[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 15 ภารกิจลิ่นเซียงหรู

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นตรงศีรษะซีถงก็เมาแล้ว เมาอย่างหนักมากจนนอนแผ่หลากางแขนกางขาอยู่บนพรมทั้งกรนดังราวฟ้าร้อง นัยน์ตาหลี่ไท่มองทื่อจ้องไปที่ถ้วยสุราตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ หลังจากอวิ๋นเยี่ยค่อยๆดื่มสุราถ้วยสุดท้ายแล้ว ก็สั่งบ่าวไพร่ให้หามซีถงลงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกสักครู่ซุนซือเหมี่ยวจะมาตรวจร่างกายเขา

 

 

“เถียนเซียงจื่อตายแล้ว?” ซุนซือเหมี่ยวเดินออกมาจากร่มไม้ข้างหลังในชุดเต๋าผ้าลินินตามเดิม

 

 

“ใช่แล้ว คราวนี้ตายแน่นอนแท้จริงไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพได้อีก สายของเขาเหลือเพียงแค่สองคนเท่านั้น อาจจะยังมีลูกศิษย์เด็กๆอยู่บ้าง แต่จิตวิญญาณได้สลายหมดสิ้น การที่จะมีผู้รู้ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นมาอีกนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว อาจารย์ การทำลายล้างมนุษย์พิเศษคนหนึ่ง ที่แท้ไม่ได้นำความสุขสดชื่นมาให้แก่ผู้คน คงนำมาได้แค่เพียงความเสียดายเท่านั้น”

 

 

อวิ๋นเยี่ยมองซุนซือเหมี่ยวอย่างรู้สึกไม่สบายใจ การที่ตัวเองมีความคิดย้อนแย้งเช่นนี้ไม่สมควรเป็นสภาพจิตใจของนักวางแผนทางอำนาจ เหล่าซุนเคยบอกไว้แล้วว่าการยืนอยู่ในตำแหน่งไหนก็จะต้องทำหน้าที่ตำแหน่งนั้นให้ดีที่สุด ไม่เกี่ยวกับปัญญาและความสามารถเกี่ยวเพียงแค่ความสูงของจุดที่เจ้ายืน การปรากฏความลังเลเช่นนี้ราวกับมีส่วนละอายที่ไม่ได้ทำตามคำสอนของเขาอยู่บ้าง

 

 

“ส่วนที่เจ้าทำให้คนชื่นชมอยู่ที่ตรงนี้คือยังมองความรู้สึกทางใจสำคัญกว่าสิ่งอื่นอยู่บ้าง การเป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวเพราะเรื่องของเจ้าเจ้าย่อมตัดสินใจเอง ให้เดินไปต่ออย่างมั่นคงโดยไม่ต้องฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น รักษาธาตุแท้ตัวเองก็เพียงพอแล้ว ให้ชาวโลกได้เห็นว่าไม่ต้องเที่ยงตรงจนไม่เห็นแก่หน้าใครหรือใจเ**้ยมมือโหดก็สามารถทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ ถือโอกาสบอกเจ้าว่าสรรพคุณราเขียวไม่เลวมีประโยชน์ต่อการสมานแผลบาดเจ็บได้ดีมาก โดยเฉพาะต่อบาดแผลที่อักเสบแล้วมีสรรพคุณดีมาก เหลือเพียงปัญหาการคัดกรองให้บริสุทธิ์ที่เจ้ายังต้องคิดหาวิธีทำให้ดีขึ้น

 

 

เรื่องที่ข้ามีกล้องจุลทรรศน์ห้ามไปเที่ยวพูดที่ไหนโดยเฉพาะกับฝ่ายพุทธ ข้าสงสัยมากว่าคำพูดพวกเขาที่ว่าหนึ่งทรายหนึ่งโลก หนึ่งดอกหนึ่งสวรรค์นั้นมาจากไหน ทั้งยังว่าในน้ำหนึ่งหยดมีหนึ่งแสนชีวิตนี่ยิ่งทำให้ข้าไม่กล้าเชื่อเลยว่ามาได้อย่างไร คำพูดเหล่านี้เจ้าเคยบอกข้าที่ชั่วฟาง ข้าตรวจดูตำราพุทธแล้วพบว่ามีคำพูดเหล่านี้จริงๆ ข้าพบชีวิตในน้ำหนึ่งหยดจริงๆ ไม่ใช่มีเพียงหนึ่งหรือสองด้วยซ้ำ หากกล้องจุลทรรศน์มีคุณภาพดีกว่านี้ไม่แน่ว่าอาจพบได้มากกว่านี้อีกมาก

 

 

เจ้าต้องลองหาคริสตัลที่บริสุทธิ์กว่านี้ พวกแก้วที่เจ้าทำขึ้นมานั้นใช้ไม่ได้เพราะมีแต่ฟองอากาศ จริงด้วยสิเจ้าทำพวกเครื่องแก้วที่สวยงามน่าดูไว้เพื่ออะไร ข้าเห็นตอนไปหาแก้วเจอว่ามีอยู่เต็มบ้าน ดีที่ข้าไม่ได้สนใจของพวกนี้แต่คนทั่วไปเห็นแล้วคงอยากได้กัน เจ้าวางแผนอะไรอีก เตรียมจัดการใครหรือ”

 

 

ซุนซือเหมี่ยวเวลานี้ไม่อ่านหนังสือฝ่ายเต๋าแล้ว ทำแต่ของเลอะเทอะเปรอะเปื้อนทั้งวัน ราเขียวก็เป็นของชนิดหนึ่งในนั้น มีเมิ่งโหย่วถงคอยช่วยเหลือ มีแต่ของเหล่านี้เต็มบ้าน ทั้งหมั่นโถว แตงหวานและผักต่างๆที่ขึ้นรา ขอเพียงให้เป็นราเขียวแล้วซุนซือเหมี่ยวชอบทั้งนั้น ขูดราเขียวออกแล้วทาที่แผลอักเสบมีสรรพคุณไม่เลว แต่เห็นแล้วน่าสะอิดสะเอียนมาก

 

 

กล้องจุลทรรศน์เป็นของวิเศษสุดของเขา เขาสั่งทำเคาท์เตอร์เหล็กใหญ่โต ทั้งให้กงซูมู่ทำกุญแจล็อคเป็นกุญแจยักษ์ชนิดที่ค้อนเหล็กก็ยังไม่สามารถทุบทำลายได้ แค่กุญแจก็หนักครึ่งชั่งแล้ว แขวนอยู่ที่เอวไม่เคยห่างจากตัว

 

 

ตระกูลอวิ๋นไม่เคยมีความลับกับเหล่าซุน ขอเพียงเป็นสถานที่ของตระกูลอวิ๋นไม่มีที่เขาไปไม่ได้ การผลิตแก้วได้เริ่มมานานแล้ว อวิ๋นเยี่ยนำเด็กที่ตระกูลอวิ๋นรับเลี้ยงไว้ทั้งหมดย้ายไปโรงงานแก้วโดยมีหั่วจู้เป็นหัวหน้า อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่รู้วิธีผลิตแก้วเหมือนกัน เพียงแต่เอาสิ่งที่เผาออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจากเตาเผาปูนของตระกูลอวิ๋นครั้งก่อนให้หั่วจู้ดู ทั้งยังให้เขาดูสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดในเตาเผาแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก ในเมื่อมีของครบหมดแล้วเพียงแค่เอาของสิบกว่าชนิดนั้นผลัดเปลี่ยนกันเผา ก็สามารถเผาให้เป็นแก้วออกมาได้แน่นอน

 

 

ไม่เสียแรงที่หั่วจู้ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะวัยเด็ก เผาเพียงเดือนเดียวก็นำแก้วเขียวใสก้อนใหญ่ให้อวิ๋นเยี่ย ถึงแม้ยังมีสิ่งปนเปื้อนในนั้นอีกมากแต่ก็นับว่าเผาออกมาสำเร็จแล้ว

 

 

หั่วจู้ที่เพิ่งอายุสิบสี่ยังไม่พอใจ หาแร่แม่เหล็กดูดผงเหล็กในเหมืองใยหินออกไปก็ได้แก้วที่แทบไม่มีสีออกมา อวิ๋นเยี่ยปล่อยให้พวกเขาทำไป ทั้งให้หลีสือสอนพวกเขาทำสิ่งของต่างๆใครชอบอะไรก็ทำสิ่งนั้น ใช้ท่อเหล็กเป่า ใช้เบ้าที่ทำขึ้น ก็มีสิ่งของรูปร่างต่างๆออกมามากมาย หลีสือชอบแก้วจึงลงมือทำเองด้วย อาศัยขณะที่ยังร้อนสร้างกระติกน้ำใสตามที่ต้องการใบแรกได้สวยงามยิ่งนัก ในเคาท์เตอร์เหล็กของซุนซือเหมี่ยวเองก็มีภาชนะแก้วชนิดหนามากมาย เพียงแต่เสียหายง่ายมากโดยปกติแล้วจึงไม่ได้นำมาใช้พร่ำเพรื่อ

 

 

“ท่านไม่รู้สึกว่าคนมีเงินในฉางอันมีมากเกินไปหรือ แต่ละคนต่างซ่อนเงินเอาไว้ เห็นว่าเงินทองแดงในท้องตลาดไม่ค่อยจะพอใช้แล้ว เวลานี้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินปิ่งจื่อกับเงินทองแดงกำลังตกลงมา แต่ก่อนต้องใช้เงินทองแดงมาก เดี๋ยวนี้เงินปิ่งจื่อหนึ่งเหลี่ยงแลกเงินทองแดงได้เพียงเก้าร้อยเหวิน เป็นเพราะคนพวกนี้ต่างซ่อนเงินทองแดงเอาไว้ ต้องให้เอาออกมาแล้วก็จะดีขึ้น”

 

 

“ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้น สุขภาพแขกของเจ้าไม่สู้ดีนัก นอกจากบาดเจ็บภายในหลายแห่งแล้ว นิ้วเท้ายังเหลือเพียงหกนิ้ว ยังดีที่นิ้วโป้งดีอยู่ ไม่เช่นนั้นคนที่สภาพดีๆก็จะกลายเป็นพิการไปโดยสมบูรณ์”

 

 

“ต้องอีกนานแค่ไหนจึงจะทำให้เขาฟื้นคืนสภาพเดิมได้”

 

 

“แม้แต่คิดยังไม่ต้องคิด ฟื้นคืนได้สักเจ็ดในสิบส่วนก็บุญโขแล้ว”

 

 

ซุนซือเหมี่ยวพูดจบก็เดินไป ใบสั่งยามอบให้เหล่าเฉียนแล้ว รอให้ซีถงหายเมาก็จะเริ่มทำการรักษา เขาไม่มีเวลาว่างพอที่จะพล่ามต่อกับอวิ๋นเยี่ย พูดจบก็นั่งเกวียนกลับไปเขาอวี้ซัน เวลานี้หากเป็นไปได้เขาจะไม่ลงจากเขาอวี้ซันแม้เพียงก้าวเดียว

 

 

หลี่ไท่นอนบนพรมถามอวิ๋นเยี่ยว่า “แก้วคืออะไร เจ้ากำลังวางหมากครั้งใหญ่อีกหรือ”

 

 

“อะไรกัน ไม่ต้องไปฝันเฟื่องว่าตัวเองจะมีสักวันที่ขึ้นไปบนแสงหลากสีได้ เวลาท่านฝันเฟื่องทำไมน่าเกลียดอะไรเช่นนี้ น้ำลายไหลยืดเหมือนเด็กเลย ต้องแก้ไขนะ เมื่อครู่นี้ท่านฟังผิดแล้ว ไม่มีแก้วอะไรหรอก”

 

 

อาจเพราะล่วงรู้ถึงความลับยิ่งใหญ่แล้ว เลยไม่ได้ใส่ใจวิธีการหากำไรอะไรอีกจึงไม่ได้ถามต่อ เรียกขันทีทหารองครักษ์เตรียมตัวกลับวัง วันนี้นับว่าได้ผลเก็บเกี่ยวมาเต็มที่ได้พระธาตุมาสองอัน พอที่เขาจะคุยโม้คุยโตได้ในงานวันเกิดของหลี่ซื่อหมินแล้ว

 

 

“รอข้าสักพัก ข้าจะไปเอาหนังหมีเข้าวังพร้อมท่าน เรื่องซีถงจบได้ยิ่งเร็วยิ่งดีจะได้สบายใจ”

 

 

อวิ๋นเยี่ยกลับไปหลังเรือนอย่างเร่งรีบ ไม่รู้ว่าเวลานี้หลังเรือนเป็นยังไงกัน นิสัยซินเย่ว์เห็นของดีๆแล้วมีหรือที่จะไม่ยึดไว้เป็นของตัวเอง เป็นจริงดังนั้น ฤดูใบไม้ร่วงเริ่มเย็นลงนิดๆแล้ว ซินเย่ว์หุ้มห่อทั้งตัวด้วยหนังหมีกำลังปรึกษากับเหล่าสาวใช้ว่าต้องตัดเย็บอย่างไรจึงจะดูดี ส่วนหนังที่เหลือสมควรทำเป็นหมวกสักสองใบ ร้อนจนเหงื่อท่วมศีรษะก็ยังไม่ยอมถอดหนังหมีออกมา ความคลั่งไคล้ในหนังสัตว์ของผู้หญิงไม่รู้ว่าเริ่มต้นมาในสมัยไหน

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้สนใจผู้หญิงที่กำลังคลั่งไคล้ คว้าหนังหมีบนโต๊ะสองผืนแล้วก็จะออกไป ซินเย่ว์ทำท่าเหมือนถูกควักดวงใจออกจับหนังหมีแน่นไม่ยอมปล่อย ตีตายก็ไม่ยอมอวิ๋นเยี่ยที่เอาหนังหมีของตัวเองไปให้คนอื่น ในสายตานางแล้ว ของทุกอย่างที่เข้ามาหลังบ้าน แม้แต่หนูตัวเดียวจะฆ่าจะต้มยังต้องรอให้นางสั่งการ

 

 

“ยายคนนี้ทำไมเข้าใจยาก หนังหมีสองผืนนี้จะให้ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงขอทางรอดให้แขกคนนี้ ชีวิตคนมีค่าหรือหนังสองผืนนี้มีค่ากว่า พูดไปแล้วหนังพวกนี้ก็เป็นของเขาเอง”

 

 

“ถ้าขอทางรอดท่านเอาหนังมิ้งค์จื่อเตียวที่บ้านไปให้ หนังหมีเก็บไว้ที่บ้านเรา ข้ายังจะให้ทำผ้าห่อตัวเด็กด้วย” ซินเย่ว์แกล้งยื่นพุงที่โตแล้วเข้ามา ให้อวิ๋นเยี่ยเห็นชัดว่าตัวเองมีครรภ์ใช้อารมณ์รุนแรงไม่ได้

 

 

“ของพวกนี้มีค่าแค่ไม่กี่ปีนี้ รอให้แขกหายบาดเจ็บแล้วเจ้าจะเอาเท่าไรก็มี ต่อให้ใส่กางเกงในหนังหมีก็แล้วแต่เจ้า ไม่ได้มองการณ์ไกลกันเลย หนังหมีปีนี้บ้านเราจะไม่เอาไว้แม้แต่ผืนเดียว อีกสักพักข้าจะประมูลขายไปทั้งหมด เอามารวบรวมเป็นกองทุน สถานศึกษาระยะสองกำลังจะเริ่มงานแล้ว ไม่มีเงินคงทำไม่ได้”

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ยินยอมซินเย่ว์ก็จนปัญญา ได้แค่กัดที่แขนอวิ๋นเยี่ยสองทีให้หายแค้น คลายหนังหมีออกอย่างสุดแสนเสียดาย ท่าทางน่าสงสารมาก อวิ๋นเยี่ยดูจนปวดใจ ควักพระธาตุสองอันออกจากอกเสื้อยัดใส่มือนางเพื่อปลอบใจ

 

 

“ไม่เอา หนังหมีไม่ให้ เอาเศษหินมาให้สองก้อนหลอกคน” ซินเย่ว์ใส่อารมณ์ขว้างพระธาตุลงพื้น

 

 

“นี่ไม่ใช้ก้อนหินธรรมดา แต่เป็นพระธาตุที่แปลงมาจากศพคนที่ฉลาดสุดแสน เป็นของวิเศษมงคลสุดยอดในโลกมนุษย์ ไม่ใช่หนังหมีผืนสองผืนจะมาเทียบเคียงได้” ขี้เกียจมีปัญหากับหญิงมีครรภ์สู้บอกความจริงไปเลยดีกว่า ซินเย่ว์จะได้รู้ว่าควรเลือกอะไร

 

 

“โห” ซินเย่ว์ร้องด้วยความตกใจรีบควานหาพระธาตุของนางทั่วพื้น สามีไม่เคยหลอกนางเรื่องพรรค์นี้ บอกว่าเป็นพระธาตุก็ต้องเป็นพระธาตุ ของวิเศษที่แม้แต่ราชวงศ์ยังไม่มี มีของสิ่งนี้แล้วหนังหมีรอหน่อยก็ได้ แค่เฝ้ารอให้สุขภาพของแขกรีบๆดีขึ้นจะได้ไปเอาหนังหมีมาให้นาง

 

 

ในพระราชวังมักมีบรรยากาศความเก็บกดตลอดเวลา ขันทีที่ชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง นางกำนัลที่แต่งหน้าจนเวิ่นเว่อร์ ราชองครักษ์ที่องอาจสง่างาม แม้แต่หัวสัตว์ที่แขวนไว้บนสระน้ำก็ยังดูน่ากลัวกว่าของชาวบ้านทั่วไป

 

 

หลังจากฮ่องเต้จัดการภารกิจประวันจนเสร็จแล้วกำลังงีบอยู่ ฮองเฮาไปฉิ่งอันไท่ซ่างอ๋องยังไม่กลับมา อวิ๋นเยี่ยแบกถุงผ้าร้อนรนจนได้แต่หมุนตัวไปมา เรื่องนี้เข้าไปหาฮ่องเต้โดยตรงไม่ได้ หากเขาไปพูดเรื่องราวจะต้องแย่หนัก พูดได้เลยว่าผลที่ออกมาคือ คนทรยศเอาไปประหารหนังหมีริบทำเสื้อคลุม ทั้งกำจัดเสี้ยนหนามทั้งยังได้ของเขามาอีก นี่เป็นกระบวนการจัดการเรื่องพวกนี้ตามมาตรฐานของราชวงศ์

 

 

หากเป็นพวกบัณฑิตนักปราชญ์ยังไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจแสดงตัวเป็นคนใจกว้างลึกล้ำ แต่พวกนักรบหรือ สันดานเลี้ยงไม่เชื่องมีตาหามีแววไม่ ฮ่องเต้ปราดเปรื่องอย่างข้าไม่รู้จักมาสยบกลับไปพึ่งพาโจรร้าย ให้ประหารดีที่สุด มีเท่าไรก็ประหารหมด

 

 

อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่หน้าห้องบรรทมฮองเฮาเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกับลิ่นเซียงหรู ทั้งต้องปฏิบัติภารกิจสำเร็จ ทั้งต้องไม่เตะหมูเข้าปากหมา โดยเฉพาะทำให้ชีวิตซีถงถูกทำลายไม่ได้ เป็นภารกิจที่ยากเย็นยิ่งนัก

 

 

ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจึงเตรียมเริ่มต้นจากฮองเฮาก่อน นางไม่เหมือนฮองเฮาอื่นๆ ฮองเฮาของหลี่ซื่อหมินสามารถเป็นเจ้านายต้าถังตัวจริงได้ถึงสามในสิบส่วน ถึงแม้แสดงตัวตลอดเวลาว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวการเมืองราชสำนัก แต่ในโลกนี้ถ้ามีคนที่พูดแล้วหลี่ซื่อหมินเชื่ออย่างสนิทใจทันทีก็มีนางเพียงคนเดียวเท่านั้น ทีนี้ก็ต้องรอดูว่ากฏชาวโลกที่ผู้หญิงชอบหนังขนสัตว์จะเกิดผลที่ตัวนางได้หรือไม่