สายตาของฮอนมองปราดโฮจินตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะจับจ้องไปที่สีหน้าซึ่งไร้มารยาท เขานึกสงสัยว่าทำไมเจ้าบ้านั่นถึงได้ปรากฏตัวออกมาด้วยความบ้าขึ้นไปอีก เขาคิดหาเหตุผลนั้นพลางขมวดคิ้วแน่น 

 

 

“ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้นะ แต่กับความมั่นคงของราชวงศ์ พลังอำนาจที่อหังการนั้น…” 

 

 

ฮ่าๆ โฮจินขัดคำพูดของฮอนด้วยการหัวเราะ ซึ่งไม่ใช่การหัวเราะเพราะตลกหรืออารมณ์ดีอย่างแน่นอน 

 

 

“เรื่องนั้นมันสำคัญถึงขนาดนั้นเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งกว่าชีวิตของเลือดเนื้อเชื้อไขอีกหรือ” 

 

 

“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่” 

 

 

โฮจินดึงเก้าอี้มานั่งอย่างแรง ท่าทางของเขาดูก้าวร้าวมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะเขาก็ไม่ได้มีมารยาทตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

 

 

“มินอายังไม่ฟื้นและนอนแน่นิ่งเหมือนกับศพทั้งที่เลือดไหลออกมาพลั่กๆ นางเคยเป็นเด็กที่แม้จะมีแผลถูกแทงทั่วทั้งตัวก็ยังตะโกนโหวกเหวกและขว้างปาสิ่งของใส่ข้าได้” 

 

 

“เป็นเพราะข้าอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“ลองบอกว่าไม่ใช่ดูสิ เพียงแค่เห็นไอ้พวกที่ทำมาเป็นพูดว่าจะดูแลพระราชบัญชาเฮงซวย ที่ไหนได้กลับฆ่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง ข้าก็โกรธจนกัดฟันกรอดแล้ว” 

 

 

ฮอนกุมขมับและถอนหายใจออกมายาวเหยียด แน่นอนว่าคำพูดของโฮจินนั้นแรงจนเกินขอบเขต แต่เดาว่าพวกคำพูดที่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองน่าจะรุนแรงกว่าเขามาก ความมีเกียรติของราชวงศ์ที่สูญเสียตั้งแต่พระราชา พระมเหสี นางสนม ไปจนถึงองค์ชายร่วงหล่นลงพื้นเหมือนกับหนังสือภวายฎีกาพวกนั้นเช่นกัน 

 

 

“ฝ่าบาท ท่านหมอหลวงมารอพระบัญชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ให้เขาเข้ามา” 

 

 

หมอหลวงเข้ามาในห้องทรงงาน แล้วจึงโค้งคำนับด้วยกิริยาสุภาพนอบน้อมผิดกับโฮจินโดยสิ้นเชิง 

 

 

“ฝ่าบาทเรียกกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เตรียมยาสมุนไพรที่ดีต่อคนท้องและตามเจ้ากรมกลาโหมไปซะ และห้ามหลุดปากออกมาเด็ดขาดว่าเจ้าไปที่ไหนและเห็นอะไรบ้าง เข้าใจหรือไม่” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 

 

 

ยาสมุนไพรที่ดีต่อคนท้องอย่างนั้นหรือ หรือว่าฝ่าบาทจะทรงมีสตรีที่ซุกซ่อนไว้อยู่ หมอหลวงคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีนางสนมเข้ามาอีกหนึ่งคนสินะ ซึ่งมันคือความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิง ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาตระเตรียมยาสมุนไพรและกล่องเข็มที่ใช้ฝังเข็มได้อย่างหวุดหวิด และต้องนั่งบนหลังม้าไปโดยที่ตัวติดกับแผ่นหลังของเจ้ากรมกลาโหม 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“มินอา ดูนี่สิ” 

 

 

รยูฮาเด็ดดอกไม้มาเต็มอ้อมแขนแล้วเข้ามาในห้อง มินอาที่กำลังนั่งลูบคลำอะไรบางอย่างบนเตียงสะดุ้งตกใจและซ่อนมันไว้ข้างหลัง 

 

 

“ช่วยส่งเสียงก่อนเข้ามาด้วยสิเพคะ!” 

 

 

“โอ๊ะ นั่นมันอะไรหรือ อะไรน่ะ” 

 

 

หลังจากกินยาสมุนไพรสามครั้งต่อวันอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ขยับเขยื้อน มินอาก็ลุกขึ้นมานั่งได้ภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ หมอหลวงจึงนั่งเกี้ยวที่ฮอนส่งมากลับเข้าวังไป แต่รยูฮาบอกว่าถ้าไม่ได้กลับพร้อมกันกับมินอาก็จะยังไม่กลับไปเด็ดขาดและดื้อดึงที่จะอยู่หัวเมืองต่อ จึงเป็นหน้าที่ของโฮจินที่ต้องรีบจัดการหาบ้านว่างๆ ในหมู่บ้านเศรษฐี ส่วนรยูฮาก็ยอมลำบากต้มยาสมุนไพรให้มินอากินด้วยตัวเอง 

 

 

“ไม่มีอะไรเพคะ” 

 

 

“เจ้ากำลังซ่อนอะไรบางอย่าง…จากข้าสินะ” 

 

 

รยูฮาทำหน้าเศร้าในทันที จากนั้นจึงวางแจกันดอกไม้และตกแต่งดอกไม้ที่เอามาพร้อมกับบ่นพึมพำว่า ข้าอุตส่าห์ขึ้นไปเด็ดดอกไม้พวกนี้ที่ภูเขาด้านหลังเพื่อที่จะให้เจ้าดูนะ ซึ่งเป็นตอนที่มินอาดูอ่อนแอที่สุด 

 

 

“อย่าตรัสเช่นนั้นสิเพคะ” 

 

 

“ไม่ ถ้าเจ้าไม่ชอบ…ก็ช่วยไม่ได้ ข้าออกไปข้างนอกดีกว่า คิดถึงจังเลยเพคะ ฝ่าบาท…” 

 

 

“เฮ้อ จริงๆ เลย” 

 

 

มินอาทำหน้าบูดเบี้ยวและเอาของที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา ความกังวลจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรยูฮาที่รีบฉวยสิ่งนั้นมากางออกอย่างรวดเร็ว นี่มัน… 

 

 

“เจ้ากำลังฝึกเย็บผ้าอยู่หรือ ทำไม…?” 

 

 

“ไม่ได้ฝึกเพคะ” 

 

 

มินอาลูบหน้าหนึ่งทีก่อนจะแย่งมันคืนมาจากรยูฮา จึงเกิดการทะเลาะกันระหว่างรยูฮาที่ไม่ให้แย่งคืนกับมินอาที่พยายามจะแย่งคืนมาให้ได้ขึ้น และสุดท้าย… 

 

 

แคว้ก! 

 

 

“โอ๊ะ…?” 

 

 

รยูฮากำชิ้นผ้าที่ฉีกขาดไว้ในมือและมองมือตัวเองสลับกับมินอาด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตาของมินอาที่สบกับสายตาของนางคลอไปด้วยน้ำตา นางผู้ซึ่งไม่เคยน้ำตาไหลออกมาสักหยดถึงแม้จะถูกดาบแทง ช่วงนี้กลับกลายเป็นว่าร้องไห้บ่อยครั้ง ถ้าให้พูดจริงๆ ก็คือนางร้องไห้บ่อยยิ่งกว่ายอนฮวาเสียอีก 

 

 

“ไม่ คือข้า ไม่ได้ตั้งใจ…” 

 

 

“ออกไปเพคะ!” 

 

 

หลังจากถูกไล่ตะเพิดออกมาข้างนอก รยูฮาจึงต้องออกมาเตะก้อนหินตรงนอกชานอย่างช่วยไม่ได้ ผ้านั่นมันอะไรกัน ถ้าไม่ใช่คนท้องคงผัวะไปแล้ว นางบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่เกิดมาเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลมหาเสนาบดีและเติบโตมาจนได้ขึ้นเป็นพระมเหสี นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่ได้รับการปฏิบัติที่แย่ 

 

 

“นายหญิง มาทำอะไรตรงนี้เจ้าคะ” 

 

 

โซยูถืออาหารว่างที่สั่งให้หญิงรับใช้ในหอนางโลมจัดเตรียมเข้ามาที่สวนหน้าบ้านแล้วทำตาโต ในตอนแรกคิดว่านางเป็นพระมเหสีที่เจ้ายศเจ้าอย่างและหัวสูง แต่หลังจากได้เข้าๆ ออกๆ ที่นี่เป็นเวลาเดือนกว่าก็สบายใจมากขึ้นแล้ว เพราะนางเป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายที่สุดในบรรดาคนที่โซยูรู้จัก 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่จะไปเอาเหล้าสักขวดน่ะ” 

 

 

“พอได้โอกาสแล้วก็ดื่มแต่เหล้าแทนข้าวเลยนะขอรับ” 

 

 

โฮจินพูดจากระแหนะกระแหน ในขณะที่เหวี่ยงดาบไปมาท่ามกลางหุ่นไล่กา 

 

 

“กลับบ้านไปก็กินไม่ได้แล้ว ก็ต้องกินที่นี่ให้หนำใจสิ” 

 

 

โซยูไม่สนใจทั้งสองคนที่เริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง แล้วถือโต๊ะสำรับเข้าไปในห้อง แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็ออกมาข้างนอกด้วยสีหน้าลำบากใจอย่างยิ่ง ก่อนจะค่อยๆ โค้งให้รยูฮา 

 

 

“คือว่า ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้าค่ะ นายหญิง” 

 

 

ซุบซิบๆ โฮจินเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาจึงเดินมาข้างๆ และเงี่ยหูฟัง แต่ดันถูกรยูฮาถีบออกไปไกลๆ ก่อนที่จะจับใจความได้ พอโซยูพูดจบ รยูฮาก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับโซยู รยูฮาจมอยู่กับความคิดด้วยสีหน้าตึงเครียด จากนั้นก็บอกว่าจะออกไปข้างนอกสักพักและหายตัวออกไปข้างนอกด้วยความรีบเร่งโดยที่ไม่บอกว่าไปไหน 

 

 

“กินข้าวเถอะขอรับ” 

 

 

 

 

 

หลังจากไปตลาดแล้วหอบอะไรบางอย่างกลับมาเต็มอ้อมแขน รยูฮาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกมา นางปฏิเสธสำรับของว่างและเมื่อตะวันคล้อยลง จนในท้ายที่สุดโฮจินไปที่หน้าห้องของนางพร้อมกับเอาอาหารง่ายๆ ไปด้วย แต่นางตอบกลับมาเพียงแค่ให้วางไว้ตรงนั้น เขาจึงบ่นพึมพำและเข้าไปในห้องของมินอา ก่อนจะนั่งพาดขาไว้บนโต๊ะ 

 

 

“ทะเลาะกันรึ” 

 

 

“พูดเรื่องอะไรเจ้าคะ” 

 

 

“ถามว่าเมื่อกี้ทะเลาะกับยัยคนขี้โมโหนั่นมาเหรอ” 

 

 

“พูดอะไรไร้สาระ” 

 

 

มินอาเลิกมองเขาและหันกลับไปดูหนังสือที่กำลังอ่านอยู่อีกครั้ง 

 

 

“ไม่กลับวังหลวงหรือเจ้าคะ” 

 

 

“ยัยขี้โมโหต้องกลับ ข้าจึงจะกลับด้วย” 

 

 

“…ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำงานหรือเจ้าคะ” 

 

 

คำถามอันเฉียบแหลมของมินอาทำให้โฮจินสะดุ้ง เจ้ากรมกลาโหมอย่างนั้นหรือ งานที่ไม่ได้แตะม้า อำนาจทางการทหารหรือดาบใดๆ และต้องพลิกเอกสารไปมาทั้งวันพร้อมกับจัดวางกำลังพลทหาร หรือไม่ก็ตรวจสอบตารางการฝึกกับงบประมาณ เป็นงานที่ไม่มีวันเหมาะกับเขาได้เลย หากส่งเขาไปยังสุดชายแดนที่ซึ่งผู้อื่นคิดว่าเป็นสถานที่เนรเทศและสั่งให้กำจัดพวกคนป่าที่อาจหาญ ตอนนี้เขาก็คงจะได้ท่องไปในสนามรบด้วยความสนุกสนานไปแล้ว 

 

 

“แม่งเอ๊ย นั่นมันไม่ใช่ความผิดข้าเสียหน่อย เพราะว่าพระราชาผู้โง่เขลาใช้คนผิดต่างหาก” 

 

 

“แต่ท่านก็ดูเหมาะสมดีนะ แถมยังมีอำนาจมากขึ้นด้วย ดีจะตายไป” 

 

 

รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากมินอาแวบหนึ่ง เมื่อโฮจินที่ชอบทำอะไรโผงผางพอๆ กับรยูฮาต้องมานั่งในตำแหน่งขุนนาง ท่าทางของเขาที่ทำอะไรไม่ได้จึงดูตลกเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

“อำนาจเหรอ เหลวไหลทั้งเพ จะมีอำนาจอะไรในโลกที่ซื่อสัตย์กว่าดาบอีก” 

 

 

“แต่ก็ต้องขอบคุณข้า ท่านถึงได้วันหยุดนะเจ้าคะ” 

 

 

เพราะว่าเป็นคำพูดของมินอาที่ปกติจะไม่พูดเล่น โฮจินจึงอดยิ้มไม่ได้ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะดีขึ้นแล้วสินะ 

 

 

“พักผ่อนเถอะ ข้าคงจะต้องไปประจันหน้ากับยัยขี้โมโหเสียหน่อย” 

 

 

“ยัยขี้โมโหคนนั้นคงจะไม่ใช่ข้าใช่ไหม”