กลิ่นเลือดฟุ้งในอากาศ ข้างนอกฝนไม่ได้ตก แต่เสื้อกันฝนสีแดงที่ผู้หญิงคนนี้สวมอยู่กลับเปียกชุ่ม เธอเข้ามาในโรงแรมพร้อมก้มหน้าต่ำ— เธอไม่ได้มองไปที่ใครเลยขณะตรงไปยังที่นั่งว่าง ๆ แล้วนั่งลง
“พวกเราควรจะอยู่ให้ห่างจากเธอ” เจียหมิงเปิดปากกระซิบขณะลุกขึ้นแล้วขยับไปยังอีกด้านของโต๊ะ เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลี่เจิ้งไว้ก่อน ดังนั้นตอนที่เขาลุกขึ้นและขยับห่างออกไปจากหลี่เจิ้ง คนอื่นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าหลี่เจิ้งนั้นถือปืนกระบอกหนึ่งอยู่ในมือ
“นั่งตรงนี้ดี ๆ และอย่าขยับ!” หลี่เจิ้งกดหลังเจียหมิงลงที่เดิม เขาใช้หางตากวาดตามองผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีเลือดเงียบ ๆ และจากนั้นก็ลดเสียงลงถามเจียหมิง “แกรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ?”
“เธอเป็นคนบ้า ทุกคนที่สวมชุดสีแดงที่นี่ล้วนเป็นคนบ้า ถ้าคุณอยากมีชีวิตอยู่ ก็อยู่ให้ห่างจากพวกเขาเท่าที่คุณทำได้ พยายามอย่าไปพูดคุยกับพวกเขา” ร่างของเจียหมิงสั่นนิด ๆ “นี่คือสิ่งที่เงานั่นบอกผม ถ้าคุณอยากตาย งั้นก็เชิญเลย แต่อย่าลากผมไปกับคุณด้วย!”
“สีแดงที่นี่นั้นแทนความหมายพิเศษบางอย่างงั้นหรือ?” หลี่เจิ้งมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม ตั้งแต่เขาเข้ามาในเมืองเล็ก ๆ นี่ เขาก็สังเกตเห็นสิ่งแปลก ๆ มากมาย แต่เพราะว่าเขามีข้อมูลน้อยเกินไป มันจึงยากที่เขาจะบอกว่าเจียหมิงกำลังโกหกเขาหรือไม่
“สีแดงแทนอันตรายร้ายแรง แค่อยู่ให้ห่างจากพวกเขา นั่นเป็นกฎที่คุณต้องทำตามที่ด้านในประตูนี่” เสียงของเจียหมิงนั้นเบาลงเรื่อย ๆ “เงานั่นออกไปจากร่างของผม แต่เขาใช้ร่างนี้ทำเรื่องต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นผมจึงยังรู้ความลับของเขาอยู่บ้าง”
“ในประตู?” หลี่เจิ้งจดทุกประโยคที่ออกมาจากปากเจียหมิงเอาไว้ “มีกฎอื่นที่ฉันต้องระวังเมื่ออยู่ที่นี่อีกไหม?”
บางทีอาจจะเพราะรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้น หรือบางทีเขาจะตัดสินใจเปลี่ยนแผนเพราะเจอเข้ากับเฉินเกอ เจียหมิงจึงกลายเป็นซื่อตรงและให้ความร่วมมือมากขึ้น “อย่าเข้าไปในตึกไหนที่ประตูปิดอยู่ และอย่าเดินผ่านตึกไหนที่ประตูเปิดอยู่ สีเทาแทนความปลอดภัยที่มีอยู่บ้าง และสีแดงแทนอันตราย แต่ว่า ถ้าคุณเห็นสีดำ อย่าเสียเวลาพยายามหนีเลย มันจะดีกว่าที่จะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายที่คุณมีหาคำพูดสั่งเสียซะ”
ตอนที่เจียหมิงและหลี่เจิ้งคุยกัน เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากที่ทางเข้าโรงแรมอีกครั้ง ทุกคนหันไปมองพร้อม ๆ กัน
“ที่นี่ดูจะพลุกพล่านทีเดียวคืนนี้” ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำลากกล่องใบใหญ่ใบหนึ่งเข้ามาในห้อง บนแขนของเขาสลักรูปกะโหลกศีรษะของผู้หญิงเป็นสีแดงเลือดเอาไว้ถึงห้ากะโหลก และเขายังคาบนกหวีดทำจากกระดูกไว้ที่ริมฝีปาก ไม่มีใครในโรงแรมตอบรับคำทักทายของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสีย เขาทักทายทุกคนในโรงแรมทีละคน แต่เมื่อเขาเห็นผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดง ร่างของเขาก็แข็งทื่อก่อนที่จะเดินผ่านเธออย่างรวดเร็วไปที่เคาน์เตอร์ “บอส ผมอยากพักที่นี่คืนนี้”
เสียงของเขาลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกำลังกังวลว่าจะไปรบกวนผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดงเข้า
“แขกอีกคนหรือ?” เฉินเกอเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมรถเข็น พวกเขาค้นไปทั่วห้องครัว แต่นอกจากเนื้ออะไรไม่รู้ที่ถูกหั่นและเตรียมเอาไว้ อาหารที่เหลืออยู่ก็มีแค่เค้ก แน่นอนว่า บอสไม่ได้เตรียมเค้กนี่ไว้ให้แขก จากในรายการอาหารที่ในห้องครัว เห็นได้ชัดเจนว่าของทั้งหมดบนเมนูนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าของผู้หญิงชื่นชอบ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง รายการอาหารในภัตตาคารนี้นั้นเตรียมไว้ให้แขกเพียงคนเดียว ก็คือผีผู้หญิงหิวโหย เค้กนั้นยังต้องตกแต่งเพิ่มเติมก่อนที่จะสมบูรณ์ อย่างเช่น เพิ่มซอสมะเขือเทศหรือซอสราสเบอร์รี่ในห้องครัว แต่เค้กนั้นก็มีสีแดงไปส่วนหนึ่งแล้ว
“วิญญาณสีเลือดที่ชอบกินขนมหวาน? นั่นดูเป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจ” เฉินเกอผลักรถเข็นออกไป เขาตัดสินใจเปลี่ยนโรงแรมนี้เป็นฉากสยองขวัญที่เกี่ยวข้องกับอาหารหลังจากภารกิจสำเร็จ เขาอยู่ในห้องครัวอยู่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ตอนที่เขาออกมา เขาก็พบว่าจำนวนแขกในห้องโถงนั้นเพิ่มขึ้น จากพวกเขาทั้งหมดนั้น การปรากฏตัวของผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดงนั้นทำให้เขาประหลาดใจที่สุด
พูดก็พูดเถอะ หลังจากประตูในเมืองหลี่ว่านหลุดออกจากการควบคุม มันก็เปลี่ยนไปเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งพิเศษที่คนเป็นนั้นสามารถนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับวิญญาณสีเลือดได้
“บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุการณ์จริงด้านหลังประตู มีผีที่เกิดจากเจตนารมณ์แน่วแน่และมนุษย์ที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่กับฝันร้าย” เฉินเกอยกเค้กที่ไม่ได้ถูกย้อมสีมาไว้ที่โต๊ะอาหาร “ทานให้อร่อยครับ ผมไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผมแค่ต้องการให้พวกคุณตอบคำถามผมสองสามข้อหลังจากนี้”
“คุณแน่ใจเหรอ? คุณจะไม่เปิดดูนี่หน่อยเหรอ? บางทีคุณอาจจะเจออะไรที่คุณจะสนใจ?” ผู้หญิงที่ห่อเสื้อผ้ารอบตัวแน่นหนามิดชิดพูด เธอลากกล่องของเธอเดินตรงไปหาเฉินเกอ หลังจากยืดตัวขึ้น เธอก็ขยับนิ้วของเธอจากที่กล่องไปวางเอาไว้ใต้ตะเข็บเสื้อผ้าของเธอ ‘สิ่งนี้’ ที่สามารถเปิดได้นั้นอาจจะหมายถึงสองอย่างที่ต่างกัน
“ไม่จำเป็น ถ้าจำเป็น ผมจะทำเอง” เฉินเกอถือกระเป๋าสะพายหลังหนัก ๆ เอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ค้อนของเขาเพิ่งได้ลิ้มรสลิ้นและหลอดเลือดของปิศาจหิวโหย ดังนั้นกลิ่นเลือดหนาหนักบนค้อนจึงยังไม่สลายไป
“ได้ ตามใจคุณ” เธอลากกล่องถอยกลับไปหลายก้าว ความเย้ายวนบนใบหน้าของเธอนั้นสลายไปหมดแล้ว และเธอยังเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วเหมือนพลิกหน้าหนังสือ
“เฮ้ บอสอยู่ที่ไหน? ฉันต้องคุยกับเขา เกี่ยวกับสิ่งที่เขาบอกให้ฉันไปหามาเมื่อครั้งก่อน ฉันเจอเงื่อนงำบางอย่างแล้ว” ชายหนุ่มที่มีรอยสักกะโหลกศีรษะหญิงสาวเดินมาทางเฉินเกอ และยังลากกล่องของตนมาด้วย
“เขาออกจากโรงแรมไปและทิ้งที่นี่ให้อยู่ในการดูแลของผมชั่วคราว ดังนั้นตอนนี้ผมเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่าง มีอะไรให้ผมช่วยครับ?” เฉินเกอมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้า ในด้านการให้บริการแล้ว เขาทำได้ดีกว่าเจ้าของคนก่อนแน่นอน
“บอสไม่อยู่?” ชายที่มีรอยสักนั้นฉลาดมาก ดังนั้นเขาจึงจับประเด็นปัญหาได้ในทันที เขายิ้มอย่างอาย ๆ ให้เฉินเกอ “อย่างนั้นผมคิดว่าผมค่อยกลับมาใหม่วันหลัง ขอโทษที่รบกวน ค่อยพบกันใหม่นะครับ”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับออกไปโดยไม่เอากล่องของเขาไปด้วย
“เดี๋ยวก่อนครับ บางทีคุณอาจจะไม่เข้าใจความหมายของผมก่อนหน้านี้” เฉินเกอให้มือกรรไกรหยุดชายที่มีรอยสักเอาไว้ “โดยทางเทคนิคแล้วผมเป็นเจ้าของที่นี่ตอนนี้ ในเมื่อก่อนหน้านี้เจ้าของที่นี่มอบหมายงานให้คุณ คุณก็แค่รายงานผลให้ผม จากนั้นผมจะถ่ายทอดข้อมูลให้เขาเอง”
ชายที่มีรอยสักยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาของเขากลอกไปทางห้องครัวอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งมอง เขาก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น “คุณแน่ใจเหรอว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดี?”
“ทำไมคุณถึงคิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีล่ะ?” เฉินเกอเอนตัวไปข้าง ๆ นิด ๆ ปล่อยให้ชายที่มีรอยสักเหลือบมองไปยังกำแพงที่ถล่มลงมาด้านในห้องครัว
“ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของบอส อย่างนั้นคุณก็เป็นเพื่อนของผมเหมือนกัน ในเมื่อพวกเราล้วนเป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่าไม่มีความคิดอื่นที่ดีไปกว่านี้แล้ว” ชายที่มีรอยสักเปลี่ยนท่าทีไปในทันใด ความซื่อตรงและจริงใจบนใบหน้าของเขานั้นขัดกับรอยสักกะโหลกศีรษะที่ดูชั่วร้ายบนแขนของเขาเป็นอย่างมาก “มีคนนอกอยู่ที่นี่เยอะเกินไป คุณจะว่าอะไรไหมถ้าพวกเราจะไปที่ที่เงียบกว่านี้?”
เขาหันกลับมุ่งหน้าไปยังชั้นสอง มันดูเหมือนเขาคุ้นเคยกับโรงแรมนี่ เขาน่าจะมาที่นี่เป็นประจำ
“มือกรรไกร มากับผม” เฉินเกอให้มือกรรไกรตามเขามา– เขาไม่ได้ทำเหมือนชายคนนี้เป็นคนนอกแต่อย่างใด
“ฉัน?” มือกรรไกรอึ้งไป เขาไม่คิดว่าเฉินเกอจะพาเขาไปด้วยตอนที่เขากำลังจะพูดคุยความลับอันมีค่าบางอย่าง เฉินเกอเชื่อถือเขามากแค่ไหนกัน?
“เร็ว เพื่อนเรากำลังรอ” เฉินเกอและมือกรรไกรตามชายที่มีรอยสักขึ้นไปที่ชั้นสอง
“เมื่อกี้ ผมเห็นห้องลับในครัวถล่ม แต่ปิศาจผู้หญิงกลับไม่ได้อยู่ในนั้น” ชายที่มีรอยสักสูดลมหายใจเย็นเยียบ “เธอถูกขังเอาไว้ในโรงแรมนี้ แต่ตอนนี้ เธอไม่อยู่ในที่ที่เธอควรอยู่– คำอธิบายเดียวก็คือเธอหายตัวไป”
“คุณเป็นคนฉลาดมาก” เฉินเกอพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผมไม่ชอบพูดคุยกับคนที่ฉลาดเกินไปยกเว้นว่าจะคนผู้นั้นจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่ามีประโยชน์กับผม”
“พี่ชาย อย่าทำอย่างนี้สิ! ผมรับรองกับคุณได้ว่าผมมีประโยชน์ต่อคุณ และคุณจะต้องประหลาดใจกับประโยชน์ที่ผมอาจจะมีให้” ชายที่มีรอยสักถือนกหวีดกระดูกเอาไว้ในมือและเขาก็หยุดไปนานก่อนจะพูดต่อ “ผมรู้วิธีการออกไปจากที่นี่ มันเกี่ยวข้องกับประตูบานหนึ่ง”
“นี่ก็อาจจะนับได้ว่าเป็นความลับ พวกเราทั้งหมดมาจากด้านนอกประตู ดังนั้นเมื่อเจอประตู ก็ย่อมสามารถผ่านออกไปได้ตามปกติ” เฉินเกอใช้ประโยคเดียวทำให้ชายมีรอยสักสะอึก “หยุดพยายามเล่นเล่ห์ ผมรู้มากกว่าที่คุณเชื่อว่าผมจะรู้ ผมแนะนำให้คุณเริ่มบอกผมได้แล้วว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่”
“นอกจากนั้นแล้ว ผมรู้ตำแหน่งของประตู” ปลายนิ้วของชายมีรอยสักกำรอบนกหวีดกระดูกแน่น “ทุกคนถูกพามาที่นี่โดยถูกผีทารกเอาผ้าสีดำคลุมหัว เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาก็มาอยู่กลางถนนแล้ว ผมถามหลายคน และตำแหน่งที่พวกเขาตื่นขึ้นหลังจากปลดผ้าสีดำออกไปก็ต่างกันไปทุกครั้ง”
“เดี๋ยวก่อนนะ คุณถูกพามาที่นี่โดยผีทารก? ผีทารกนั้นไม่ใช่เงาดำนั่น? ทำไมคุณถึงไม่เรียกเขาว่าเงาแต่เรียกว่าทารก?” เฉินเกอดูจะไม่สนใจวิธีการออกไปจากที่นี่แต่กลับสนใจในรายละเอียดเล็ก ๆ
“พี่ชาย สิ่งที่คุณสนใจช่าง… แตกต่าง คุณคงได้เจอเงานั่นแล้วในเมื่อคุณมาที่นี่ อย่างไรซะ ตอนที่คุณถูกถามให้เลือกตอนที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์ผี…” ชายมีรอยสักชะงักกลางประโยค และเขาก็มองเฉินเกอและมือกรรไกรอย่างไม่อยากเชื่อ “เดี๋ยวก่อนนะ! อย่าบอกผมนะว่าพวกคุณเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง? คุณไม่ได้ผ่านประตูนั่นมาเหรอ?”
“ถ้าคุณไม่อยากตาย ผมแนะนำให้คุณแค่ตอบคำถามของผม” เฉินเกอดึงค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกออกมาให้เห็นว่าเขาเอาจริง
“พี่ชาย ใจเย็นนะ ผมแค่ตกใจ แน่นอนว่าบางครั้งก็มีไอ้คนดวงซวยเดินหลงเข้ามาในหมอกเลือดเพราะเหตุผลต่าง ๆ แต่พวกเขาน้อยนักที่จะรอดชีวิตอยู่ได้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง” ชายมีรอยสักมองเฉินเกอที่ถือค้อนอยู่ และมือกรรไกรที่ดูน่ากลัว “สถานการณ์อย่างของพวกคุณนั้นหาได้ยากมาก”
“ตอนนี้คุณจะบอกผมมากกว่านี้เกี่ยวกับอพาร์ทเม้นท์ผีและผีทารกได้หรือยัง?” เฉินเกอลดเสียง และสายตาของเขาก็คมกริบขึ้น
“ความอดทนเป็นสิ่งที่ดี ในเมื่อพวกคุณเป็นคนนอก ผมจะบอกกฎบางข้อของที่นี่ให้ เชื่อผม นี่ก็เพื่อประโยชน์ของคุณเอง” ชายมีรอยสักมองไปข้างนอก และหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา เขาก็พูดต่อ “มีเรื่องเลวร้ายมากมายเกินขึ้นทั่วไปในโลกในทุก ๆ วัน และนี่ก็ก่อกำเนิดผู้โชคร้ายขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ บางคนนั้นเอาชีวิตรอดจากอุปสรรคที่ยากที่สุดในชีวิตได้ด้วยความหวังและศรัทธาในหัวใจ แต่บางคนกลับจมลึกลงไปในความสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม
“ผมเคยเจออย่างน้อยก็สิบคนที่มาจากที่ด้านนอก พวกเขาเจอเข้ากับเงาตอนที่ชีวิตของพวกเขาตกต่ำถึงขีดสุด ทุกอย่างเกินขึ้นคล้าย ๆ กัน เดิมที พวกเขาได้ยินเสียงของตัวเองดังมาจากเงาของตน ด้วยการชี้นำจากเงา พวกเขาก็จะถูกบอกให้ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 มุ่งหน้ามายังเมืองหลี่ว่าน เมื่อพวกเขาเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ผีก็จะมีหนทางรอดไปจากเรื่องเลวร้ายรอพวกเขาอยู่
“เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ผีก็คือเงาเงาหนึ่ง แต่ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าจริงของเขามาก่อน ในสายตาของพวกเรา เขามักจะเป็นเงา เงาที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายคุณในตอนไหนก็ได้และเปลี่ยนไปเหมือนตัวคุณ เขาเหมือนสัตว์ประหลาดที่มาจากความมืดดำที่สุดในหัวใจของพวกเรา เพราะว่าเขาคุ้นเคยกับจุดอ่อนที่สุดและความปรารถนาของพวกเราอย่างไม่น่าเชื่อ
“เงานั่นเรียกตัวเองว่าเป็นผีทารก ตามที่เจ้าของโรมแรมนี้คนก่อนบอก เงานั่นอันที่จริงแล้วเป็นเงาของคนเป็นคนหนึ่ง แต่ว่ามันถูกคนผู้นั้นทอดทิ้ง ผมรู้ว่ามันฟังดูน่ากลัวแค่ไหน แต่นี่คือความจริง เมืองหลี่ว่าน อพาร์ทเม้นท์ผี และสิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในจิ่วเจียงตะวันออกล้วนเป็นการกระทำของเงานั่น เขาจะไม่หยุดจนกว่าจะเป้าหมายเดียวของเขาจะประสบความสำเร็จ– เปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นมนุษย์ และจากนั้นก็เปลี่ยนมนุษย์คนนั้นที่เคยทอดทิ้งมันมาเป็นเงา
“ความแค้นบ่มเพาะจนเป็นหนองและเน่าเปื่อย เดิมที เงานั่นก็เป็นแค่เงา แต่เมื่อมันกลืนกินความสิ้นหวังและความแค้นเข้าไปมากเข้า เขาก็เปลี่ยนไปเป็น…” ชายมีรอยสักคิดอยู่พักหนึ่งแต่หาคำที่เหมาะสมไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเก็บร่างกายส่วนใหญ่และความรู้สึกด้านลบเอาไว้ในตัวเด็กที่ยังไม่ถือกำเนิด และนั่นก็คือร่างจริงของผีทารก เขาทิ้งส่วนเล็ก ๆ ของร่างกายเอาไว้ที่ข้างกายทารกนั่นเพื่อปกป้องมันขณะที่ส่วนที่เหลือของเขานั้นทำตามแผนต่อ”
“คุณรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง?”
เงานั่นระมัดระวังและจับตามองเขาทุกฝีก้าว เฉินเกอรู้ว่ามันย่อมไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้กับคนนอกนอกเสียจากว่าข้อมูลที่เงานี้ยินดีเผยออกมานั้นเป็นกับดักหรืออะไรประเภทนั้น
“เจ้าของโรงแรมนี้กับผมนั้นเป็นคนเป็นกลุ่มแรกสุดที่เข้าประตูมา พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้วและพบความจริงจากถ้อยคำและการกระทำของเงานั่น” ผู้ชายคนนั้นถอดเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นเชือกสีแดงดำที่มัดอยู่รอบท้องของเขา เชือกนั้นดูเหมือนจะถูกผูกเอาไว้นานมากแล้ว และมันก็ไม่เคยถูกถอดออก อันที่จริง เชือกนั่นรัดเข้าไปในเนื้อในตัวของเขา ที่แปลกก็คือ เชือกนั้นราวกับเป็นอาณาเขตอะไรสักอย่าง ร่างกายท่อนบนของชายที่มีรอยสักนั้นปกติดีเป็นที่สุด แต่ถัดลงไปจากเชือกแล้ว ผิวของเขาเป็นสีเทา
“เชือกนี่สร้างจากหลอดเลือดที่ได้มาจากแม่ของเจ้าของโรมแรม ถ้าไม่มีมันอยู่ ผมก็คงตายไปแล้ว”
“แต่นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าคุณกำลังบอกความจริงผม” เฉินเกอนั้นมีวิธีการตัดสินสิ่งต่าง ๆ แบบของตัวเอง เขาจะไม่เชื่อทุกอย่างที่คนอื่นบอกเขา และนั่นเป็นเหตุผลให้เขาสามารถเอาชีวิตรอดจากภารกิจทดลองมากมายมาได้
“ผมพิสูจน์ความจริงของคำพูดของผมไม่ได้ ผมก็แค่บอกทุกอย่างที่ผมรู้แก่คุณ ผมหวังว่าคุณจะรู้สึกได้ถึงความจริงใจของผม และพวกเราก็สามารถร่วมมือกันหนีออกจากที่นี่ไปได้” ชายมีรอยสักสวมเสื้อผ้ากลับ เขาเข้าใจความระแวงของเฉินเกอ อันที่จริง ถ้าเฉินเกอเชื่อเขาโดยง่าย เขาก็คงต้องคิดหนัก “ต่อจากเรื่องเมื่อกี้ ผมถามไปทั่ว ๆ และในที่สุดก็เจอหนึ่งในความลับของเงานั่น
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่นั้นถูกเอาผ้าดำคลุมหัวเอาไว้ตอนอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี แต่ว่า พวกเขาต้องผ่านประตูเพื่อเข้ามาในโลกนี้หลังจากเวลาผ่านไป” ดวงตาของชายมีรอยสักหรี่ลงเหมือนเขากำลังจะพูดบางอย่างที่สำคัญ “อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นเป็นสถานที่ที่ติดยึดอยู่กับเมืองหลี่ว่าน มันเป็นโครงการที่พักอาศัยร้างที่รู้จักกันในชื่อเขตที่พักอาศัยหมิงหยาง
“หลายคนที่ถูกส่งไปที่นั่นนั้นไม่พึงพอใจ พวกเขาต้องการหนี และพวกเขาก็ออกไปสำรวจที่ชายขอบเมืองหลี่ว่าน แต่ว่า พวกเขาไม่มีใครกลับมา เดิมที ผมเองก็คิดว่าประตูน่าจะอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี แต่หลังจากถามคนที่นี่หลายคน ผมก็พบว่า ประตูน่าจะอยู่ในเมืองหลี่ว่าน”
ชายมีรอยสักรู้สึกเหมือนตัวเองค้นพบความลับยิ่งใหญ่ “หลังจากเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ผีแล้ว สติส่วนใหญ่ของพวกเขาจะถูกนับเป็นความชั่วร้ายในใจและถูกดึงออกไป แต่ว่า มีบางคนที่ยังสามารถรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้เป็นปกติได้ พวกเขาไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป และพวกเขาก็จำได้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกผลักเข้าประตูแต่ถูกบอกให้เดินไปตามทิศทางหนึ่งอยู่เป็นเวลานาน หลังจากสืบถามอยู่หลายปีโดยไม่กระตุ้นความสงสัยของเงานั่นขึ้นมา ผมก็เชื่อว่าผมพบที่ตั้งของประตู”
“มันอยู่ในเขตที่พักอาศัยที่ชานเมืองหลี่ว่านใช่ไหม? ถ้าผมเดาไม่ผิด มันน่าจะเป็นห้องใดห้องหนึ่งในตึกแรกชั้นแรก” ชายมีรอยสักตกใจมาก เฉินเกอเผยตำแหน่งที่ตั้งที่เขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะค้นพบออกมา “ไม่เป็นไร ผมเดาว่านั่นเป็นข้อมูลที่ใช้การได้ทีเดียว อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าอพาร์ทเม้นท์ผีนั่นอยู่ที่เขตที่พักอาศัยหมิงหยางและเงานั่นเก็บ ‘ร่าง’ ส่วนใหญ่ของมันเอาไว้ในเด็กทารกที่ยังไม่ถือกำเนิด”
เฉินเกอถามชายมีรอยสักอีกสองสามคำถาม เขาตระหนักว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขามีความใกล้ชิดกับเหล่าผีและวิญญาณโดยธรรมชาติ คือฟ่านอวี้แบบที่เป็นผู้ใหญ่แล้วและมีความสามารถอ่อนกว่า