บทที่ 1305 ซวยฉันอีก / บทที่ 1306 สั่งมาที่หนึ่งไหม?

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 1305 ซวยฉันอีก

“อาจารย์หลี่ ไม่ได้เจอกันหลายปี ตอนนี้แม้แต่เสียงฉันก็จำไม่ได้แล้วเหรอ” เยี่ยหวันหวั่นกล่าว

“ไม่ได้เจอกันหลายปี…หรือว่า…เธอคือ…หะ…หัวหน้าไป๋เฟิ่ง!” ชายชราพูดอย่างไม่อยากเชื่อ

“หึ…ดูเหมือนสมองอาจารย์หลี่ยังไม่เลอะเลือน ในเมื่อสมองยังปกติดี ทำไมถึงได้ทำเรื่องเลอะเลือนอย่างนี้ได้ล่ะ” เสียงของเยี่ยหวันหวั่นเข้มขึ้น

“ท่านหัวหน้า…หัวหน้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนบอกว่าตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ…ไม่สิๆๆ เรื่องนี้ มีอะไรเข้าใจผิดกันนิดหน่อย…ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ๆ” เสียงของชายชราสั่นเล็กน้อย

“อาจารย์หลี่ คงไม่ต้องเสียเวลาพูดอะไรมาก คุณเป็นจิตกรมีชื่อ เวลาวาดรูปก็ต้องวาดบนกระดาษ วาดด้วยมือ คุณว่าให้ฉันเป็นฝ่ายส่งกระดาษให้คุณดี หรือคุณจะเป็นฝ่ายส่งมือมาให้ฉัน?” เยี่ยหวันหวั่นแค่นเสียง

อาจารย์หลี่ได้ยินอย่างนั้นก็ตอบด้วยเสียงเหมือนจะร้องไห้ “อย่าๆๆ…ท่านหัวหน้า…คนใหญ่คนโตไม่ควรถือสาคนตัวเล็ก…ผมเสียมือไปไม่ได้เด็ดขาด…”

เป็นจิตกรจะไม่มีมือได้ยังไงกัน?

“ถ้าอย่างงั้นฉันจะให้คนส่งกระดาษไปให้ คงไม่มีปัญหาใช่ไหม” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มบอก

“ไม่มีๆๆ ไม่มีปัญหาแน่นอน ไม่มีปัญหาเลย ยิ่งส่งมาเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี!” อาจารย์หลี่รีบบอก

“ดี” เอ่ยจบ เยี่ยหวันหวั่นก็วางสาย

ตอนนี้ ชีซิงจ้องเยี่ยหวันหวั่นนิ่ง นัยน์ตามีแววสงสัยพาดผ่าน

สไตล์การทำงานของผู้หญิงคนนี้…คล้ายกับหัวหน้ามากจริงๆ

“เชี่ย สมกับเป็นพี่เฟิง พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็เอาอยู่แล้ว…ตาแก่นั่นถือดีว่ามีเส้นสายกับแก๊งศัตรูเรา เลยไม่เห็นหัวพันธมิตรอู๋เว่ยของเรา ตอนนี้คงกลัวแล้วล่ะสิ!” เป่ยโต่วยิ้มเยาะ

“หยุดพล่ามได้แล้ว ไปกินข้าว” เยี่ยหวันหวั่นเอ่ยจบก็โยนมือถือให้ชีซิง

“พี่เฟิง พวกเราไปตำหนักเทียนเกอกันเถอะ ที่นั่นนำเข้าของสดมาเยอะมาก” เป่ยโต่วบอก

ชีซิงสายตาไหวระริก

“เอาสิ” ถึงเยี่ยหวันหวั่นจะไม่รู้ว่าตำหนักเทียนเกอคือที่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นรู้

ไม่นาน ชีซิงกับเป่ยโต่วก็ออกจากพันธมิตรอู๋เว่ยไปพร้อมกับเยี่ยหวันหวั่น พอชิวสุ่ยรู้ว่าพวกเขาจะไปตำหนักเทียนเกอ ก็โวยวายจะมาด้วยให้ได้ สุดท้ายเลยได้มาด้วยกันหมด

“เสี่ยงเฟิงเฟิง ไปตำหนักเทียนเกอแล้วพวกเราไปพนันกันซักยกไหม…แล้วก็มีดวลสัตว์ร้ายกับแข่งมวยใต้ดินอีก…ปกติเธอชอบไปมากไม่ใช่เหรอ?” ชิวสุ่ยควงแขนเยี่ยหวันหวั่นแล้วบอก

เยี่ยหวันหวั่นยิ้มเล็กน้อย แต่ในใจได้แต่สบถเสียงดัง

เธอไม่รู้เรื่องการพนันเลยซักนิด แล้วก็ไม่รู้จักการดวลสัตว์ร้ายกับแข่งมวยใต้ดินด้วย…

แบดเจอร์นี่ยังไง ไม่ดูแลพันธมิตรอู๋เว่ยของตัวเองให้ดี วันๆ เอาแต่ทำอะไรเยอะแยะไปหมดก็ไม่รู้…เธอเลยต้องมาซวยอย่างงี้…

“เอาสิ มีเวลาก็ไปพนันกันซักสองยก กำลังคันมือพอดีเลย” เยี่ยหวันหวั่นปากกระตุกเล็กน้อย

เวลานี้ถ้าบอกให้เธอเป็นซ่านไฉถงจื่อ[1]ก็คงต้องยอม…

“ฮี่ๆ มือของพี่เฟิงเป็นมือที่ผ่านการจุมพิตของเทวดามาแล้วเชียวนะ ชนะทุกการเดิมพัน แทบไม่เคยแพ้เลยซักครั้ง ทักษะการพนันเป็นยอด” เป่ยโต่วยิ้มบอก

เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก

แม่งเถอะ แบดเจอร์จะไม่ให้เธอมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม? ทักษะการพนันเป็นยอดอะไรอีก นี่เจ๊แกเป็นนักต้มตุ๋นหรืออะไรยังไง?!

ดูเหมือน คงเป็นไปได้ยากถ้าเธอจะอยู่เฉยๆ ทำตัวเป็นซ่านไฉถงจื่อที่ใครเห็นใครก็รัก…

ไม่นาน ชีซิงก็ขับรถเข้ามาจอดใกล้ๆ คฤหาสน์หรูแห่งหนึ่ง ด้านบนคฤหาสน์มีป้าย “ตำหนักเทียนเกอ” ติดอยู่

โชคดีที่ตำหนักเทียนเกออะไรนี่ไม่ใช่ที่แปลกๆ เป็นแค่ที่กินข้าวธรรมดาๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น

เหมือนจะเป็นภัตตาคารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแถบนี้ วัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารก็ค่อนข้างพิเศษ

————————————————————————————-

บทที่ 1306 สั่งมาที่หนึ่งไหม?

ตำหนักเทียนเกอมีทั้งหมดสี่ชั้น

คนธรรมดาในรัฐอิสระใช้บริการได้ที่ชั้นหนึ่งเท่านั้น

ผู้ฝึกวิทยายุทธกับทหารรับจ้างสามารถใช้บริการที่ชั้นสองได้

ส่วนคนที่สามารถขึ้นชั้นสามและชั้นสี่ได้ ต้องทั้งมีเงินและอำนาจ เป็นคนใหญ่คนโตเท่านั้น

พอเดินเข้ามาในตำหนักเทียนเกอ เยี่ยหวันหวั่นกวาดมองรอบๆ ต้องยอมรับว่าภัตตาคารแห่งนี้หรูหรามากจริงๆ หรือจะเรียกว่าหรูหราจนฟุ่มเฟือยเลยก็ว่าได้

“คุณชายเจ็ด…คุณชายเป่ย…คุณหนูชิว…”

พอเห็นทั้งสามคนเดินมา ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยตัวเอง

“เอาตาไปไว้ที่ก้นแล้วรึไง มองไม่เห็นพี่เฟิงเหรอ?” เป่ยโต่วจ้องหน้าชายวันกลางคน แล้วเอ่ยเสียงเย็น

“อะไรนะครับ?!” ชายวัยกลางคนหันไปมองหญิงสาวใบหน้านิ่งขรึมที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างตกตะลึง

แบดเจอร์หายตัวไปหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ…ข่าวลือบอกว่าตายไปแล้ว…แล้วทำไม…

“ท่านหัวหน้า…ท่านกลับมาแล้ว…” ชายวัยกลางคนหันไปยิ้มประจบเยี่ยหวันหวั่นเต็มที่

“ไม่ต้องพูดมาก หาห้องพิเศษให้พวกเราห้องหนึ่ง” ชิวสุ่ยพูดห้วนๆ

“ครับๆๆ…ตามผมมาเลยครับ” ชายวัยกลางคนค้อมตัวต่ำ ท่าทางระมัดระวัง

ไม่นาน พวกเยี่ยหวันหวั่นก็มาถึงชั้นสี่ แล้วเดินเข้าไปในห้องพิเศษที่ดูหรูหราฟู่ฟ่าห้องหนึ่ง

เยี่ยหวันหวั่นจ้องเมนูอย่างสับสน

“มังกรบิน…”

“เจ้าแห่งสมุทร…”

“เจ้าแห่งปฐพี…”

แม่เอ็ง พวกนี้มันคืออะไรล่ะเนี่ย…

“พี่เฟิง เมื่อก่อนพี่ชอบกินมังกรบินมากไม่ใช่เหรอ เอามาที่หนึ่งไหม?” เป่ยโต่วยิ้มถาม

เยี่ยหวันหวั่นแสร้งพยักหน้า “ไม่ได้กินมานานมากแล้วจริงๆ”

พูดจบ เยี่ยหวันหวั่นก็สั่งมังกรบินมาหนึ่งที่

ไม่นาน พนักงานในตำหนักเทียนเกอก็เอาอาหารมาเสิร์ฟ

“สวัสดีค่ะ นี่คือเจ้าแห่งปฐพี ทานให้อร่อยนะคะ” พนักงานกล่าว

เยี่ยหวันหวั่นขยับตะเกียบทันที

“อร่อยจัง…รสชาติของสัตว์ร้ายนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ…” เป่ยโต่วคีบเข้าปากคำโต

“สัตว์ร้าย?”

เยี่ยหวันหวั่นหน้าเปลี่ยนสีทันที นี่เอาตัวอะไรมาให้เธอกินกันแน่เนี่ย!

ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร แต่ต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่ๆ เธอขอไม่กินไม่ได้เหรอ?

“มังกรบิน ทานให้อร่อยนะคะ”

ไม่นาน พนักงานก็เอาอาหารมาเสิร์ฟจนครบ

“พี่เฟิง จานโปรดของพี่มาแล้ว!” เป่ยโต่วยิ้มบอก

พอเยี่ยหวันหวั่นจ้องมังกรบินที่ว่าชัดๆ แล้ว ก็อยากจะวิ่งเอาหัวโขกกำแพงตายๆ ไปซะให้รู้แล้วรู้รอด

มังกรบิน…จานนี้เธอรู้จัก! มันก็คือตั๊กแตนทอดไม่ใช่รึไงเล่า!

ในรัฐอิสระมีผู้ฝึกวิทยายุทธมากมาย ภัตตาคารอย่างตำหนักเทียนเกอมีอยู่เกลื่อนจนนับไม่ถ้วน วัตถุดิบที่ใช้ล้วนมีโปรตีนสูง เพื่อเติมเต็มพลังงานในการฝึกฝนของพวกเขาในแต่ละวัน

“พี่เฟิง ทำไมพี่ไม่กินล่ะ?” เป่ยโต่วเห็นเยี่ยหวันหวั่นไม่ยอมขยับตะเกียบซักที เลยถาม

เยี่ยหวันหวั่นจ้องตั๊กแตนทอด แค่เห็นก็จะอ้วกแล้ว กินแม่นายน่ะสิ! ใครสั่งจานนี้มาวะ?!

“พี่เฟิง พี่ไม่ชอบกินเหรอ…จริงๆ แล้วผู้หญิงก็ไม่ค่อยชอบกินของแบบนี้กันหรอก” ชีซิงหันมามองเยี่ยหวันหวั่นเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

แต่ไม่รอให้ชีซิงพูดอะไรมาก เยี่ยหวันหวั่นกลับคีบตั๊กแตนทอดเข้าปากไปแล้ว

“ไม่เลว รสชาติไม่ได้เปลี่ยนไปมาก” เยี่ยหวันหวั่นกลืนตั๊กแตนทอดลงท้อง แล้วพยักหน้าบอก

“ชิวสุ่ย เธอกินไหม?” เยี่ยหวันหวั่นหันไปมองชิวสุ่ย

ชิวสุ่ยส่ายหน้ารัวๆ “ฉะ…ฉันไม่ค่อยชอบกินไอ้นี่เท่าไหร่…”

เยี่ยหวันหวั่นพูดไม่ออก

ดูชิวสุ่ยเขาซิ เป็นผู้หญิงปกติแค่ไหน แล้วดูแบดเจอร์สิ ให้ตายเถอะ รสนิยมการกินจะแหวกแนวเกินไปแล้ว…

……………………………………………………….

[1] ซ่านไฉถงจื่อ เป็นเทพกุมารองค์หนึ่งของจีน มีนิสัยเบื่อโลก เห็นทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเหมือนกองขยะมูลฝอย