จูหลีก็ทำความเคารพจางเจ๋อหวย บอกว่า “ใต้เท้าจาง ฮูหยิน เจ้านายของพวกเราเพิ่งตื่นจากการนอนหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ยังไม่ได้ทำผมแต่งตัว ขอท่านทั้งสองโปรดรอเสียหน่อย”

 

 

หลังจากที่เมื่อวานเมิ่งเชี่ยนโยวย้ายเข้าไปอยู่ที่ห้องอื่นแล้ว จางเจ๋อหวยกับอวี้อวี่ก็แวะมาเยี่ยมแล้วคราหนึ่ง แต่ว่าโดนห้ามไว้ให้อยู่ด้านนอก บอกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเหนื่อยแล้ว หลับพักผ่อนอยู่ บอกให้สองสามีภรรยามาเยี่ยมในวันหลัง ดังนั้นวันนี้ทั้งสองคนกินข้าวเช้าเสร็จ ก็มาอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดของจูหลีแล้ว ก็ไม่ได้คิดมากอะไร ยืนรออยู่ที่ด้านนอกห้อง

 

 

จัดการตัวเองและจัดเตียงให้เรียบร้อย หวงฝู่อี้เซวียนนั่งบนเก้าอี้ในห้อง พยักหน้าบอกให้ชิงหลวนเชิญทั้งสองคนเข้ามา

 

 

ชิงหลวนเดินออกไป แล้วเชิญทั้งสองคน “ใต้เท้าจาง ฮูหยินจาง เชิญเข้ามาด้านในเจ้าค่ะ”

 

 

ทั้งสองคนเดินเข้ามาด้านใน เห็นหวงฝู่อี้เซวียนก็นั่งอยู่ในห้องด้วย จึงชะงักไป แล้วทำความเคารพ “ขอคาราวะซื่อจื่อ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วยื่นมือกมาทำท่าเชิญ “นั่งลงเถิด!”

 

 

ทั้งสองคนขอบคุณ แล้วนั่งลง

 

 

อวี้อวี่มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มให้กับนาง เห็นนางมองมา ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินจางสวยขึ้นนะเจ้าคะ”

 

 

อวี้อวี่ลุกขึ้นอย่างรีบร้อนแล้วบอกว่า “แม่นางเมิ่งล้อเล่นหรือเปล่า ข้าเป็นแม่ลูกสองแล้วนะ จะบอกว่าสวยขึ้นได้อย่างไรกัน แต่แม่นางเมิ่งน่ะสิ โตขึ้นกลายเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยล่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ พูดไปตรงๆ ว่า “ฮูหยินจางยอข้าเกินไปแล้ว หน้าอย่างข้าอย่างมากก็แค่สวยแบบบ้านๆ เท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นสาวงามหรอกเจ้าค่ะ”

 

 

อวี้อวี่โดนนางหยอกล้อจนหัวเราะออกมา “ไม่เจอกันนาน แม่นางเมิ่งก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตนไม่เปลี่ยนเลย”

 

 

หัวเราะแล้วจึงเชิญนางนั่งลง เมิ่งเชี่ยนโยวถามว่า “ทั้งสองท่านที่มาในวันนี้ มีเรื่องเร่งด่วนอันใดหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน จางเจ๋อหวยพูด “พวกเราสองสามีภรรยาที่มาในวันนี้ก็เพื่อมาขอบคุณแม่นางเมิ่งที่มีพระคุณต่อพวกเราในปีนั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น แล้วห้ามเขาทั้งสองคนไว้ นางหัวเราะแล้วพูดว่า “จะขอบคุณ ก็ควรเป็นข้าที่ขอบคุณพวกท่านเสียมากกว่า ถ้าหากว่าเซี่ยเหอไม่ได้ช่วยข้าเอาไว้เมื่อสี่ปีก่อนที่เสิ่งเฉิง เกรงว่าวิญญาณของข้ากับอี้เซวียนไม่รู้จะเร่ร่อนไปถึงที่ไหนแล้ว”

 

 

อวี้อวี่ตกใจรีบโบกมือ “แม่นางเมิ่งอย่าพูดเช่นนี้เป็นอันขาด เรื่องเซี่ยเหอนั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง การกระทำของท่านเมื่อปีนั้นสิ ถึงจะควรค่าแก่การจดจำไปชั่วชีวิต”

 

 

“เอาล่ะ เรื่องที่มันผ่านไปแล้วพวกเราอย่าไปพูดถึงมันอีกเลย เรื่องสำคัญที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็คือช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัย จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้วุ่นวาย แล้วยังจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดอีก” เมิ่งเชียนโยวพูด

 

 

จางเจ๋อหวยเอ่ยปาก “แม่นางเมิ่งพูดถูก ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อขอคำแนะนำจากซื่อจื่อ ว่าขั้นต่อไปควรจะทำเช่นไรดี”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูด “เงินบรรเทาชาวบ้านและเสบียงเหมือนจะมาถึงแล้ว พอให้ชาวบ้านอยู่ได้อีกสักระยะ แต่เรื่องที่ต้องคิดตอนนี้คือ การก่อสร้างหลังจากนี้ต่างหาก หลังจากที่น้ำท่วมหนักได้ผ่านพ้นไป ต้นกล้าโดนทำลายไปเสียหมด ชาวบ้านไม่ได้เก็บโกยผลผลิตในฤดูนี้เลย เงินของฝ่ายการคลังประเทศไม่ได้มีมากมายขนาดเลี้ยงชาวบ้านที่เยอะมากมายขนาดนี้ได้นานถึงครึ่งปี มีวิธีเดียวก็คือการช่วยเหลือตัวเอง ดูสิว่ามีวิธีไหนบ้างที่ใช้ได้ ทำให้ชาวบ้านผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าพวกเราจะจัดการโรคระบาดนี้ได้ ทำให้ชาวบ้านไม่หวาดระแวง แต่ถ้าหากไม่มีรายได้ เมื่อราชสำนักไม่ให้ช่วยเหลือแล้วล่ะก็ ชาวบ้านก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น”

 

 

“เรื่องนี้ข้าน้อยได้คิดเอาไว้แล้ว แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ถึงแม้ว่าน้ำในนาจะออกไปหมดแล้ว ชาวบ้านก็ไม่สามารถปลูกอะไรได้อยู่ดี” จางเจ๋อหวยพูด

 

 

อยู่บ้านนอกมาเป็นสิบปี หวงฝู่อี้เซวียนรู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลานี้ปลูกอะไรไม่ได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นผ่านไปอีกสามเดือน ชาวบ้านก็ไม่มีผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวได้อยู่ดี คนที่โชคดีรอดชีวิตไปได้ ถึงตอนนั้นก็คงอาศัยดวงให้ท้องอิ่มไม่ได้แน่ๆ

 

 

นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งสี่คนนั่งครุ่นคิดกันอย่างเคร่งเครียด

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็พูดขึ้นว่า “หลังจากที่ข้ากลับไป จะรายงานสถานการณ์ทางนี้อย่างละเอียด แล้วขอเงินมาให้เยอะเสียหน่อย ให้ชาวบ้านที่อยู่ที่นี่ได้รับการบรรเทาทุกข์บ้าง ใต้เท้าจางก็ลองคิดหาวิธีดู พยายามให้ชาวบ้านคิดหาวิธีทำกินจะดีกว่า”

 

 

จางเจ๋อหวยซาบซึ้งแล้วจึงประสานมือเข้าด้วยกัน “ซื่อจื่อเป็นความสุขของราษฎรหลินเฉิงจริงๆ ข้าขอใช้โอกาสตรงนี้ขอบพระคุณซื่อจื่อ”

 

 

ทั้งสี่ปรึกษากันเรื่องการจัดการผู้ประสบภัย และสถานการณ์หลังจากจัดการโรคระบาดเสร็จแล้วอยู่ ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม จางเจ๋อหวยกับภรรยาจึงขอตัวลา ตอนที่กำลังจะไป อวี้อวี่จับมือของเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้น “แม่นางเมิ่ง หวังว่าเมื่อใดที่เจ้ามีเวลาว่างก็ขอให้ไปนั่งเล่นที่จวนของข้าสักหน่อย ข้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยด้วยมากมายเหลือเกิน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบรับไป

 

 

แต่ว่าในเวลาต่อมา นางไม่มีเวลาว่างเลย เพราะว่าถึงแม้จะออกมาตรการป้องกันไปแล้ว โรคก็ยังคงระบาดอยู่เนืองๆ ระบาดติดต่อกันไปเรื่อยๆ และคนที่ติดโรคในเวลานี้ไม่ว่าจะกินยาลงไปมากเท่าใดก็ไม่เป็นผล แล้วก็จะตายในเวลาไม่นาน

 

 

หมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ หาต้นตอของสาเหตุไม่พบ รีบรนทำอะไรไม่ถูกไปหมด จึงต้องมาขอความช่วยเหลือจากเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

หวงฝู่อี้เซวี่ยนก็ต้องไปดูที่สถานลี้ภัยด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

มีประวัติติดเชื้อมาก่อน กลัวก็แต่เขาจะติดเชื้อซ้ำสอง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยื่นข้อเสนอให้เขาสองข้อ อย่างแรกคือรีบออกเดินทางกลับเมืองหลวงโดยทันที อย่างที่สองคืออยู่แต่ในห้องห้ามออกมา เรื่องที่เหลือนางจะจัดการเอง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ยอมเป็นธรรมดา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ถกเถียงเขาแต่อย่างใด ไม่ทันได้พูดอะไรก็สั่งให้กัวเฟยเตรียมรถม้ากลับเมืองหลวงโดยทันที

 

 

ดูท่านางจะส่งเขากลับเมืองหลวงจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนจึงจำต้องประนีประนอมกำชับว่า “เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วยเช่นกัน”

 

 

ช่วงเวลาครึ่งเดือนต่อมา เมิ่งเชี่ยนโยวนำหมอหลวงเจียงและคนอื่นๆ อีกห้าคนมาด้วยตนเอง นำผู้ประสบภัยที่อยู่ด้านในย้ายออกมาก่อน แล้วเอายาเข้ามาฆ่าเชื้อจนหมดจด ตรวจดูทีละคนอย่างละเอียด เมื่อตรวจพบอะไรที่ผิดปกติ ก็ต้องเอาไปกักตัวโดยทันที ป้องกันไม้ให้เกิดการแพร่กระจายต่อกันอีก

 

 

ในทุกวัน นางต้องออกจากบ้านแต่เช้ากลับถึงบ้านตอนดึก ยุ่งวุ่นวายอยู่สิบวัน ถึงจะตรวจโรคให้ผู้ประสบภัยได้จนหมด แล้วจึงไม่มีผู้ใดติดเชื้อต่อจากนี้อีก

 

 

คนที่ติดเชื้อ ก็ได้รับการดูแลจากหมอเป็นอย่างดี จึงไม่มีใครตาย

 

 

มาถึงตอนนี้ ชื่อของเมิ่งเชี่ยนโยวได้ถูกสลักไว้ในใจของชาวบ้านหลินเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ได้รับความเคารพจากผู้คนเสมอ

 

 

ข่าวนี้ก็ได้ถูกส่งผ่านองครักษ์หลวงไปยังฮ่องเต้ด้วยเช่นเดียวกัน ได้ยินว่าตอนที่ฮ่องเต้ได้ฟังรายงานจากองครักษ์หลวงในห้องทรงพระอักษรนั้น ก็สั่งให้ขันทีผู้ดูแลและนางสนมออกไปจนหมด แล้วนั่งอยู่ข้างในคนเดียว คิ้วขมวดเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

และการกระทำของฮ่องเต้ครั้งนี้ก็ถูกส่งไปยังท่านอ๋องฉี ในขณะที่กำลังคิดว่าฮ่องเต้กำลังคิดอะไรอยู่นั้น ก็บอกให้ส่งคำสั่งไปที่หวงฝู่อี้เซวียนโดยทันที ให้เขารีบกลับเมืองหลวงในเร็ววัน

 

 

ผู้ประสบภัยได้รับการจัดการแล้ว ไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น โรคระบาดก็ควบคุมอยู่แล้ว ไม่มีผู้ได้รับเชื่อแล้ว ราชโองการของฮ่องเต้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังเตรียมตัวกลับเมืองหลวงไปรายงาน ก็ได้รับสาสน์จากอ๋องฉี จึงปรึกษากับเมิ่งเชี่ยนโยวว่าจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้นทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สงสัยอะไร ให้ชิงหลวนส่งจดหมายไปที่อวี้อวี่ บอกนางว่าพรุ่งนี้ตนจะกลับเมืองหลวงแล้ว รอครั้งหน้ามาหลินเฉิง จะไปนั่งเล่นที่บ้านของนางอย่างแน่นอน

 

 

หลังจากนั้นก็สั่งให้คนเก็บของ วันพรุ่งก็จะเดินทางกลับเมืองหลวงกับหวงฝู่อี้เซวียนไปอย่างเงียบๆ

 

 

ถึงตอนที่จางเจ๋อหวยและชาวบ้านหลินเฉิงจะมาส่งพวกเขากลับ ในห้องก็ไม่มีคนอยู่แล้ว

 

 

ชาวบ้านต่างก็ชื่นชมกันใหญ่

 

 

และเหวินซื่อที่กลับมาพร้อมกันก็เอาแต่นั่งโม้อยู่บนรถม้า “ทำเรื่องดีไว้ขนาดนี้ เวลาจะไปกลับไปเหมือนโจรซะอย่างนั้น ยังต้องออกมาแบบลับๆ ล่อๆ อีก”

 

 

แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา

 

 

ตอนมาต้องมาอย่างรีบร้อน แต่ตอนกลับไม่ต้องรีบแล้ว ควรนอนโรงเตี๊ยมก็นอนโรงเตี๊ยม ควรกินก็กิน ใช้เวลาสามวัน ถึงเดินทางมาถึงประตูเมือง

 

 

พระชายาฉีได้ยินว่าพวกเขาจะกลับมาถึงในวันนี้ เลยอดจนไม่ไหว มาต้อนรับที่หน้าประตูเมืองด้วยตนเอง เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้เป็นอะไร ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่กำลังจะลากเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่จวนอ๋องฉี ก็มีขันทีผู้ดูแลคนหนึ่งขี่ม้าเข้ามา ถึงตรงหน้าพระชายาฉี ลงจากม้า แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ท่านและแม่นางเมิ่งเข้าเฝ้าขอรับ”