รยูฮาโผล่พรวดเข้ามาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงและใช้เท้าเตะขาของโฮจินที่พาดไว้บนโต๊ะอย่างแรง แม้ว่าเป็นการโจมตีที่ทำให้ล้มไปข้างหลังได้แน่ๆ แต่เขากระโดดและลงสู่พื้นโดยปลอดภัยได้สำเร็จ 

 

 

“มีข่าวลือว่าพระมเหสีถูกเลือกจากอารมณ์ฉุนเฉียว เป็นความจริงไหมขอรับ” 

 

 

“ความจริงสิ และอยู่ข้างหน้าเจ้าแล้วด้วย” 

 

 

อยู่ดีๆ เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นในห้องของมินอาที่เคยเงียบสงบ เสียงมินอาที่ตะโกนขอให้ทั้งคู่ออกไปให้หมดทำให้การทะเลาะนั้นหยุดชะงักลง โฮจินจึงหายออกไปข้างนอกพลางบ่นพึมพำ ท่าทางของรยูฮาที่ดึงเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงมานั่งและเหลือบมองผ่านๆ ดูมีพิรุธเป็นอย่างมาก มินอาขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับขยับไปชิดผนังมากขึ้นเพื่อเพิ่มระยะห่างกับนาง 

 

 

“อะไรเพคะ” 

 

 

การพูดของมินอาที่ไม่เพราะเหมือนปกติทำให้รยูฮาลังเลนิดหน่อย ในไม่ช้านางก็ยกมุมปากได้รูปขึ้นและหยีตาราวกับจันทร์เสี้ยว สิ่งที่ทั้งพ่อ พี่ชายทั้งสามคนและฮอนต้องการจากนางคือรอยยิ้มที่น่ารักน่าเอ็นดู 

 

 

“ข้าขอโทษ” 

 

 

“ทรงขอโทษผู้อื่นนอกจากฝ่าบาทไม่ได้นะเพคะ” 

 

 

ไม่ได้ผลจริงๆ ด้วย แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างก็ถูกยื่นมาตรงหน้ามินอาที่หันหน้ากลับไปมองหนังสือหลังจากตัดบทคำพูดของรยูฮาฉับราวกับมีด 

 

 

“ข้าทำสิ่งนี้ มาให้เจ้า” 

 

 

พอรับมันมากางออกดูจึงเห็นว่ามันคือถุงที่ทำมาจากผ้าไหมสีขาว ถุงเล็กๆ ที่พอใส่นิ้วลงเข้าไปได้สามสี่นิ้วสองอัน และมีอันที่ใหญ่กว่านั้นเล็กน้อยอีกสองอัน มินอาพลิกถุงนั้นไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาแย้มยิ้ม ผู้ที่ไม่เคยจับเข็มมาตลอดชีวิตคงจะรู้สึกไม่สบายใจที่พลาดทำชุดเด็กที่นางทำเมื่อตอนเช้าขาดจึงนั่งทำสิ่งนี้ทั้งวัน 

 

 

“ทรงไม่มี…ฝีมือทางด้านการเย็บผ้าจริงๆ เพคะ” 

 

 

“เจ้าก็เหมือนกันแหละ” 

 

 

มินอาลองใส่นิ้วเข้าไปในถุงอันเล็ก มันคือถุงเท้าและถุงมือสำหรับเด็กที่รยูฮาทำขึ้นมาให้ด้วยความตั้งใจสุดชีวิตโดยที่ไม่กล้าเสี่ยงทำชุด แม้เส้นตะเข็บจะคดเคี้ยวไปมาเหมือนกับเด็กทำเล่นๆ แต่นางก็ตั้งใจทุ่มเททำอย่างมากจนผูกปมแน่นจนเกินไป ความเสียใจเมื่อตอนเช้าหายไปประหนึ่งหิมะละลายและเกิดเป็นรอยยิ้มสดใสบนริมฝีปากของมินอา นางนำของเหล่านั้นไปเก็บใส่ใน**บไม้เล็กๆ ด้วยความทะนุถนอมอย่างยิ่ง แล้วนำตะกร้าที่สานจากต้นไผ่ออกมาจากหัวเตียง 

 

 

“เสวยสิเพคะ ได้ยินว่าไม่ได้เสวยอะไรเลย” 

 

 

มันคือลูกพลับแห้งที่โซยูเอามาให้เมื่อสักครู่นี้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถหาได้ง่ายในช่วงฤดูหนาวแต่หาได้ยากในช่วงฤดูใบไม้ผลิ นางจึงห่อไว้ให้อย่างดีและไม่แม้แต่จะแตะต้องเพื่อรยูฮาผู้ซึ่งชื่นชอบลูกพลับแห้ง รยูฮาหยิบมันเข้าปากในทันทีและป้อนใส่ปากมินอาด้วยหนึ่งชิ้น 

 

 

“ขอบพระทัยเพคะ” 

 

 

“มันเป็นของกินของเจ้าอยู่แล้ว จะขอบใจทำไม” 

 

 

รยูฮาพูดว่ามันเป็นของกินของเจ้าพร้อมกับหยิบลูกพลับแห้งลูกที่สองขึ้นมาค่อยๆ กินทีละเล็กทีละน้อย 

 

 

“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันแค่อยากจะขอบพระทัยสำหรับทุกอย่าง” 

 

 

ส่วนข้าก็คงทำได้แค่เพียงขอโทษเจ้า รยูฮายิ้มหวานและลูบฝ่ามือมินอาเบาๆ แทนคำตอบนั้น 

 

 

“อยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วกลับบ้านกันเถอะนะ ท่านพ่อท่านแม่รอเราอยู่” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“อ๊ากกก!” 

 

 

หลังจากไปปะทะคารมกับเหล่าเสนาบดีตลอดการว่าราชการกลับมา ฮอนก็ล้มตัวลงบนเตียงและใช้เท้าถีบผ้าห่มอย่างแรงโดยลืมความมีเกียรติไปหมดสิ้น กิจการแผ่นดินไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อย ไม่ใช่สิ ถึงมันยาก แต่พอไม่มีรยูฮาจึงรู้สึกเหมือนใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกที ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างไล่พวกนางในที่กระวนกระวายใจให้ออกไปห่างๆ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย 

 

 

“เจ้า ไปรับตัวพระมเหสีมา” 

 

 

“ฝ่าบาท ข้าน้อยมิบังอาจ…” 

 

 

คำสั่งที่เป็นไปไม่ได้ทำให้จูฮวานรีบโน้มศีรษะลงไปราวกับจะมุดเข้าไปในพื้น จะให้ตนเองออกห่างจากข้างกายของฝ่าบาทได้อย่างไร 

 

 

“ไอ้ขันทีคนนี้นี่ ไม่ได้เรื่อง!” 

 

 

หมอนที่ฮอนหยิบขึ้นมาโยนใส่หัวไหล่ของจูฮวานที่ไม่มีความผิดใดๆ กลิ้งลงไปบนพื้น เขาหยิบมันขึ้นมาด้วยความสงสารและกอดมันไว้ในอ้อมอก เพราะว่ามันเป็นสิ่งของของพระราชา จึงไม่สามารถปล่อยให้หมอนกลิ้งไปมาบนพื้นเหมือนพู่กันแท่งหนึ่งได้ ฮอนถอนหายใจอย่างแรง มองกำแพงและพลิกตัวไปมา เขาเริ่มอยากโยนตำแหน่งกษัตริย์ทิ้งและหนีไปที่ไหนสักแห่งอย่างจริงจัง ฮอนที่เสียสติคิดไปถึงจุดนั้น จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นและมองจูฮวานที่กอดหมอนไว้ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา 

 

 

“ถ้าเจ้าไปไม่ได้ งั้นข้าก็คงต้องไปเองสินะ” 

 

 

“ตรัสว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

สีหน้าของจูฮวานที่ถามกลับด้วยความงุนงงพลันซีดเผือดภายในช่วงเวลาอันสั้น ฮอนถอดชุดนอนของตัวเองออกให้เขาใส่แทน จากนั้นรีบเปลี่ยนเป็นชุดลำลองและออกไปจากวังทันที เขาเหนื่อยที่ต้องทะเลาะถกเถียงกันกับพวกเสนาบดีทุกวัน แถมพอกลับมาแล้วรยูฮาก็ไม่อยู่อีก อย่างไรก็รู้ที่อยู่อยู่แล้วจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องลังเลอีกต่อไป 

 

 

“ฝ่าบาท อย่างน้อยก็ทรงตรัสกับกระหม่อมหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ว่าเสด็จไปที่ใด!” 

 

 

ไม่ได้มีเพียงแต่ขันทีผู้น่าสงสารเท่านั้นที่ร้อนรน บรรดาทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่เฝ้าตำหนักบรรทมของพระราชาอย่างแน่นหนาก็ขี่ม้าไล่ตามหลังเขาไปโดยไม่ทันได้เตรียมอะไรในสถานการณ์ที่กะทันหันนี้เช่นกัน ในตอนแรกที่พูดขึ้นมาก็นึกว่าจะแอบออกไป แต่เขากลับวิ่งผ่ากลางเมืองหลวงโดยไม่สนใจสิ่งใดเลย 

 

 

ฮอนยังคงขี่ม้าต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่พักสักนิด หากม้าหมดแรงก็เปลี่ยนไปขี่ม้าตัวอื่นแทน และไม่ว่าเหล่าทหารองครักษ์ที่ตามมาข้างหลังจะห้ามปรามเท่าไหร่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับไปที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้ผู้ใดสงสัย อย่างที่เขาว่ากันว่าหากหางยาวก็ย่อมถูกเหยียบอยู่แล้วเป็นธรรมดา คณะของพระราชาสามารถเดินทางมาถึงภายในไม่ถึงครึ่งวัน ในระยะทางที่แม้จะรีบขนาดไหนก็ต้องใช้เวลาสามวันเต็มๆ ก็ตาม 

 

 

“ตรงนั้น เปิดประตูซะ” 

 

 

ฮอนมาถึงด้านหน้าหอนางโลมและพยักพเยิดหน้าให้หัวหน้าทหารองครักษ์ลงจากม้าไปเคาะประตู เนื่องจากเป็นตอนที่ตะวันยังโด่งอยู่ เหล่านางบำเรอจึงน่าจะยังนอนหลับกันอยู่ ทว่ามีสตรีนางหนึ่งกอดตะกร้าไว้ในอ้อมแขนออกมาข้างนอกและโค้งคำนับให้ ผิดกับการคาดการณ์ของเขา 

 

 

“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดเจ้าค่ะ” 

 

 

ท่าทางสุภาพเรียบร้อย ขัดกับการพูดจาอันแข็งกระด้าง โซยูทิ้งคำพูดไว้เท่านั้นก่อนจะเดินผ่านด้านข้างของหัวหน้าทหารองครักษ์ไปอย่างเย็นชา แต่จู่ๆ ฮอนที่ยืนปิดบังใบหน้าของตัวเองอยู่ด้านหลังก็รู้สึกคุ้นหน้านางขึ้นมาจึงเข้าไปขวางข้างหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 

 

 

“เป็นคนที่เคยเห็นบ่อยๆ นี่เอง” 

 

 

นางตั้งใจจะนำของว่างที่ถืออยู่ในอ้อมแขนไปถวายให้พระมเหสีก่อนจะเย็นชืด แต่ดันถูกชายแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้มาขวางทางข้างหน้าจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ภายในดวงตาของโซยูที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความไม่พอใจนั้นมีความสงสัยปนเปอยู่ด้วย แต่แล้วนางก็ต้องเบิกตาโพลงในทันที 

 

 

“ฝะ ฝ่าบาท…!” 

 

 

“ชู่ว” 

 

 

ฮอนเอานิ้วชี้ไปแตะตรงริมฝีปากโซยู ก่อนจะกางพัดออกมาปิดบังใบหน้าอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่มีใครจำได้ แต่ไม่ให้ผู้ใดเห็นก็น่าจะดีกว่า 

 

 

“ได้ยินว่าภรรยากับน้องสะใภ้ของข้ามาที่นี่” 

 

 

“ตะ ตอนนี้หม่อมฉันกำลังจะไปที่นั่นพอดีเลยเพคะ ตามหม่อมฉันมาทางนี้เพคะ” 

 

 

สายตามากมายชำเลืองมองประหนึ่งประหลาดใจกับภาพที่เหล่าผู้ชายซึ่งปิดหน้าปิดตากันทุกคนเดินตามหลังโซยูต้อยๆ ก่อนจะจ้องมองด้านหลังของพวกเขา อย่างไรก็ตามฮอนที่กำลังตื่นเต้นที่จะได้เจอกับรยูฮาในอีกไม่ช้าก็พยายามทำให้จิตใจอันร้อนรุ่มสงบลง และในตอนที่เข้าประตูใหญ่มานั้นเอง 

 

 

“เจ้าคือใคร” 

 

 

คมมีดอันเย็นเฉียบจ่อเข้ามาใต้คอของเขา ในเวลาเดียวกันนั้นดาบของพวกทหารก็ถูกชักออกมาและเล็งไปที่เจ้าของดาบนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้โซยูมีสีหน้าซีดเผือด 

 

 

“ข้าเอง” 

 

 

ฮอนขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอาพัดออกไป ส่วนโฮจินก็เก็บดาบลงและยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับโค้งคำนับให้ คล้ายกับถามว่าข้าเล็งดาบมาเมื่อไหร่กัน 

 

 

“อ๋อ กระหม่อมไม่รู้น่ะพ่ะย่ะค่ะ มาได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ไอ้หมอนี่ เห็นได้ชัดว่าเขาชักดาบออกมาทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใคร ฮอนมั่นใจเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้ จึงไม่พูดอะไรต่อและใช้นิ้วสั่งให้ทหารเก็บดาบ เรื่องสำคัญไม่ใช่โฮจิน แต่แล้วเสียงของรยูฮาที่ถีบประตูออกมาข้างนอกอย่างแรงก็ดึงกึกก้องไปทั่วลานหน้าบ้าน ราวกับอ่านใจของเขาออก 

 

 

“เสียงดังเอะอะอะไรกัน โอ๊ะ?”