ใบหน้าที่กำลังตกใจซบอยู่กับหน้าอกกว้าง กลิ่นกายหอมหวานถูกส่งออกมาจากเส้นผมที่ปล่อยลงด้านล่างไร้การตกแต่งใดๆ ถึงแม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะพัง แต่กลิ่นกายของรยูฮาก็ทำให้เขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง 

 

 

“เสด็จมาถึงที่นี่ได้อย่างไรเพคะ” 

 

 

“ข้าคิดถึงพระมเหสีจนทนไม่ไหวน่ะ” 

 

 

“ทรงปรับกำหนดการอย่างเป็นทางการแล้วหรือเพคะ” 

 

 

“อ้า ขอร้องล่ะ เรื่องนั้นไว้คุยทีหลังเถอะ” 

 

 

ฮอนทำเสียงงอแงและผ่อนแรงที่แขน แต่มือที่โอบไหล่ของรยูฮาอยู่ก็ยังคงไม่เอาลง โฮจินทำท่าเหมือนจะอาเจียนและเดินหายออกไปไกล ส่วนพวกทหารองครักษ์ก็ยังคงโค้งคำนับและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา 

 

 

“มินอาล่ะ” 

 

 

“อยู่ในห้องเพคะ” 

 

 

“ข้า…ไปหาได้หรือไม่” 

 

 

คำถามที่ระแวดระวังทำให้รยูฮาย่นหน้าผากเล็กน้อยด้วยความลังเล เพราะในตอนที่ฮอนไม่รู้สึกตัว นางเองก็ไม่อยากเจอชานเป็นที่สุด ทั้งที่ก่อนจะรู้ความจริงว่าชานเอายาพิษให้ฮอนกินเสียอีกด้วยซ้ำ 

 

 

“ขอหม่อมฉันไปถามดูก่อนนะเพคะ โซยู ช่วยพาสามีของข้าและผู้ติดตามเข้าไปข้างในด้วย แล้วนำอะไรเย็นๆ ให้พวกเขาดื่ม รวมถึงบอกให้แม่ครัวเตรียมสำรับอาหารไวๆ ด้วย” 

 

 

“เจ้าค่ะ นายหญิง” 

 

 

ฮอนเดินเข้าไปด้านในตามการนำทางของโซยู โดยไม่สามารถละสายตาออกจากรยูฮาได้เลย แต่แล้วนางก็หายตัวไปหามินอาอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางที่มินอาซึ่งมีประสาทสัมผัสว่องไวกว่าตนเองจะไม่สังเกตเห็นความโกลาหลวุ่นวาย แต่นางคงจะคิดว่ามันไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีนักจึงไม่ออกมา หลังจากยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องสักพัก สุดท้ายรยูฮาก็ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปข้างใน 

 

 

“มินอา” 

 

 

“เพคะ” 

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จมาแต่…หากเจ้าไม่อยากพบก็ไม่เป็นไรนะ” 

 

 

แม้ความกังวลของรยูฮาจะดูน่าอาย แต่ก็ได้รับคำตอบที่สงบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันยังขยับตัวได้ลำบาก เพราะฉะนั้นช่วยพาฝ่าบาทมาที่นี่ได้ไหมเพคะ” 

 

 

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” 

 

 

“เพคะ ฝ่าบาททรงเป็นเสด็จอาของเด็กคนนี้ไม่ใช่หรือเพคะ” 

 

 

หากสูญเสียฮอนไป เราจะสามารถอดทนและเข้มแข็งได้เหมือนกับมินอาไหมนะ รยูฮารู้สึกประหลาดใจ เห็นใจ และสงสารไปพร้อมๆ กัน แล้วควานหาอะไรบางอย่างในโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบหวีและเครื่องประทินผิวออกมา 

 

 

“เดี๋ยวหม่อมฉันทำเองเพคะ” 

 

 

“แต่ข้าอยากทำให้” 

 

 

มือรวบเส้นผมที่ปล่อยยาวลงด้านล่างไว้เป็นช่อเดียวก่อนจะหวีขึ้นอย่างพิถีพิถัน จากนั้นรยูฮาก็ยึดเส้นผมที่ถูกเกล้าขึ้นด้วยปิ่นปักผมเรียบๆ และปิดท้ายด้วยการตบเครื่องประทินผิวบนใบหน้าของมินเอาเบาๆ ก่อนจะนำชุดใหม่ออกมาให้เปลี่ยน 

 

 

“เปลี่ยนชุดนะ เดี๋ยวข้าจะไปพาฝ่าบาทมา” 

 

 

รยูฮาออกมาพลางจัดผมตัวเองหนึ่งทีและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พระราชาคงจะโยนงานกิจการแผ่นดินทิ้งและหนีออกมาอย่างแน่นอน ต้องตำหนิอย่างเจ็บแสบกลับไปเสียหน่อย แต่ริมฝีปากกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวและเอาแต่อมยิ้มอยู่เรื่อย นางยืนอยู่ตรงนั้นสักพักพร้อมกับคิดว่าควรจะต้องปรับสีหน้าสักหน่อย จากนั้นจึงตรงไปยังเรือนด้านในเพื่อไปพาฮอนมา 

 

 

“หม่อมฉันจะพาไปตรงนู้นเพคะฝ่าบาท” 

 

 

“เราอยู่ข้างนอกนี่ ทำไมไม่เรียกข้าว่าสามีเล่า” 

 

 

เป็นเพราะริมฝีปากที่เอาแต่อมยิ้ม จึงทำให้ปรับสีหน้าได้อย่างยากลำบาก แต่พอได้ยินสิ่งที่ฮอนพูด นางกลับทำมันได้ดีทีเดียว สีหน้าของรยูฮากลับมาเป็นเหมือนปกติภายในพริบตาเดียวและนำทางฮอนออกไปอย่างมีมารยาทไร้ที่ติ เสียงบ่นเบาๆ ตรงเข้าหาฮอนที่กำลังตื่นเต้นไม่ว่านางจะมีสีหน้าแบบใดก็ตาม 

 

 

“ทรงต้องรักษาความมีเกียรติต่อหน้าเหล่าผู้ติดตามด้วยสิเพคะฝ่าบาท” 

 

 

“จะบอกว่าไม่น่ารักงั้นหรือ” 

 

 

“ฝ่าบาท” 

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว พระมเหสี” 

 

 

ตบหัวของฮอนที่พูดเน้นคำว่า ‘พระมเหสี’ อย่างประชดประชันสักทีดีไหมนะ ในระหว่างที่ลังเลอยู่นั้นก็มาถึงเรือนที่มินอาพักอาศัยอยู่ ซึ่งนางเปิดประตูรอทั้งสองคนอยู่แล้ว ฮอนหยุดชะงักไปสักพักเหมือนตั้งสติแล้วจึงเข้าไปข้างใน พร้อมทั้งปิดประตูด้วยตัวเอง นี่เป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่หลังจากพิธีราชาภิเษกที่มีการยึดราชบัลลังก์เกิดขึ้น 

 

 

“ถวายบังคับเพคะ พระราชา” 

 

 

“ทำตัวตามสบายเถอะ” 

 

 

เกิดความเงียบขึ้นพักหนึ่ง คิดว่าน่าจะไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่เลย ใบหน้าที่เหมือนจะไม่คล้ายแต่ก็คล้ายกับชาน เสียงที่ทำให้คิดถึงเขานั้นไม่ดีเลยสักนิด มือที่ลังเลค่อยๆ ลูบหัวของมินอาที่ก้มหน้ากัดปากสักพักอย่างช้าๆ 

 

 

“ขอโทษ ข้าอยากจะพูดคำนี้จริงๆ ข้า…ขอโทษ” 

 

 

ในท้ายที่สุดขอบตาก็เริ่มร้อนผ่าว แต่ยังไม่ร้องไห้ออกมา มินอาหายใจเข้าลึกๆ และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และมองหน้าเค้าโครงของชานบนใบหน้าของฮอนที่จ้องมองนางอยู่ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง ดวงตาที่มากับหางตายาว สันจมูกโด่งเป็นทรง และใบหูที่มีติ่งหูใหญ่เป็นพิเศษ 

 

 

“หม่อมฉันมีเรื่องจะขอร้องเพคะ” 

 

 

“ว่ามาเลย” 

 

 

“ขอหม่อมฉันลองจับพระพักตร์หน่อยได้ไหมเพคะ” 

 

 

ฮอนเลื่อนตัวไปข้างหน้ามินอาเล็กน้อยแทนคำตอบ มินอาค่อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบบนสันจมูกหนึ่งทีและสัมผัสติ่งหูอย่างระมัดระวัง จากนั้นวางมือลงบนแก้มเพื่อสัมผัสไออุ่นเป็นอย่างสุดท้าย เส้นเลือด ไออุ่น และสีของดวงตาที่เหมือนกับชาน ชานมีชิวิตอยู่ข้างในนี้ มินอาเอามือออกและค่อยๆ โค้งศีรษะคำนับ 

 

 

“เสร็จแล้วหรือ” 

 

 

“เพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

เมื่อดวงตามินอาที่สั่นไหวจนน่าสงสารกลับมาสงบเหมือนเดิมอีกครั้ง รยูฮาจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งใจ แม้ว่าทุกคนต่างบอกว่านางกับมินอาคล้ายคลึงกัน แต่รยูฮารู้ว่าพวกนางสองคนไม่เหมือนกันสักนิดเดียว มินอาจะต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าอายุเพื่อนางที่มักจะเหยียดหยามคนอื่นด้วยความสะเพร่าบ่อยครั้ง ดังนั้นนางจึงรู้สึกขอโทษและสงสารยิ่งขึ้นกว่าเดิม 

 

 

“คลอดตอนไหนรึ” 

 

 

“ตอนนี้เพิ่งจะเกินสามเดือนมานิดหน่อย ดังนั้นคาดว่าน่าจะประมาณช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงเพคะ” 

 

 

“ฤดูใบไม้ร่วงอย่างนั้นหรือ…” 

 

 

ฮอนลองนับนิ้วคำนวณเดือนที่เหลือและคิดหาแผนที่พอจะเคลื่อนไหวพวกเสนาบดีได้ ยังพอมีเวลา ถึงแม้ว่าจะต้องกำจัดออกไปจากท้องพระโรงที่โหรงเหรงอยู่แล้วอีกจำนวนหนึ่งก็ตาม แต่อย่างไรเสียก็ต้องคืนตำแหน่งมาให้ชานให้จงได้  

 

 

“งั้นก็คงจะต้องเปลี่ยนสถานภาพของเจ้าไปก่อน และข้าจะจัดเตรียมที่พักอาศัยไว้ให้ในที่ที่เจ้าต้องการ หากอยากกลับเข้ามาที่วังก็เข้ามาได้เลย” 

 

 

ที่ที่เจ้าต้องการ จู่ๆ มินอาก็นึกถึงเสียงที่รยูฮากระซิบบอกว่าอยู่ที่นี่อีกสักพักแล้วกลับบ้านกันเถอะขึ้นมา และนึกถึงแขนของท่านมหาเสนาบดีที่รับตัวนางไว้ได้ทันก่อนที่นางจะล้มลงในตอนที่หมดสติระหว่างทางไปฝังร่างของชานขึ้นมา รวมถึงมือของนายหญิงตระกูลจองที่คอยเช็ดหน้าผากให้อย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะทำให้ตื่น พวกเขาเป็นทั้งครอบครัวและบ้านของนาง 

 

 

“หม่อมฉันไม่อยากไปที่วังหลวงเพคะ ให้หม่อมฉันอยู่ที่บ้านของตระกูลซอเถิดเพคะ” 

 

 

“ตกลง” 

 

 

มินอามักจะไม่มีสิ่งที่ปรารถนา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางขอร้องฮอนเช่นกัน ฮอนถามอีกหลายต่อหลายรอบว่าไม่อยากได้อย่างอื่นแล้วหรือ ก่อนจะออกจากห้องมินอาไปหลังจากได้ยินคำตอบว่าไม่มีสิ่งที่ต้องการแล้วหลายรอบเช่นกัน 

 

 

และในช่วงหัวค่ำวันเดียวกันนั้น 

 

 

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 

 

 

“ลดเสียงลงหน่อยสิ! ทำไมจะไม่ได้กันเล่า” 

 

 

พระอาทิตย์ยามอัสดงค่อยๆ คล้อยต่ำลงและแสงสีส้มก็กลืนกินลานหน้าเรือน แต่ข้างหน้าห้องของรยูฮายังห่างไกลกับคำว่าสงบยิ่งนัก เนื่องจากสงครามประสาทที่ยังไม่สิ้นสุดระหว่างฮอนที่สั่งให้ออกไปไกลๆ เสียทีเพราะไม่จำเป็นต้องเฝ้าแล้วกับเหล่าทหารองครักษ์ที่บอกว่าไม่ได้เด็ดขาด 

 

 

“นี่คือคำสั่ง พวกเจ้าจะขัดคำสั่งข้างั้นรึ! ไปให้พ้นๆ เสียทีเถอะ!” 

 

 

“ทรงฆ่ากระหม่อมเสียเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“แล้วข้าจะไปฆ่าพวกเจ้าทำไมกันเล่า!”