พระชายาฉีได้ยินดังนั้น นึกขึ้นได้ถึงเรื่องการตอบสนองของฮ่องเต้ในวันนั้น ในใจจึงเกิดระแวง แล้วถามว่า “กงกงรู้หรือไม่ว่าฮ่องเต้เรียกเซวียนเอ๋อร์และเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใด”

 

 

กงกงที่มาประกาศราชโองการโน้มตัวตอบกลับว่า “ตอบพระชายาฉี กระหม่อมมิทราบ”

 

 

ใจของพระชายาฉียิ่งกระวนกระวายเข้าไปใหญ่

 

 

แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับไร้ซึ่งความกลัว ตอบกลับกงกงไปว่า “ท่านกลับไปรายงานว่าข้ากับโยวเอ๋อร์จะตามไปทีหลัง”

 

 

กงกงตอบรับ แล้วขึ้นขี่ม้ากลับพระราชวังไป

 

 

พระชายาฉีรีบสั่งชิงหลวน “เจ้ารีบกลับไปรายงานท่านอ๋อง ว่าข้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับเซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์ บอกให้เขารีบตามไปที่พระราชวังด้วย”

 

 

ชิงหลวนตอบรับ และรุดไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เห็นสีหน้าร้อนรนของนาง หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ได้ห้าม

 

 

เมื่อทุกคนเตรียมตัวสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็ขึ้นรถม้า มุ่งหน้าไปสู่พระราชวัง มีก็แต่จูหลีและกัวเฟยที่คอยอยู่ทางนี้

 

 

องครักษ์ลับและองครักษ์เงาต่างก็กลับไปที่หนานเฉิงและจวนอ๋องฉี ส่วนเหวินซื่อหลังจากสั่งให้คนที่ร่วมเดินทางไปกับตนกลับไปที่ร้านยาเต๋อเหรินแล้ว ตนก็กลับไปที่จวนเหวิน

 

 

เมื่อมาถึงประตูพระราชวัง ลงจากรถม้า ทั้งสามคนเดินเข้าพระราชวัง

 

 

ทหารเฝ้ายามที่อยู่ตรงหน้าประตูได้หยุดเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ แล้วถามอย่างเกรงใจว่า “แม่นางท่านนี้ มีอาวุธอยู่ที่ตัวหรือไม่ หากมีก็นำออกมาด้วยขอรับ”

 

 

เข้าเฝ้าจะต้องตรวจร่างกายอยู่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้พกอาวุธเข้าไปทำร้ายฮ่องเต้ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ข้อนี้ดี ไม่ได้พูดอะไร เอามีดพกที่ติดตัวสองเล่มออกมา ส่งให้กับทหารเฝ้ายาม

 

 

ทหารเฝ้ายามรับมา เพราะนางเป็นคนของซื่อจื่อ เลยไม่สะดวกที่จะค้นตัว มองดูร่างกายของนาง รู้สึกว่านางไม่ได้มีอาวุธอย่างอื่นอีก เลยปล่อยเข้าไป

 

 

ทั้งสามคนเข้าไปด้านในพระราชวัง ก็มีขันทีผู้ดูแลยืนรออยู่ที่ประตูแล้ว

 

 

เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา ก็เข้าไปต้อนรับโดยทันที ทำความเคารพพระชายาฉี แล้วบอกว่า “พระชายาฉี ฮ่องเต้เรียกตัวซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งมาเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร ท่าน…?”

 

 

ห้องทรงพระอักษรเป็นห้องที่ฮ่องเต้ไว้ใช้ทรงงาน ไม่สามารถปล่อยให้ผู้หญิงเข้าไปได้โดยง่าย ขนาดฮองเฮาและไทเฮายังไม่สามารถ แต่วันนี้กลับให้เมิ่งเชี่ยนโยวตามหวงฝู่อี้เซวียนไปเข้าเฝ้าได้ พระชายาฉีก็ชะงักไป แล้วยิ้มออกมาว่า “ข้าไม่ได้เข้าวังมาเยี่ยมเสด็จแม่เป็นเวลานานมากแล้ว พอดีเลยได้โอกาสเข้าไปเยี่ยม รอให้ทั้งสองคนเสร็จธุระแล้ว รบกวนกงกงส่งคนไปบอกข้าด้วย”

 

 

กงกงตอบรับ “เช่นนี้ก็แล้วไป เรื่องนี้กระหม่อมจัดการให้ได้ พระชายาฉีไปตำหนักไทเฮาให้สบายใจเถิด กระหม่อมจะพาซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งเข้าไปเข้าเฝ้าก่อน”

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า “รบกวนกงกงแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยว เดินตามหลังกงกงมา

 

 

ทั้งสามคนเดินได้ระยะหนึ่ง พระชายาฉีก็หันหลัง แล้วมุ่งหน้าเดินไปที่ตำหนักไทเฮา

 

 

เดินไปได้ครึ่งทาง ก็มีเกี้ยวหนึ่งผ่านมา พระชายาฉีและหลิงหลงจึงหยุด แล้วยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง รอให้เกี้ยวผ่านไปก่อนค่อยเดินต่อ

 

 

แต่ไม่คิดว่าเกี้ยวจะหยุดอยู่ที่ตรงหน้านาง สาวใช้เปิดม่านออก จึงเห็นเฮ่อกุ้ยเฟยนั่งอยู่ด้านใน

 

 

หลิงหลงทำท่าตกใจ จึงคุกเข่าลงคำนับ

 

 

แต่สีหน้าของพระชายาฉีไม่ได้เปลี่ยนไป ทำความเคารพนาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งว่า “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”

 

 

เฮ่อกุ้ยเฟยไม่ได้พูดอะไร

 

 

ท่าทีพระชายาฉีที่กำลังทำความเคารพอยู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป

 

 

หลิงหลงตื่นเต้นเข้าไปใหญ่

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เฮ่อกุ้ยเฟยถึงได้พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้นว่า “ลุกขึ้นเถอะ”

 

 

พระชายาฉีลุกขึ้น แล้วพูดขอบคุณ “ขอบพระทัยกุ้ยเฟย”

 

 

หลิงหลงก็ยืนขึ้นด้วย

 

 

เฮ่อกุ้ยเฟยจึงวกกลับมาถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “วันนี้เจ้าเข้าวังมามีเรื่องอันใดงั้นรึ”

 

 

“ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเสด็จแม่นานแล้ว วันนี้เลยมาเยี่ยมเยียนท่านเป็นโดยเฉพาะ”

 

 

พระชายาฉีตอบกลับ

 

 

“ไปเถอะ ข้าก็เพิ่งจะกลับมาจากตำหนักไทเฮา นางคิดถึงเจ้าจะตายแล้ว”

 

 

พระชายาฉีตอบรับ แล้วยืนหลบไปอีกทาง

 

 

เฮ่อกุ้ยเฟยโบกมือ สาวใช้ปิดม่าน พวกขันทีก็ยกเกี้ยวเดินออกไป

 

 

พระชายาฉีถึงได้เดินหน้าต่อ หลิงหลงพูดกับนางด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พระชายา…”

 

 

เลยหันหลังไปดูด้วยความสงสัย กลับเห็นหลิงหลงยืนตัวสั่นเทาอยู่กับที่ เพราะว่านางตกใจมาก จึงหันหลังเดินกลับไปหานาง แล้วปลอบใจนางว่า “ไม่เป็นไร ครั้งที่แล้วนางได้รับโทษไปแล้ว จะไม่ทำอะไรข้าอย่างโจ่งแจ้งได้อีกแน่นอน”

 

 

หลิงหลงพยักหน้า อาการดีขึ้นเล็กน้อย จึงตามพระชายาฉีมุ่งหน้าไปที่ตำหนักไทเฮา

 

 

ส่วนเฮ่อกุ้ยเฟยในตอนนี้มีสีหน้าโกรธแค้น ครั้งที่แล้วที่โดนกักบริเวณสามเดือน เมื่อนางออกมา นางก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป มันไม่ง่ายเลยที่จะได้รับความสนใจจากฮ่องเต้อีกครั้ง จะอย่างไรนางก็ไม่กล้ามีเรื่องกับพระชายาฉีอีกแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูด จึงพึมพำกับตัวเองว่า “รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะจัดการกับพวกเจ้าให้จงได้ ให้เจ้าร้องขออ้อนวอนอยู่แทบเท้าของข้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงห้องทรงพระอักษร หลังจากที่ผู้ดูแลเขาไปรายงาน ก็ออกมาบอกว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ฮ่องเต้เรียกตัวพวกท่านเข้าไปด้านใน”

 

 

ทั้งสองคนเข้าไปที่ห้องทรงพระอักษร หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพ “เสด็จลุง”

 

 

ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวคุกเข่าลงที่พื้น โค้งคำนับโดยการเอาศีรษะจรดพื้น “หม่อมฉันสาวชาวบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวขอคาราวะฮ่องเต้”

 

 

ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร แต่ใช้สายตาเฉียบแหลมมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงโค้งคำนับอยู่อย่างนั้น แต่ในใจกลับกร่นด่าจนไม่เป็นชิ้นดี บ้าเอ้ย ถ้าหากว่าอยู่ในโลกอนาคตแล้วมีคนกล้าทำแบบนี้กับแม่ล่ะก็ แม่จะจัดการให้ตายไปเลย ตายไปหลายๆ รอบเชียวแหล่ะ

 

 

แต่ว่าก็ทำได้เพียงแค่กร่นด่าในใจเท่านั้น ภาพที่เห็นนางก็ยังดูเคารพฮ่องเต้อยู่ ใครใช้ให้เป็นสมัยที่ฮ่องเต้เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดที่สุดล่ะ

 

 

ในห้องทรงพระอักษรเงียบสงัด นางในและขันทีที่อยู่ด้านข้างตกใจจนแทบไม่กล้าหายใจ

 

 

และในที่สุด หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวด่าไปแล้วหลายรอบนั้น ฮ่องเต้จึงได้ตรัสขึ้นว่า “ตามสบายเถอะ”

 

 

นางขอบคุณ ลุกขึ้น แล้วไปยืนอยู่ทางด้านข้างหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

“เก้าอี้!”

 

 

ขันทีตอบรับ เลยยกเก้าอี้เบาะนุ่มมาวางไว้ที่ด้านหลังของทั้งสองคน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงอย่างไม่มีความเกรงใจ

 

 

เมื่อเห็นนางไม่ได้มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย ฮ่องเต้จึงหรี่ตามองนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของเขา แต่ว่าเขาไม่ได้ถาม นางก็เลยเอาแต่ก้มหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป ไม่ได้พูดอะไร

 

 

“เซวียนเอ๋อร์ บรรเทาสาธารณภัยครั้งนี้ทำได้ไม่เลวเลย ชาวบ้านและขุนนางท้องถิ่นที่หลินเฉิงต่างชมเจ้าไม่ขาดปาก ลำบากเจ้าแล้วล่ะ”

 

 

“แบ่งเบาภาระของเสด็จลุงเป็นหน้าที่ของหลานอยู่แล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด

 

 

คำพูดนี้ทำให้ฮ่องเต้ถูกใจยิ่งนัก หัวเราะออกมา บอกว่า “เซวียนเอ๋อร์อยากได้อะไรเป็นของรางวัลล่ะ บอกมาได้เลย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น ก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วคุกเข่าหน้าโต๊ะทำงานของฮ่องเต้ “เสด็จลุง ข้าอยากขอราชโองการแต่งงานกับโยวเอ๋อร์ ขอให้เสด็จลุงอนุญาตด้วยเถิด”

 

 

ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดแบบนี้ ฮ่องเต้จึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง แล้วพูดด้วยวาจากึ่งยอมว่า “นี่ไม่มีอะไรยาก ข้าได้รับปากเสด็จพ่อของเจ้าไว้แล้วเมื่อหลายเดือนก่อนว่าจะแต่งตั้งแม่นางเมิ่งนี้ให้เป็นอนุของเจ้า เดี๋ยวข้าจะออกราชโองการเดี๋ยวนี้ ทำให้ความฝันของเจ้าเป็นจริง”

 

 

“เสด็จลุง” หวงฝู่อี้เซวียนพูดต่อ “หลานอยากขอนางมาเป็นชายาเอก อีกทั้งทั้งชีวิตนี้จะขอมีนางเพียงคนเดียว ไม่ขอมีใครอีก ขอให้เสด็จลุงทรงโปรดอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้ที่มีรอยยิ้มได้มลายหายไป แล้วมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งที่เก้าอี้มองทางนั้นทีทางนี้ที ราวกับว่าเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนขอราชโองการนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง

 

 

ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยเล็กน้อย จึงถามด้วยน้ำเสียงที่โกรธและดุดันว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าจะว่าอย่างไร”

 

 

ไม่ง่ายเลยที่ได้ลุกขึ้นมา แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงคุกเข่าลงไป แล้วตอบกลับไปว่า “กราบทูลฝ่าบาท ตอนที่อี้เซวียนจัดการโรคระบาดอยู่ที่หลินเฉิง หม่อมฉันได้บอกกับเขาไว้ว่าชีวิตนี้พวกเราจะไม่แยกจากกัน เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะต้องอยู่ด้วยกันเพคะ”

 

 

ข่มขู่ นี่เป็นการข่มขู่ สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มเคร่งขรึมขึ้น มีความโกรธแผ่ออกมาจากตัว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ไม่ได้ก้มหน้า แต่ว่ามองไปที่เขาอย่างไม่มีความเกรงกลัวใดๆ แล้วพูดอีกว่า “หม่อมฉันไม่ได้สนใจฐานะ แต่ว่าหม่อมฉันขี้หึงหวง ในเมื่อเขาสัญญากับหม่อมฉันไว้แล้วว่าชีวิตนี้เขาจะมีหม่อมฉันเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นเขาห้ามไปมีใครอีก มิเช่นนั้นหม่อมฉันจะอดไม่ได้ที่จะลงมือเอง”

 

 

คำพูดนี้เป็นการราดน้ำมันลงบนไฟชัดๆ ฮ่องเต้โกรธจนทุบโต๊ะทรงงาน พูดว่า “บังอาจ กล้าขู่ข้าอย่างนั้นรึ”

 

 

หนังสือรายงานบนโต๊ะได้รับแรงสั่นสะเทือนจนตกลงมาด้านล่าง นางในและขันทีทั้งหลายต่างก็ตกใจจนก้มคุกเข่าลงที่พื้น

 

 

แต่เมิ่งเชี่ยนโยวทำเป็นไม่ได้รู้สึกถึงความโกรธของเขาอย่างใดอย่างนั้น ยืนหลังตรงพูด “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็แค่พูดความจริงก็เท่านั้น ไม่กล้ามีความคิดอื่นใดเลยเพคะ”

 

 

ในขณะที่ฮ่องเต้กำลังโกรธ ก็ถามว่า “เจ้าไม่กลัวข้าสั่งประหารเจ้าอย่างนั้นรึ”

 

 

“ถ้าฮ่องเต้ต้องการชีวิตของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะทูลเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปโอย่างไม่สะทกท้าน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้

 

 

“อย่าคิดว่าเจ้าช่วยจัดการโรคระบาด ได้คำสรรเสริญจากชาวเมืองหลินเฉิงแล้วข้าจะไม่กล้าลงมือนะ ข้ามีคุณธรรมล้ำเลิศ คำพูดศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้พูดเพียงเพื่อขู่เจ้าอย่างแน่นอน”

 

 

“หม่อมฉันมิกล้า การที่หม่อมฉันไปจัดการโรคระบาดที่หลินเฉิง ตอนแรกก็เพื่อไปช่วยอี้เซวียนก็เท่านั้น ไม่ได้มีความคิดอยากได้ชื่อเสียงแต่อย่างใด และก็ไม่ได้มีความคิดให้ใครมาสรรเสริญ ยิ่งไม่ได้คิดเลยว่าจะต้องเอาเรื่องนี้มาขอราชโองการแต่งงานจากฮ่องเต้ด้วย”

 

 

ฮ่องเต้เผยสีพระพักตร์ว่าไม่เชื่อนาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “หม่อมฉันกับอี้เซวียนรักใคร่ปรองดองกัน เคยสาบานเอาไว้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็จะไม่แยกจากกัน แต่ถ้าหากว่าฮ่องเต้มีเจตนากีดกันล่ะก็ หม่อมฉันมีข้อเสนออย่างอื่นมาแลก ไม่ทราบว่าฮ่องเต้จะตอบรับหรือไม่เพคะ”

 

 

ฮ่องเต้หรี่ตาลง แล้วใช้สายตาดุดันมองไปที่นาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่หลบแต่อย่างใด มองกลับไป รอคำตอบจากเขา

 

 

จริงๆ แล้วฮ่องเต้ได้เตรียมราชโองการแต่งงานไว้ให้แล้ว วันนี้ที่เรียกมาก็เพื่อที่จะดูตัวเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าหญิงสาวชาวบ้านคนนี้ จะทำให้เขาละสายตาไปจากนางไม่ได้เลย หลังจากที่เข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก็ไม่ได้มีทีท่าตกใจหรืออะไร พอทำความเคารพเสร็จ ก็ไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจเงยหน้ามองมาที่เขา นางเพียงนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ อี้เซวียน ถ้าหากว่าไม่ถามนาง นางก็จะทำเป็นเหมือนไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนี้อย่างไรอย่างนั้น

 

 

ความเงียบสงบนี้ ทำให้เขารู้สึกดีกับเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นมาไม่น้อย วันนี้นางกล้าที่จะยื่นข้อเสนอให้กับตน แค่ความกล้านี้ก็ทำให้ฮ่องเต้ชื่นชมแล้ว ไม่น่าล่ะขนาดน้องชายของฮ่องเต้ยังมาขอราชโองการแต่งงานด้วยตนเอง เป็นเพราะนางแตกต่างจากคนอื่น ลักษณะท่าทางแบบนี้ ไม่เหมือนกับหญิงสาวในวังเลยสักนิด

 

 

ในใจคิดเช่นนี้ ความโกรธที่แสดงอยู่ทางสีหน้าก็ค่อยๆ มลายหายไป โบกมือทำสัญญาณให้หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้น รอให้เขาเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้แล้วจึงถามว่า “เจ้ามีข้อแลกเปลี่ยนอะไรจะมาแลกกับข้า ข้าชักจะอยากรู้แล้วล่ะสิ”

 

 

นางในและขันทีเมื่อเห็นฮ่องเต้ไม่ได้โกรธเมิ่งเชี่ยนโยวถึงขนาดที่ต้องสั่งเอาตัวไปตัดหัว จึงประหลาดใจเป็นอย่างมาก ก้มหน้าก้มตามองหน้ากันไปมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพูดว่า “ชาวเมืองหลินเฉิงได้รับความทุกข์ยาก ความบรรเทาของราชสำนักก็ทำได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ผ่านไปไม่กี่เดือน ผู้คนที่ไม่มีผลผลิตทางการเกษตรก็คงจะต้องตายเพราะไม่มีอะไรกิน ไม่แน่อาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นได้ ในมือของหม่อมฉันมีมันฝรั่งที่เป็นผลผลิตในระยะเวลาสองปีสองฤดูกาล ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิเหมาะการแก่การเพาะปลูก ถ้าหากว่าฝ่าบาทตอบรับเรื่องงานแต่งงานของหม่อมฉันกับอี้เซวียน หม่อมฉันก็จะเอามันฝรั่งทั้งหมดที่มีมาถวายเป็นเมล็ดพันธุ์ ให้ชาวเมืองหลินเฉิงเอาไปปลูก เมื่อสามเดือนผ่านไป ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นผลผลิตในฤดูกาลแรกเพคะ”

 

 

คำพูดของนาง ทำให้ฮ่องเต้สะดุ้งเล็กน้อย ท่าทางอาการของฮ่องเต้ก็ไม่ได้นิ่งอีกต่อไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “เจ้าพูดจริงอย่างนั้นรึ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “หม่อมฉันมิกล้าโกหก หม่อมฉันมีโรงงานผลิตแป้งมันฝรั่งอยู่ทั่วรัฐอู่รวมทั้งสิ้นยี่สิบกว่าโรง ถ้าหากว่าฮ่องเต้ตอบรับ หม่อมฉันก็จะปิดโรงงานชั่วคราว แล้วเอามันฝรั่งที่เหลือมาถวาย และทางนอกเมืองเป่ยเฉิง หม่อมฉันยังมีไร่มันฝรั่งอยู่อีกห้าร้อยหมู่ สามเดือนผ่านไป นอกจากเมล็ดพันธุ์แล้ว ยังสามารถนำผลผลิจทั้งหมดมาถวายได้”

 

 

แป้งมันฝรั่งพวกนี้ รายได้แต่ละปีเป็นเงินไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวพูดออกไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่องกำไรเลย ทำให้ฮ่องเต้เกิดประทับใจในตัวนาง แล้วพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นเล็กน้อยว่า “เช่นนี้ เจ้าก็เสียหายมากมายเลยน่ะสิ”

 

 

“เงินทองเป็นของนอกกาย ถ้าหากว่าฮ่องเต้ตอบตกลงเรื่องงานแต่งงานของพวกเรา หลังจากนั้นก็ต้องแต่งงานเข้าจวนอ๋องฉี มีกินมีใช้ไม่ขาดอย่างแน่นอน หม่อมฉันจะอยากได้เงินทองมากมายขนาดนั้นไปทำไมกันเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเล่นได้ถูกเวลาจริงๆ

 

 

ทำให้ฮ่องเต้หัวเราะออกมา แล้วตอบตกลงโดยทันที “ได้ ข้าตกลงเรื่องงานแต่งงานของพวกเจ้า จะออกราชโองการให้เดี๋ยวนี้ แต่ว่า เจ้าเป็นประชาชนคนธรรมดา แต่งงานกับเซวียนเอ๋อร์ ก็ออกจะผิดธรรมเนียมของราชวงศ์ไปหน่อย เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะออกราชโองการอีกฉบับ แต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิงชิงเหอ ให้ที่นาเจ้าหนึ่งพันหมู่ ทองหนึ่งพันชั่ง หยก และเครื่องประดับอีกห้าสิบชุด ถือว่าเป็นการชดใช้ค่าเสียหายที่เจ้าได้เสียไปก็แล้วกัน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนดีใจเป็นอย่างมาก คุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างๆ เขา แล้วกล่าวขอบคุณจากใจจริง “ขอบพระทัยฮ่องเต้เพคะ!”

 

 

เมื่อเห็นนางมีทีท่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากตอนแรก ฮ่องเต้ก็หัวเราะออกมาเสียงดังกันเลยทีเดียว