ตอนที่ 203-1 จะไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางอีก

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

อ๋องฉีรีบมาที่ห้องทรงพระอักษรได้ยินเสียงหัวเราะของฮ่องเต้ ก็ใจชื้นขึ้นมาทันที

 

 

กงกงที่ยืนรออยู่ทางด้านหน้าก็รีบเข้ามา บอกเรื่องน่ายินดีให้แก่ท่านอ๋อง “ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วย ดูท่าแล้วอีกไม่นานจวนท่านอ๋องจะมีงานมงคลแล้ว”

 

 

ท่านอ๋องได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก เลยลูบที่เอวไปมา พอดีรีบออกมาจึงไม่ได้พกตั๋วเงินมาด้วย จึงหยิบหยกที่ห้องอยู่เอวมาส่งให้กงกงผู้ดูแล

 

 

“อัยหยา ข้าน้อยขอขอบพระคุณท่านอ๋อง” กงกงผู้ดูแลพูดด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมพลางรับหยกมา

 

 

“ข้าจะไปรับพระชายาฉีที่ตำหนักไทเฮา กงกงก็ทำเป็นว่าข้าไม่ได้มาที่นี่ ไม่จำเป็นต้องไปรายงานเสด็จพี่”

 

 

กงกงผู้ดูแลตอบรับ

 

 

อ๋องฉีหันหลังมุ่งหน้าไปที่ตำหนักไทเฮาทันที

 

 

กงกงผู้ดูแลเอาหยกที่ได้มาพลิกดู ดีใจเป็นที่สุด แล้วก็ยืนที่หน้าประตูห้องทรงพระอักษรเช่นเดิม

 

 

 

 

วันถัดมา ฮ่องเต้ออกราชโองการขึ้นมาสองฉบับ ฉบับแรกส่งไปที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยว เป็นพระราชโองการแต่งตั้งนางให้เป็นองค์หญิงชิงเหอ อีกฉบับส่งไปที่จวนอ๋องฉี เป็นราชโองการสมรส เนื้อความว่า แต่งตั้งให้องค์หญิงชิงเหอเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นภรรยาหลวงของหวงฝู่อี้เซวียน วันแต่งงานถูกกำหนดไว้ที่เดือนสิบ

 

 

เมื่อสองราชโองการนี้ประกาศออกไป ก็เป็นที่เล่าลือกันไปทั่วทั้งเมืองหลวง ถึงหูของทุกภาคส่วนในชั่วพริบตา ทุกคนต่างบอกให้ลูกหลานและฮูหยินของตนให้คิดหาวิธีไปทำความรู้จักเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้

 

 

ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น ได้แต่เขียนจดหมายกับเมิ่งอี้ทั้งวันทั้งคืนเพื่อส่งให้กับเถ้าแก่ร้านแป้งมันในแต่ละพื้นที่ ให้พวกเขาปิดร้านทันทีหลังจากที่ได้รับจดหมาย แล้วเอาบันทึกรายรับจ่ายของคลังกักตุนสินค้ามารายงานที่เมืองหลวง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ขอให้เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีช่วยเขียนจดหมาย เขียนถึงที่ไปมาที่มาตามความจริงบอกเล่าเรื่องกับพวกเขา แล้วให้กัวเฟยเอาไปส่งให้ครบทุกที่ทั้งวันทั้งคืน

 

 

กัวเฟยยังไม่ทันถึงบ้าน ข่าวที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงชิงเหอก็ได้พูดต่อกันมาเรื่อยๆ

 

 

เมิ่งซื่อได้ยินเข้าก็ดีใจจนแทบจะเป็นลมล้มไป ไม่คิดว่าในตอนที่นางมีชีวิตอยู่นั้น เมิ่งเชี่ยนโยวจะได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นองค์หญิง เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลเมิ่งโดยแท้จริง

 

 

เมิ่งจงจวี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็อ้ำอึ้งไปโดยปริยาย ครู่หนึ่งถึงจะกลับมาเป็นปกติ แล้วหัวเราะ แล้วพูดออกมาได้คำเดียวว่า “ดีๆ!”

 

 

เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาก็อึ้งไปด้วย ถึงขั้นไม่ได้ทักทายผู้ใหญ่บ้านที่มาส่งข่าวด้วยตัวเอง ยืนอึ้งอยู่กับที่

 

 

เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็ตกใจไม่น้อย แต่เป็นห่วงเสียมากกว่า เพียงเวลาแค่ไม่กี่เดือน จากที่ฮ่องเต้ไม่เคยจะยินยอม แต่ตอนนี้แต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง พระราชทานงานแต่งงานให้ เปลี่ยนแปลงไปเร็วเสียเหลือเกิน ระหว่างนี้จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

จนกระทั่งกัวเฟยเอาจดหมายมาส่งที่บ้าน ทั้งสองคนถึงจะเข้าใจ ที่แท้เป็นการแลกเปลี่ยนนั่นเอง แต่ว่าเอาสิ่งเหล่านี้ไปแลกกับการแต่งงานของน้องสาว อย่างไรก็คุ้มค่าอยู่แล้ว ทั้งสองคนก็ดำเนินการตามทันที หยุดโรงงาน แล้วเอามันฝรั่งที่เหลือมาเก็บเอาไว้ รอจดหมายฉบับต่อไปของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

อย่างแรก ตระกูลเมิ่งกลายเป็นที่รู้จักของชาวอำเภอชิงเหอ คนที่มีชื่อเสียงของอำเภอก็มาขอเข้าพบเป็นระยะ

 

 

คนในตระกูลเมิ่งต้อนรับกันไม่หวาดไม่ไหว เหน็ดเหนื่อยกันอย่างมาก

 

 

โรงงานแป้งมันทางเป่ยเฉิงก็หยุดงานแล้วเช่นเดียวกัน ไม่มีการทำงานเกิดขึ้น คนงานในโรงงานก็เกิดความกังวลขึ้นมาทันที เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงปัญหานี้ไว้แต่แรกแล้ว ในขณะที่ให้เมิ่งอี้อยู่ที่เมืองหลวงรอรับการรายงานจากเถ้าแก่ร้านแป้งมันทั้งหลายนั้น ก็เปิดโรงงานเนื้อรมควันและโรงงานพริกเผา และแน่นอนทั้งสองโรงงานนี้ก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของหวงฝู่อวี้

 

 

เป็นคนจน ขอแค่มีงานให้ทำ ไม่ว่างานอะไรก็จะทำ ทำให้ใจของประชาชนชื้นขึ้นมาในทันที

 

 

เรื่องราวต่างๆ จัดการเรียบร้อยแล้ว เลยไปที่หมู่บ้านนอกเมือง ดูว่ามันฝรั่งปลูกไปถึงไหนแล้ว และกำชับเหวินเปียวและเหล่าองครักษ์ลับว่าจะต้องดูแลมันฝรั่งเหล่านี้ให้เป็นอย่างดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตชาวเมืองหลินเฉิงได้

 

 

เหวินเปียวรู้และเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ พยักหน้ารับประกันว่าจะไม่ทำให้มันฝรั่งเสียหายแน่นอน

 

 

ส่วนที่ฮ่องเต้มอบที่นามาหนึ่งพันหมู่ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวขอเปลี่ยนเป็นที่ๆ เมืองเป่ยเฉิงแทน เอาที่ๆ อยู่ไม่ไกลกับที่ห้าร้อยหมู่ของตน

 

 

ฮ่องเต้รู้ว่าที่ๆ เมืองเป่ยเฉิงเป็นที่ราบเรียบ จึงประทานให้ไปอีกห้าร้อยหมู่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมาดูที่นาเหล่านั้น ตัดสินใจว่าหลังจากที่กลับมาจากหลินเฉิงแล้ว จะให้ชาวบ้านที่เป่ยเฉิงมาทำงานบุกเบิกที่นี่

 

 

พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามวัน เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนนำองครักษ์ลับออกเดินทาง หลังจากนั้นสองวันก็มาถึงที่หลินเฉิง

 

 

จางเจ๋อหวยได้ข่าว ก็เลยพาชาวบ้านหลินเฉิงมาต้อนรับที่หน้าประตู เมื่อเห็นทั้งสองคนลงจากรถม้า ก็คุกเข่าลง “ข้าน้อยจางเจ๋อหวยพาชาวบ้านหลินเฉิงมาต้อนรับซื่อจื่อและองค์หญิงชิงเหอ”

 

 

และทุกคนก็ทำความเคารพตามด้วยเช่นกัน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเขาขึ้นมาด้วยตนเอง “ใต้เท้าจาง อย่าทำความเคารพเช่นนี้อีกเลย ลุกขึ้นเถิด”

 

 

จางเจ๋อหวยลุกขึ้น บอกว่า “ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งไม่เพียงแต่จัดการโรคระบาดได้ ยังหาทางอยู่รอดมาให้แก่ชาวบ้านอีกด้วย ข้าน้อยทำความเคารพในครั้งนี้นั้นมาจากใจจริง ชาวบ้านหลินเฉิงก็เต็มใจด้วยเช่นเดียวกัน”

 

 

ชาวบ้านต่างก็ตอบรับเห็นด้วย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกมา แล้วทำท่าให้ทุกคนลุกขึ้น “เชิญทุกคนลุกขึ้นเถิด”

 

 

ทุกคนลุกขึ้น แล้วรุมล้อมเขาทั้งสองคนเข้าเมือง

 

 

จางเจ๋อหวยก็จัดการให้พวกเขาเข้าไปอยู่ที่ห้อง หลังจากนั่งลงจึงพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ องค์หญิง รีบเดินทางมาหลายวัน ทั้งสองคนพักผ่อนเสียก่อนเถอะ รอถึงพรุ่งนี้ข้าจะพาท่านทั้งสองไปดูที่ดิน ว่าจะทำอย่างไรต่อไป”

 

 

ตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ถ้าออกนอกเมืองไปตอนนี้ไม่นานก็จะมืดเสีย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร พยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าจาง ท่านเรียกข้าว่าแม่นางเมิ่งเช่นเดิมเถิดเจ้าค่ะ เรียกองค์หญิง รู้สึกห่างเหินอย่างไรก็ไม่รู้”

 

 

จางเจ๋อหวยตอบรับอย่างดีใจว่า “ข้าก็รู้สึกห่างเช่นเดียวกัน เรียกว่าแม่นางเมิ่งดูใกล้ชิดกว่า”

 

 

เมื่อพูดจบ ก็ถามอีกว่า “ซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งมีอะไรให้ข้ารับใช้อีกหรือไม่”

 

 

“วันนี้ข้าได้เขียนจดหมายตอบกลับไปที่บ้าน หลังจากคนที่บ้านได้รับจดหมายแล้ว ก็ส่งให้คนเอานำมันฝรั่งมา ขอให้ใต้เท้าจางเตรียมพื้นที่ว่างเย็นๆ โล่งๆ เอาไว้ให้ด้วย จะได้เอาไว้เก็บมันฝรั่งเหล่านั้น รอส่งมาเมื่อใด ข้าจะสอนพวกเจ้าดูแลทีละขั้น”

 

 

จางเจ๋อหวยจดจำเรียบร้อยแล้ว จึงถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ซื่อจื่อ คุณชายใหญ่ยังถูกขังเอาไว้ในคุก ข้ากำลังจะส่งคนไปส่งจดหมายถึงท่านว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี ท่านกับแม่นางเมิ่งก็มาพอดี”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง “เจ้าไปปล่อยเขาเถิด ให้เขากับคนของเขากลับไปที่เมืองหลวง ส่วนที่เหลือเจ้าก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”

 

 

จางเจ๋อหวยตอบรับ ลุกขึ้น แล้วขอตัวลาไปที่คุก

 

 

อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมา จางเจ๋อหวยไม่สามารถปล่อยเขาไว้นานได้ นอกจากจะไร้ซึ่งอิสระแล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็พยายามจะไม่มีปัญหากับเขา เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน เฮ่อเหลี่ยนผอมลงมากทีเดียว

 

 

เดินเข้าไปในคุก มาที่ห้องขังของเฮ่อเหลี่ยน จางเจ๋อหวยทำท่าบอกให้ทหารเปิดประตูห้องขังออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอิสระแล้ว ขอเชิญท่านรีบกลับเมืองหลวงเถิด”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาก็ลุกขึ้นมา ก้าวเท้าเดินออกมาจากคุก แล้วจึงตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว “นายอำเภอจาง เจ้ากล้าดีอย่างไรเอาข้าไปขังไว้ในคุกตั้งนาน ดูสิว่าถ้าข้ากลับไปรายงานฮ่องเต้ หัวของเจ้ายังจะอยู่ดีอีกหรือไม่”

 

 

โดนจับขังในคุกเป็นเวลานาน เฮ่อเหลี่ยนไม่รู้เลยสักนิดว่าด้านนอกเปลี่ยนไปมาก จางเจ๋อหวยก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกับเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจเช่นเคย “คุณชายใหญ่ เชิญเถิด”

 

 

องครักษ์เงาที่โดนขังอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน

 

 

เฮ่อเหลี่ยนถอนหายใจ แล้วเดินนำทุกคนออกมาจากห้องขัง เดินไปที่ห้องพักที่ตนเคยอยู่

 

 

มองเขาที่กำลังเดินไกลออกไป จางเจ๋อหวยส่ายหน้า “มหาเสนาบดีเป็นคนที่มีความสามารถมากยิ่งนัก เป็นคนที่คิดวางแผนได้ล้ำเลิศหลักแหลม เพราะเหตุนี้จึงได้เป็นที่โปรดปราณของฮ่องเต้ อาศัยความสามารถของตนเองไต่เต้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีลูกที่ไม่เอาถ่านเช่นนี้ ถ้าหากว่าไม่เห็นว่าเขาเป็นลูกของมหาเสนาบดีล่ะก็ บางทีพอซื่อจื่ออาการดีขึ้นแล้ว ก็อาจจะสั่งให้คนอาเขาไปประหารเสียเลย จะไปไว้ชีวิตเขาให้รอดจนถึงตอนนี้ทำไมกัน”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนเดินมาถึงที่พัก น้ำก็ไม่ได้อาบ ของที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้ให้คนเก็บให้ ขึ้นรถมาไปโดยทันที แล้วสั่งให้คนรถมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงเดี๋ยวนี้

 

 

ด้วยความโกรธเคือง เฮ่อเหลี่ยนบอกให้คนรถเร่งม้าให้วิ่งให้ไวที่สุด ตอนกลางคืนก็ไม่ได้แวะพักที่โรงเตี๊ยม ก็มาถึงในวันที่สามก่อนประตูเมืองจะปิด แล้วรีบเร่งเดินทางไปที่เมืองหลวง

 

 

ยังดีที่มีสมองนิดหน่อย มองไปที่ฟ้า จึงรู้ว่าประตูพระราชวังตอนนี้ก็น่าจะปิดแล้ว เลยล้มเลิกความคิดที่จะไปเข้าเฝ้า แล้วออกคำสั่งให้คนรถเดินทางกลับไปที่บ้าน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาอย่างปลอดภัย แต่กลับไร้ซึ่งข่าวคราวของเฮ่อเหลี่ยน และฮ่องเต้ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรถึงเขาเลยสักนิด เฮ่อจางที่กำลังรักษาตนอยู่ที่บ้านจึงนึกขึ้นได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเฮ่อเหลี่ยนอย่างแน่นอน กำลังจะส่งคนไปสืบเสาะ แต่ก็ได้รับข่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง กับข่าวพระราชทานงานแต่งงานเสียก่อน

 

 

ในขณะที่เฮ่อจางกำลังโกรธอยู่ เลยพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อีกทั้ง เขายังเดาว่า ที่ฮ่องเต้ไม่ถามถึงเลยสักนิด แสดงว่าเฮ่อเหลี่ยนไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็คิดได้อีกว่า สู้ทำเป็นว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะดีเสียกว่า จึงไม่ได้ส่งคนไปสืบ ให้เฮ่อเหลี่ยนผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อน รอให้ฮ่องเต้ไม่โกรธเสียก่อนค่อยว่ากัน คิดไม่ถึงว่า หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไปหลินเฉิงได้ไม่กี่วัน เฮ่อเหลี่ยนก็กลับมา

 

 

อีกทั้งยังกลับมาพร้อมกับความเจ็บแค้นเคืองโกรธ เมื่อเข้ามาในบ้านก็ตะโกน “ท่านพ่อ เจ้าโง่นั่นจับข้าไปขังอยู่ในคุก คิดจะทำร้ายข้า ท่านจะต้องคิดหาวิธีจัดการพวกเขา แก้แค้นแทนข้าให้ได้นะขอรับ”

 

 

เฮ่อจางอยากจะบีบคอเขาให้ตายเสียจริงๆ สายลับของฮ่องเต้มีอยู่ทั่ว แม้แต่ในจวนมหาเสนาบดีก็ไม้เว้น เขาตะโกนเสียงดังเช่นนี้ ถ้าหากว่ามีคนได้ยินเข้า เอาไปรายงานฮ่องเต้ ผลที่จะตามมาช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก

 

 

คิดได้เช่นนี้ จึงพูดออกไปอย่าเกรี้ยวโกรธว่า “สารรูปอย่างเจ้าน่ะหรือ จะทำอะไรได้ ไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาคุยกับข้า”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนตกใจมากจึงรีบหันหลังเดินออกไป กลับมาที่เรือนของตน ให้คนเตรียมน้ำให้อาบ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็สั่งให้คนเอาเสื้อของตนที่เปลี่ยนแล้วไปเผาทิ้งซะ เอาเสนียดจัญไรออกไป แล้วถึงจะมาที่เรือนของเฮ่อจาง

 

 

มาครั้งนี้ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ แล้วทำความเคารพเฮ่อจางอย่างนอบน้อม

 

 

สีหน้าของเฮ่อจางก็ดีขึ้น ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าค่อยๆ เล่าให้ข้าฟังซิ”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง แล้วเล่าเรื่องที่เขาไปถึงเมืองหลินเฉิงแล้วยังไม่ทันได้ทำวิธีที่จะทำให้หวงฝู่อี้เซวียนติดโรคตามที่เขาบอกเลย ก็ได้ข่าวว่าหวงฝู่อี้เซวียนติดโรคเข้าแล้ว แล้วยังกักตนเองที่สถานกักตัวด้วย พอรู้ว่าคนที่ติดเชื้อจะตายภายในสี่ห้าวัน เขาก็ดีใจเป็นอย่างมาก เลยจัดคนไปเฝ้าที่ด้านนอกของสถานกักตัว กลัวก็แต่เมิ่งเชี่ยนโยวจะไปช่วยเขา ไม่อยากจะเชื่อว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็มาจริงๆ แล้วยังสั่งให้คนจับเขาไปขังไว้ในคุกอีก

 

 

เมื่อพูดจบ เฮ่อเหลี่ยนก็ฟ้องอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อ องครักษ์ที่พ่อจัดให้ข้าไม่เห็นจะได้เรื่องเลยสักนิด ขนาดนังเมิ่งเชี่ยนโยวน่าโง่นั่นยังจัดการไม่ได้ แล้วยังมีเจ้าจางเจ๋อหวยนั่นอีก มันรู้ดีว่าว่าข้าเป็นใคร แล้วยังจะช่วยพวกนางอีก ท่านจะต้องคิดหาวิธีกำจัดเขาให้ได้ ข้าถึงจะหายแค้น”

 

 

เห็นท่าทางที่เขายืนเล่าเรื่องหลังขดหลังแข็งไม่หยุดหย่อน เฮ่อจางก็เริ่มโกรธ พูดว่า “เมื่อสี่ปีก่อน องครักษ์ของเราเสียหายไปในตำบลชิงซีกับเสิ่งเฉิงเป็นอย่างมาก พวกนี้เป็นองครักษ์ที่ฝึกขึ้นมาทีหลัง ฝึกได้ขนาดนี้ก็ไม่เลวแล้ว แล้วก็นายอำเภอจางแห่งหลินเฉิงนั่น เป็นคนมีความสามารถดี ฮ่องเต้รู้จักเขาแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีอะไรผิดพลาด พอเขาหมดวาระนี้แล้ว เขาน่าจะโดนโยกย้ายมาที่เมืองหลวง ใช่ว่าเจ้าอยากจัดการก็จัดการได้”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรดี ถ้าเป็นเช่นนี้ ความทุกข์ทรมานที่ข้าได้รับมาหลายวันนี้ก็สูญเปล่า อย่างมากข้าก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงโปรดส่งไป พวกเขาทำเช่นนี้กับข้า ไม่ควรได้รับโทษอย่างนั้นหรอกหรือ”

 

 

เฮ่อจางถอนหายใจอีกหนึ่งครั้ง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันนี้ให้เขาฟัง