[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 16 การติดสินบนเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

จ่างซุนอยู่ในพระราชวังเป็นเฟิ่งหวงที่เฉิดฉายมากที่สุดตลอดมา แม้จะชราอยู่บ้าง แต่ก็เป็นที่เทิดทูนของบรรดาสนมสาวๆมาโดยตลอดไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากว่าหลี่ซื่อหมินเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จะมีเพียงจ่างซุนเท่านั้น

 

 

สาวงามโรยราง่าย ขุนพลผมหงอกขาว เป็นผลที่เกิดจากกฎของเวลาตามธรรมชาติ ต่อให้จ่างซุนยังคงสวยงาม แต่หลังจากกำเนิดบุตรห้าคนติดๆกันในเวลาสิบกว่าปีแล้ว ก็หนีไม่พ้นที่ทำให้รูปร่างอันเหนือกว่าผู้ใดต้องผิดรูปไป ยังดีที่นางไม่เพียงแค่สวยงามแต่สติปัญญาก็ยังเหนือกว่าผู้ใด ขณะที่พบว่าความสวยงามไม่สามารถพึ่งพาได้จึงตัดสินใจเดินในเส้นทางที่ใช้สติปัญญา จากสภาพการณ์ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสติปัญญาย่อมมีคุณประโยชน์เหนือกว่าความสวยงามแน่นอน

 

 

ตามที่อวิ๋นเยี่ยรู้มา ในหนึ่งเดือนหลี่ซื่อหมินอย่างน้อยจะมีครึ่งเดือนที่อยู่กับจ่างซุนด้วยกัน ครึ่งเดือนที่ไปนั้นยังเพราะถูกจ่างซุนไล่ออกไปไม่มีที่นอนจึงต้องหาสนมสักคนนอนด้วย

 

 

ห้องนอนจ่างซุนเป็นที่เดียวในวังหลังที่อวิ๋นเยี่ยสามารถอยู่ได้ หากไปที่อื่นเพื่อคิดชมบรรดาสนมจำนวนมหาศาลของหลี่ซื่อหมิน ก็จะมีขันทียืนอยู่ตรงหน้าจ้องดูเจ้าด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก หากยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีก เสียงแหลมเล็กของพวกเขาก็จะดังสนั่นไปทั้งวัง

 

 

สระไท่เยี่ยฉือเพิ่งถูกโอรสสามคนช่วยกันจัดการแล้วเสร็จ นับได้ว่าร่มรื่นด้วยกิ่งหลิวทั้งระลอกคลื่นบนผิวน้ำพลิ้วไหว เพียงแต่ในนั้นไม่สู้จะมีปลามากนัก บางครั้งจะมีปลาแฟนซีคาร์ปสีแดงโผล่ขึ้นมาสองสามตัวก็ให้เห็นเพียงแวบเดียว สระบ้านตระกูลอวิ๋นกลับมีอยู่มากมาย หลายวันก่อนยังขนเอาไปให้สถานศึกษาส่วนหนึ่ง พวกวายร้ายในสถานศึกษาใช้เวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วันก็เปลี่ยนปลาที่อยู่เต็มสระกลายเป็นปลาย่างกับซุปปลา

 

 

ไม่ใช่ว่าไม่ให้เนื้อพวกเขากิน แต่เป็นเพราะพวกเขาหลังจากเรียนรู้การย่างปลาจากหวงสู่แล้ว มักรู้สึกว่าฝีมือตัวเองถูกทอดทิ้งไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ การจับปลาสักตัวสองตัวร่วมชิมกับเพื่อนๆจึงกลายเป็นแฟชั่น ปลาตัวดำๆข้างนอกจะมีรสชาติอะไร มีเพียงปลาแฟนซีคาร์ปสีแดงในสระของสถานศึกษาจึงนับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ

 

 

หลี่ซื่อหมินหลังจากกินปลาหลีฮื้อตุ๋นที่อวิ๋นเยี่ยทำให้แล้วก็ไม่ห้ามเรื่องกินหลีฮื้ออีก ถึงแม้ไม่ได้ประกาศออกมา แต่ทางราชการเวลานี้เห็นพ่อค้าหาบหลีฮื้อเร่ขายก็ไม่ได้สนใจแล้ว

 

 

ดวงอาทิตย์ใกล้จะเบนทางทิศตะวันตกแล้วจ่างซุนก็ยังไม่กลับมา ชุดขุนนางหนาที่สวมใส่อยู่ใกล้ถูกเหงื่อซึมจนเปียกโชกแล้ว รองเท้าบู๊ทเปียกเหงื่อจนลื่น ถุงเท้าก็แนบติดเท้าอึดอัดมากๆ

 

 

มองดูบริเวณรอบๆ มีเพียงขันทีสองคนที่นั่งสัปหงกอยู่ที่ระเบียงประตู หลี่ไท่ทิ้งอวิ๋นเยี่ยที่นี่แล้วก็หายไปชนิดไม่มีร่องรอย คงกำลังไปหาคนตรวจสอบความจริงแท้ของพระธาตุ หมอนี่ไม่เคยเชื่อคำพูดคนอื่น จะต้องหาทางตรวจสอบด้วยตัวเองก่อนแล้วจึงจะยอมเชื่อ นี่เป็นนิสัยเสียที่สถานศึกษาอบรมมา ชาตินี้คงไม่มีโอกาสแก้ไขได้อีก

 

 

ถอดบู๊ทออกแล้วเอาถุงเท้าซักก่อน กลิ่นน่ากลัวมาก แต่อวิ๋นเยี่ยกลั้นหายใจซักจนเสร็จ ตากถุงเท้าบนก้อนหิน คาดว่าราวหนึ่งก้านธูปก็จะแห้ง พลิกบู๊ทกลับออกระบายกลิ่นแล้วแช่เท้าในสระน้ำ น้ำที่ใสเย็นซัดผ่านหลังเท้าทำให้สบายอย่างที่สุด ความเค็มของเท้าคงมีมากจนปลาต่างถูกดึงดูดเข้ามาวนเวียนอยู่รอบเท้าชื่นชมอยู่กับกลิ่นนี้

 

 

จ่างซุนจะต้องเล่นไพ่นกกระจอกเป็นเพื่อนหลี่ยวนแน่เลย หลี่ยวนเวลานี้ต้องอาศัยไพ่นกกระจอกให้ผ่านไปวันๆหนึ่ง หากไม่เล่นสักสิบกว่ารอบต่อวันก็จะรู้สึกไม่สบาย ได้ผลชัดเจนมาก ตั้งแต่มีไพ่นกกระจอก ความเร็วในการผลิตคนของเขาช้าลงจนได้ สองปีนี้เพิ่งเพิ่มน้องชายกับน้องสาวให้หลี่ซื่อหมินอย่างละคน นับว่าเป็นอัตราการเพิ่มปกติ หากไม่ใช่ไพ่นกกระจอก อนาคตยังไม่รู้ว่าจะมีคนได้เป็นอ๋องอีกกี่คน ผลงานตลอดชีวิตของโจโฉ อยู่ที่ต้าถังก็แค่ระดับไพ่นกกระจอกเท่านั้น

 

 

ใต้ต้นหลิวเงียบเชียบมากไม่มีใครส่งเบาะนั่งมาให้ ก้นที่นั่งอยู่บนหินชิงสือนานๆมีโอกาสเป็นริดสีดวงทวาร โหวเหยียในพระราชวังยังไม่ใหญ่โตเท่าตะพาบน้ำในแม่น้ำจินสุ่ย เห็นพวกขันทีกำลังโยนผลไม้สดผักสดและเนื้อชิ้นเล็กๆไปให้ตะพาบน้ำที่อยู่ใต้เพิงกันแดดในแม่น้ำจินสุ่ย ปล่อยให้โหวเหยียจักรวรรดิที่นั่งอยู่บนก้อนหินได้อาย

 

 

ได้ยินเสียงแหลมเล็กของขันทีแล้ว อวิ๋นเยี่ยรีบเผ่นขึ้นมาใส่ถุงเท้าอย่างรวดเร็วแล้วสวมบู๊ท ปรับกล้ามเนื้อบนใบหน้าทุกมัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ดูดีที่สุดแล้วตบกระพุ้งแก้มตัวเอง ชีวิตของซีถงอยู่ที่ปากนี้แล้ว หากบอกว่าหลี่ซื่อหมินเวลานี้ยังไม่รู้ว่ามีโจรกบฏหนึ่งคนเข้ามาในบ้านตระกูลอวิ๋น ตีอวิ๋นเยี่ยให้ตายก็ยังไม่ยอมเชื่อคำพูดนี้

 

 

หัวหน้าหน่วยข่าวกรองคนใหม่ได้ยินว่าเป็นก้งเฟิ่งวังที่ติดตามหลี่ซื่อหมินมานาน พวกลักเพศเหล่านี้ ได้แสดงความสามารถให้เห็นชัดเจนตั้งแต่ก่อนที่หลี่ซื่อหมินครองราชย์ มีแผนทุกก้าวฆ่าคนในสิบก้าว เ**้ยมโหดสุดยอด ไร้ความปรานี คนชนิดนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นขุนนางราชสำนัก เหมาะเพียงเลี้ยงเป็นก้งเฟิ่งในวังที่ไม่มีใครพบเห็น ฮ่องเต้อื่นมักสังหารคนชนิดนี้หลังใช้งานแล้ว คงมีเพียงหลี่ซื่อหมินที่เลี้ยงไว้ใกล้ตัวไม่ได้สังหารแม้เพียงคนเดียว

 

 

เมื่อครั้งที่พระราชวังจัดงานเลี้ยงครอบครัว อวิ๋นเยี่ยถูกหลี่เฉิงเฉียนลากไปร่วมด้วย เผลอดื่มสุรามากไปสองถ้วย โดนพวกเฒ่าลักเพศนี้ถามกันวุ่นวาย มีหลายครั้งที่เกือบเผลอหลุดไป โชคดีที่พวกเขาฟังศัพท์สมัยใหม่ที่อวิ๋นเยี่ยใช้ไม่เข้าใจ คิดว่าเมาสุราจนใช้คำพูดมั่วซั่วไม่เช่นนั้นต้องยุ่งยากแน่นอน พวกที่แม้แต่เวลานั่งยังต้องหาเฉพาะที่มืดเท่านั้นใครจะกล้าดูแคลนได้

 

 

“อากาศร้อนเช่นนี้เจ้ามาพระราชวังทำไม” จ่างซุนท่าทางคงเล่นชนะได้เงินมาจึงมีอารมณ์ดีมากเห็นอวิ๋นเยี่ยแล้วไม่ได้เสียดสีเหน็บแนมอีก

 

 

“เหนียงเหนียงหารู้ไม่ว่า บ้านกระหม่อมเพิ่งกลั่นน้ำมันอย่างหนึ่งออกมาจากสะระแหน่ ได้ยินอาจารย์ซุนว่ามีผลดีมากต่อผิวของสตรี พอกระหม่อมรู้ถึงสรรพคุณนี้จึงรีบส่งมาให้เหนียงเหนียง ถึงแม้เหนียงเหนียงไม่ต้องใช้ของพื้นๆพวกนี้ แต่เป็นความภักดีของกระหม่อม ขอให้เหนียงเหนียงโปรดรับไว้ด้วย”

 

 

“อ๋อ อาจารย์ซุนว่ามีประโยชน์ เช่นนั้นข้าก็ต้องลองดู สะระแหน่ปกติใช้ทำให้รู้สึกสดชื่น แต่ที่เอามาใช้ในด้านนี้ได้ด้วยเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก” รับขวดกระเบื้องเล็กๆจากนางกำนัลพอเปิดจุกไม้ก๊อกออกแกว่งไปทีเดียว กลิ่นหอมเย็นของสะระแหน่ก็กระจายออกมาทันทีทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมา ของสิ่งนี้ก็คือผลิตภัณฑ์ใหม่ของเชิงซินในระยะนี้

 

 

หมอนี่เดี๋ยวนี้ไม่ใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าอีกแล้ว ทุกวันนอกจากไปทำงานที่โรงงานน้ำหอมแล้วก็มุดไปมุดมาในตลาดซื้อหาขนมมากมาย แม้แต่ผักดิบก็ยังอยากพุ่งขึ้นงับสักคำสองคำ ทีแรกก็ไม่เข้าใจ ตอนหลังได้ยินเขาพูดจึงรู้ว่าหลี่หยวนชางอยากให้เขามีกลิ่นหอมทั้งตัวจึงไม่ให้กินอย่างอื่น ให้กินข้าวเพียงนิดเดียวแล้วกินกลีบดอกไม้ต่างๆทั้งเกสรก็กินด้วยกัน ให้ทำเช่นนี้ติดต่อกันสามปี ดังนั้นเวลานี้จึงอยากชิมของทุกอย่างที่มีในโลกนี้ทั้งหมดทันที ที่บีบคั้นน้ำสะระแหน่ออกมาก็เพื่อใช้ทดลองทาหน้าในฤดูร้อนให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น

 

 

“ไม่เลว ข้ารับไว้ หากไม่มีธุระอื่นก็กลับไปเถอะ” จ่างซุนรับของแล้ว ไม่ถามต้นสายปลายเหตุก็เตรียมไล่อวิ๋นเยี่ยกลับไป การไม่ถนอมน้ำใจเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของราชวงศ์จริงๆ

 

 

อวิ๋นเยี่ยแกล้งหิ้วถุงผ้ายกขึ้น เพียงแค่จ่างซุนถามถึงตัวเองก็สามารถถือโอกาสเล่าเรื่องซีถง สายตาจ่างซุนโดนดึงดูดเข้ามาจริงๆ มองดูแล้วพูดว่า “มีธุระอะไรก็พูดเถอะ ไม่ต้องมาใช้กลยุทธ์อะไรกับข้า หากเรื่องราวใหญ่โตแล้วของในถุงผ้าเจ้าไม่มีคุณค่าพอละก็ลองดู”

 

 

ชอบที่สุดตรงที่จ่างซุนพูดตรงๆ เปิดถุงผ้าออกให้เห็นหนังหมีขาว กำลังจะคุยโวโอ้อวดก็ได้ยินเสียงโกรธอย่างสุดกำลังของจ่างซุน “ข้านึกว่าเป็นของวิเศษวิโสอะไร ที่แท้เป็นหนังหมีดำ เจ้ามาล้อข้าเล่นหรือ”

 

 

หนังหมีดำ? นี่มันหนังหมีขาวชัดๆจะกลายเป็นหนังหมีดำได้อย่างไร หนังสองอย่างนี้มีอะไรเทียบเคียงกันได้หรือ ดูให้ละเอียดถี่ถ้วนอีก ไม่ผิดนี่เป็นหนังหมีขาว สีขาวจนแทบจะโปร่งแสงแล้วทำไมนางจึงว่าเป็นหนังหมีดำ?

 

 

“เหนียงเหนียง นี่เป็นหนังหมีขาว จะเป็นหนังหมีดำได้อย่างไร” อวิ๋นเยี่ยเกาศีรษะมองจ่างซุน ยายคนนี้คิดจะมากินรวบหรืออย่างไร

 

 

จ่างซุนก็ประหลาดใจมาก หนังหมีดำชัดๆทำไมอวิ๋นเยี่ยว่าเป็นหนังหมีขาว ดูท่าทางเขาก็ไม่เหมือนแกล้งทำ หรือว่าวันนี้ข้าเล่นไพ่นกกระจอกมากเกินไปจนตาลาย แต่พอดูให้ละเอียดอีกก็เป็นหนังหมีดำจริงๆ

 

 

“ฮวาเหนียง เจ้าดูสิว่าเป็นหนังหมีขาวหรือว่าหนังหมีดำ” จ่างซุนบอกนางกำนัลประจำตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ

 

 

นางกำนัลลังเลนิดหนึ่งแล้วพูดว่า “เหนียงเหนียง บ่าวดูแล้วเป็นหนังหมีเทา”

 

 

คำพูดนี้ทำให้ทั้งอวิ๋นเยี่ยกับจ่างซุนต่างงงงัน อวิ๋นเยี่ยขยับตัวไปด้านข้างแล้วดูหนังหมีบนพื้นอีกกลายเป็นสีเทาจริงๆ พอเดินห่างไปอีกสีก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ จ่างซุนก็เดินเข้ามาที่หนังหมี นางพบว่าพอดูจากที่ใกล้หนังหมีเป็นสีขาว แต่พอดูจากที่ไกลเป็นสีดำ เพราะอะไรกันแน่?

 

 

อวิ๋นเยี่ยกับจ่างซุนต่างมองหน้ากันคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก อวิ๋นเยี่ยบอกจ่างซุนอย่างครุ่นคิดว่า “เหนียงเหนียง หรือว่าขนบนหนังหมีมีความโปร่งใส อยู่ติดกับอะไรก็เปลี่ยนเป็นสีนั้น?”

 

 

จากการพิสูจน์ ขนหมีเปลี่ยนสีได้จริงๆ ค่อยๆเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำได้ตามความสว่างมากน้อย นี่เป็นของวิเศษทีเดียว จ่างซุนชอบหนังหมีผืนนี้จริงๆเป็นผืนเดียวในโลกแท้ๆ

 

 

“ของขวัญไม่เลว นับได้ว่าเป็นของวิเศษที่หายากยิ่งในโลกนี้ มีธุระอะไรบอกมาเลย แต่พูดไว้ก่อนนะ เรื่องในราชสำนักนั้นไม่ได้ จะต้องให้ฝ่าบาทว่าไปเอง” แม้ว่าจะโดนหนังหมีเย้ายวนจนยึดครองสติไปแล้ว จ่างซุนยังคงถือกฏเกณฑ์เคร่งครัด รักษาเส้นตายสุดท้ายของตัวเองไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว

 

 

ขณะที่อวิ๋นเยี่ยเล่าความเป็นมาทั้งหมดแล้ว สีหน้าจ่างซุนเคร่งเครียด “เจ้ารู้แน่ชัดว่าเถียนเซียงจื่อตายแล้วจริงๆ?”

 

 

“ถ้าหากเขายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนั้น กระหม่อมคงไม่สามารถพูดอะไรออกได้อีก พระธาตุของเขากำลังจะโดนชิงเชวี่ยใช้เป็นของขวัญถวายให้ฮ่องเต้อยู่แล้ว กระหม่อมเชื่อว่าเป็นความจริงแท้แน่นอน ต่อให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่แล้วจะทำอะไรได้ เมื่อไม่มีลูกน้องอีกต่อไปอย่างมากเขาก็เป็นแค่ชายชราอายุแปดสิบกว่า จะกลัวเขาไปทำไมหรือ” คนที่ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความมั่นใจไม่ใช่คำพูดซีถงแต่เป็นคำวินิจฉัยของซุนซือเหมี่ยว ในสถานที่อวิ๋นเยี่ยพบกับเถียนเซียงจื่อ เขาพบว่าเถียนเซียงจื่อมีโรคปอดที่ป่วยหนักหนาสาหัสมาก หากสามารถรอดได้ถึงหนึ่งปีถือว่าทรหดมากยิ่งรวมกับที่ซีถงเล่าแล้ว อวิ๋นเยี่ยเลือกที่จะเชื่อว่าเถียนเซียงจื่อได้ตายไปแล้ว

 

 

“กวนอินปี้ไม่ต้องคิดมากเถียนเซียงจื่อตายแล้วแน่นอน บ้านเก่าที่ลู่โจวรกร้างแล้วทั้งผู้คนแตกฉานซ่านเซ็น พวกระดับหัวหน้าตั้งแต่ไปมั่วเป่ยแล้วก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอีก คงมีเศษมนุษย์ปางตายคนหนึ่งคลานกลับมา เดิมทีนึกว่าจะตามดูว่าเขาจะไปพบใคร ไม่นึกว่าเขาถึงขนาดไปอย่างเปิดเผยที่บ้านหลานเถียนโหว แถมยังมีโอรสคนหนึ่งอยู่ด้วยต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน นับว่าเจ้าพอรู้กาลเทศะไม่ได้หูตามัวซัว เจ้ารู้หรือไม่ว่าหน่วยข่าวกรองได้ดักรอตะครุบสังหารคนนี้บริเวณบ้านเจ้าแล้วถือโอกาสจับเจ้ากลับมาให้ปากคำ ดังนั้นหนังหมีผืนนี้ซื้อได้เพียงชีวิตน้อยๆของเจ้า หากต้องการให้ข้าอภัยให้เศษมนุษย์คนนั้น เจ้าต้องเอาหนังหมีอีกผืนมาแลก”