เวลาที่เขามีนั้นมีเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น ฮอนจะต้องรีบกลับพระราชวังไปก่อนที่จะถูกพวกเสนาบดีจับได้ แต่เจ้าพวกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี้กลับบอกว่าต้องเข้มงวดเรื่องการคุ้มกันมากกว่าเดิมเพราะออกมาด้านนอกพระราชวัง แถมยังไม่ยอมขยับออกจากหน้าประตูห้องแม้แต่ก้าวเดียวอีกต่างหาก 

 

 

ทำงานได้เต็มที่สมกับค่าจ้างเสียจริง ฮอนนึกชื่นชมในขณะที่รู้สึกหงุดหงิดไปด้วย จากนั้นกุมขมับพร้อมกับนั่งยองๆ 

 

 

“ได้โปรด…ข้าขอร้องล่ะ ตอนนี้พวกเจ้ากำลังตัดเชื้อสายของราชวงศ์อยู่นะ” 

 

 

“เสด็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” 

 

 

“หากเสด็จพระราชดำเนินกลับ! โอ๊ย!” 

 

 

บรรดาทหารองครักษ์คงจะได้กินไม้เรียวแทนข้าวอย่างแน่นอน รยูฮาที่รู้สึกสนุกในตอนแรกเริ่มรับรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ขึ้นทีละนิด แม้ของที่อร่อยจะอยู่ตรงหน้า แต่เพียงแค่เห็นสายตาของเหล่าทหารองครักษ์นางก็กินไม่ลงแล้ว และในขณะที่ทำเช่นนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเช่นกัน สุดท้ายรยูฮาจึงลุกขึ้นไปยืนตรงข้างๆ ฮอนและเริ่มกดดันเหล่าทหารองครักษ์ 

 

 

“ฝ่าบาท ทรงรับสั่งให้เจ้ากรมกลาโหมเป็นผู้เฝ้าประตูด้วยเถิดเพคะ” 

 

 

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ การคุ้มกันฝ่าบาทคือหน้าทีของพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

รยูฮาก้าวออกมาด้วยความไม่พอใจและทอดสายตามองทหารองครักษ์ที่โค้งคำนับจนหน้าแทบจะติดพื้น 

 

 

“ราษฎรทุกคนในแผ่นดินนี้จะต้องเชื่อฟังและสละชีวิตเพื่อปกป้องฝ่าบาทผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ ที่ข้าพูดผิดไหม” 

 

 

“ตรัสได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่า…” 

 

 

“เขาคือนักดาบมือหนึ่ง และเป็นมือขวาที่ฝ่าบาททรงเลือกด้วยตัวเอง ดังนั้นการไม่เชื่อใจเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่ไว้วางใจฝ่าบาท” 

 

 

เหล่าทหารที่ไม่ขยับไปไหนแม้จะได้ยินพระราชบัญชากลับเชื่อฟังและทำตามคำพูดของรยูฮา นางทาอะไรไว้บนลิ้นหรือไม่นะ ถึงได้พูดเก่งเช่นนี้ ในระหว่างที่ฮอนรู้สึกประทับใจอยู่นั้น เหล่าทหารองครักษ์ก็ค่อยๆ ออกไปข้างนอกและไปออกันอยู่ที่ลานหน้าเรือน แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้เรียกโฮจินมา พวกเขาทำแค่เพียงปิดประตูและมุดเข้าไปในเตียง 

 

 

“ข้าคิดถึงเจ้ามาจนกินข้าวไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ…” 

 

 

“โธ่ๆ ฮอนของพวกเราเป็นถึงขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ” 

 

 

แม้กระทั่งระหว่างที่พูด ริมฝีปากทั้งสองก็ดูดดึงกันและกันไม่ปล่อยแม้แต่วินาทีเดียว มือของฮอนขยับเขยื้อนด้วยความรีบร้อนท่ามกลางคำหวาน สัมผัสนี้ กลิ่นนี้ เสียงนี้ ใช่แล้ว เขาวิ่งมาถึงที่นี่โดยไม่ได้หลับได้นอนเพื่อสิ่งเหล่านี้ ส่วนความเหน็ดเหนื่อยนั้นบินออกไปไกลตั้งนานแล้ว 

 

 

“พอไม่มีเจ้า พระราชวังก็ว่างเปล่า” 

 

 

“ข้าก็เหมือนกัน พอไม่ได้เห็นใบหน้าอันงดงามนี้ก็ไม่มีความสุขเลย” 

 

 

เมื่อรยูฮาตอบโต้กลับด้วยคำพูดสั้นๆ ฮอนที่กำลังขบเม้มริมฝีปากล่างของนางเบาๆ ก็หลุดหัวเราะออกมา ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดีนะ 

 

 

“อ้า ไม่ได้การแล้ว พูดจาสุภาพหน่อยเถิดพระมเหสี” 

 

 

“ทำไมเล่า ข้าเป็นพี่สาวนี่นา” 

 

 

รยูฮาลงท้ายคำอย่างน่ารักน่าเอ็นดูพร้อมกับขบเม้มติ่งหูฮอนเบาๆ เสียงและสัมผัส ความเจ็บแสบและความรู้สึกขนลุกต่างถาโถมเข้ามาพร้อมกันทีเดียว จนฮอนครางออกมาเบาๆ 

 

 

“ข้าจะบ้าแล้วจริงๆ นะ” 

 

 

ริมฝีปากที่รุ่มร้อนด้วยความปรารถนาประทับรอยแดงบนผิวขาวเป็นจุดๆ ราวกับเป็นสัญลักษณ์ว่านี่คืออาณาเขตของข้า รยูฮาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พลางดิ้นไปมาเพราะจั๊กจี้ ใครๆ ก็รู้ว่าทำไมนางถึงดิ้นไปมาเหมือนลูกแมวเบบนั้น ทั้งที่ถ้าไม่ชอบก็หักแขนหรือผลักออกก็ได้ แต่มีแค่ฮอนที่ไม่เข้าใจ 

 

 

“อยู่นิ่งๆ หน่อยสิ” 

 

 

รยูฮายกมือขึ้นมาลูบต้นแขนที่กดตัวเองลงแบบไม่ให้เจ็บ แขนที่เคยผอมแห้งในช่วงที่นอนอยู่เฉยๆ อย่างเดียวเริ่มมีมัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนร่างกายอยู่เป็นประจำไม่ขาดแม้งานราชการจะยุ่งก็ตาม เขาเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี ขยันและงานยุ่ง ซึ่งผู้ชายที่มีเสน่ห์ที่สุดในหนังสือนิยายพื้นบ้านมากมายที่รยูฮาอ่านก็คือผู้ชายแบบนั้นนั่นเอง ฮอนหลับตารับสัมผัสของนางและหายใจออกมาด้วยความกระวนกระวายใจ จากนั้นดึงรยูฮาเข้ามากอดไว้แน่นพร้อมกับสอดเข้าไปลึก ฮ้า ลมหายใจยาวของรยูฮายั่วยวนยิ่งกว่าเสียงออดอ้อนของสตรีใดๆ 

 

 

“ดีมากเลย” 

 

 

ฮอนหยุดการกระทำสักครู่และกระซิบอย่างอ่อนหวานข้างหูรยูฮา 

 

 

“อยู่อีกวันแล้วค่อยไปไม่ได้หรือ” 

 

 

“ไม่ได้เพคะ หากทรงจัดการเรื่องคืนตำแหน่งของอดีตองค์ชายเรียบร้อยแล้ว หม่อมฉันจะกลับไปทันทีเพคะ” 

 

 

เอวที่ถอนออกมาได้โดยง่ายขยับขึ้นลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างเสียดาย พอบังเอิญเจอกับโฮจินที่เดินผ่านลานหน้าเรือนไป เหล่าทหารองครักษ์จึงรู้ตัวว่าโดนหลอกและไปรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าประตูอีกครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ต้องใช้เวลายามค่ำคืนไปกับการจ้องมองฉากนั้นอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ดูแลสุขภาพ ดูแลหลานของพวกเรา แล้วก็คิดถึงข้าให้มากๆ และส่งข้อความ…” 

 

 

“เข้าใจแล้ว รีบเสด็จไปเถอะเพคะ ผู้ติดตามรออยู่ไม่ใช่หรือเพคะ” 

 

 

ไม่รู้ว่านางรู้ถึงความเศร้าโศกของฮอนไหม รยูฮาจึงทำตัวเย็นชาผิดกับเมื่อคืน ฮอนมองดูเหล่าทหารองครักษ์ที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังนาง ก่อนจะทำตัวเคร่งขรึมพร้อมกับกำชับเป็นครั้งสุดท้าย 

 

 

“พวกเจ้า จงดูแลพระมเหสีให้ดี ห้ามละเลยแม้แต่นิดเดียว” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 

 

 

ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องไปจริงๆ แล้ว ฮอนก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อขึ้นไปบนหลังม้า แต่เขาก็ทำไม่ได้และหันหลังกลับไปสวมกอดรยูฮา ถึงแม้จะปฏิเสธที่จะอาบน้ำเพราะไม่อยากชำระล้างกลิ่นหอมของรยูฮาที่ติดอยู่ทั่วตัวออกไป แต่เขาก็มีกลิ่นที่สดชื่นและละมุนอยู่เสมอ ซึ่งเป็นกลิ่นที่เหมาะกับพระราชาเป็นอย่างมาก 

 

 

“ข้าไม่น่ามาเลย พอได้เจอแล้วคิดถึงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก” 

 

 

“หม่อมฉันจะกลับไปในอีกไม่ช้าเพคะ อีกหนึ่งเดือนก็จะเข้าสู่ระยะปลอดภัยแล้ว ในตอนนั้นโปรดส่งเกี้ยวมาด้วยเพคะ ขออันที่ดีมากๆ เลยนะเพคะ” 

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะส่งเกี้ยวของข้ามาให้เลย” 

 

 

“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเพคะ” 

 

 

คำตอบที่ล้ำหน้าไปหนึ่งก้าวเสมอไม่ว่าจะขออะไรทำให้รยูฮายิ้มกว้างอย่างสดใส ริมฝีปากที่แย้มยิ้มนั้นน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนอดใจไม่ไหวที่จะสัมผัสและดูดกลืนลงไปอีกรอบ เหล่าทหารองครักษ์จึงก้มหน้าลงด้วยสีหน้าตกตะลึง ส่วนโฮจินก็ทำท่าจะอาเจียนอีกครั้ง 

 

 

หลังจากการบอกลาอันแสนยาวนานสิ้นสุดลง ในที่สุดฮอนก็ออกเดินทางมุ่งตรงไปยังพระราชวังโดยมีเพียงทหารองครักษ์แค่ห้านายเท่านั้นที่ประกบทั้งสองข้างตามหลังมา ต่างกับตอนที่เดินทางมา ส่วนอีกห้านายที่เหลือจะต้องอยู่ที่นี่ หลังจากได้รับพระราชบัญชาให้คุ้มกันพระมเหสี 

 

 

รยูฮาไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าทำไมถึงต้องให้ทหารมาคุ้มกันบ้านที่มีทั้งนาง โฮจินและมินอาอยู่ด้วย แต่ก็คิดขึ้นเองว่ามันน่าจะเป็นการแสดงความรักของฮอน แม้ว่าจะเป็นความคิดที่ไร้สาระก็ตาม 

 

 

“พวกเจ้าคงจะเหนื่อยกันมามากสินะ” 

 

 

“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี!” 

 

 

“เลิกเรียกข้าว่าพระมเหสีเถอะ เรียกว่านายหญิงก็พอ” 

 

 

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“นี่คือคำสั่ง” 

 

 

ไม่มีสิ่งใดที่สะดวกสบายเท่ากับคำสี่คำที่ว่า ‘นี่คือคำสั่ง’ อีกแล้ว เพราะมันทำให้ปากของพวกองครักษ์ที่ตะโกนออกมาว่า ‘ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ’ จนเป็นนิสัยเย็บติดกันได้ 

 

 

รยูฮาพึงพอใจที่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วจัดแบ่งห้องพวกเขาแต่ละคนให้ที่เรือนเล็กและเรือนด้านในก่อนจะไปหาโซยู เนื่องจากมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นและที่นี่ก็มีแม่ครัวแค่คนเดียว จึงเห็นว่าน่าจะมีคนรับใช้เพิ่มอีกสักคนสองคน แต่กลับมีคำพูดที่คาดไม่ถึงออกมาจากปากของโซยูที่วิ่งออกมาด้วยความดีใจ 

 

 

“ข้าจะปรนนิบัติรับใช้เองเจ้าค่ะ นายหญิง ข้าเองก็มีคนใช้อยู่อีกสองคน เพราะงั้นเดี๋ยวข้าจะพาพวกนางมาด้วยกันเจ้าค่ะ” 

 

 

“แต่เจ้าต้องดูแลงานที่หอนางโลมด้วยนี่” 

 

 

“คือว่า…เรื่องนั้น นายหญิง ท่านช่วยรับฟังคำขอของข้าอย่างหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ” 

 

 

เป็นเรื่องที่นางรอโอกาสที่จะได้พูดออกไปอยู่เสมอ นัยน์ตาของโซยูเป็นประกายด้วยความคาดหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมากก่อน 

 

 

“ตกลง ว่ามาสิ” 

 

 

“ช่วยให้ข้าออกมาจากหอนางโลมได้ไหมเจ้าคะ จะให้เป็นชนชั้นต่ำหรือสามัญชนก็ได้เจ้าค่ะ” 

 

 

แค่คำขอเพียงอย่างเดียว แต่พอมองรยูฮา นางก็เอาแต่ทำปากพะงาบๆ ยากที่จะเอ่ยออกไป รยูฮารู้สึกว่าโซยูทั้งใสซื่อและน่ารักมากทีเดียว จึงยิ้มเล็กน้อยและลูบหัวเบาๆ เหมือนกับที่เคยทำกับยอนฮวา 

 

 

“ไปกันเถอะ ตามข้ามา” 

 

 

หากคิดตื้นๆ ว่าเพียงแค่จ่ายเหรียญทองให้เจ้าของหอนางโลมเรื่องก็น่าจะจบ แต่ทว่าทองคำคงจะไม่พอสำหรับนางบำเรอผู้เลื่องชื่อในบริเวณนี้ รยูฮาจึงลากโซยูออกมาและตรงไปยังจวนเจ้าเมือง แทนที่จะไปหาเจ้าของหอนางโลม 

 

 

“ไปเรียกเจ้าเมืองมา”