บทที่ 2335 รักษา 4 / บทที่ 2336 รักษา 5

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2335 รักษา 4

“ข้าขจัดพิษที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปแล้ว…”

กู้ซีจิ่วสูดหายใจนิดๆ

“เพียงแต่ ยังต้องขอรบกวนคุณชายไผ่ขจีสักเรื่อง ช่วยไปเก็บสมุนไพรสักสามสี่ชนิดมาให้ข้าที…”

คุณชายไผ่ขจีมองเธอด้วยสายตาเปล่งประกาย

“สมุนไพรใด?”

“อินทนิลแดง ผกาลู่ลม…”

กู้ซีจิ่วร่ายชื่อสมุนไพรออกมาแปดอย่าง

“สมุนไพรเหล่านี้คือ?”

“ยาแก้พิษในร่างข้า สมุนไพรเหล่านี้ต้องเป็นของตากแห้งที่สดใหม่ รบกวนคุณชายไผ่ขจีช่วยเก็บทั้งหมดมาภายในวันเดียวด้วย”

สมุนไพรเหล่านี้มิใช่ของหายากอันใด พบเห็นได้ทั่วไปในอาณาจักรมาร ด้วยฝีเท้าของคุณชายไผ่ขจี สามารถเก็บเกี่ยวมาได้ภายในวันเดียว

คุณชายไผ่ขจีพยักหน้ารับ

“ได้!”

เขาเห็นกู้ซีจิ่วที่นอนอยู่ตรงนั้น บนร่างฝังเข็มไว้มากมายปานนี้ ย่อมไม่สะดวกจะเคลื่อนไหว จึงคิดดูเล็กน้อย เอ่ยกำชับ

“ที่นี่คือสถานที่ที่อันตรายที่สุดของอาณาจักรมาร มีสัตว์ร้ายชุกชุม เจ้าอยู่ที่นี่ลำพังอันตายยิ่ง ข้าจะสร้างเกราะคุ้มกันไว้ให้เจ้าแล้วกัน ถึงแม้จะเคลื่อนไหวไม่สะดวกไปบ้าง แต่ก็จะไม่โดนสัตว์ร้ายโจมตี…”

ขณะที่พูด เขาพลันโบกแขนเสื้อ สร้างโดมโปร่งใสครอบคลุมรอบกายกู้ซีจิ่วไว้ โดมนี้สูงประมาณสามเมตร กล้างสองเมตร ห่อหุ้มรอบกายกู้ซีจิ่ว แม้แต่มุมชุดสักเสี้ยวของเธอก็ไม่โผล่ออกมาเลย

กู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านในสูดหายใจเล็กน้อยแล้วรีบเรียกเขาไว้

“ช้าก่อน! เจ้าไปครั้งนี้อย่างน้อยๆ ก็หนึ่งวัน เกราะกำบังนี้ตอนกลางคืนยังว่าดีหน่อย แต่ตอนกลางวันพอพระอาทิตย์โผล่ ถูกแดดส่องก็จะกลายเป็นลังถึง อีกอย่างอากาศก็ไม่ถ่ายเทด้วย ข้าอยู่ในนี้ไม่ถึงหนึ่งวันก็คงขาดอากาศตายแล้ว…”

คุณชายไผ่ขจีวิตกแล้ว

“แล้วจะทำอย่างไรดี?”

กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ คราหนึ่ง

“ข้าเห็นว่าทางด้านนั้นมีโขดหินอยู่บ้าง คุณชายไผ่ขจีช่วยย้ายมันมาวางตามตำแหน่งที่ข้าบอกด้วยเถิด ข้าจะสร้างค่ายกลขึ้น เพียงพอจะปกป้องตัวเองได้…”

คุณชายไผ่ขจีมองเธออย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง

“เจ้ายังชำนาญศาสตร์ค่ายกลด้วยหรือ?”

“พอมีความรู้อยู่บ้าง”

คุณชายไผ่ขจีจึงไปเคลื่อนย้ายหินให้

กู้ซีจิ่วนอนสั่งการอยู่ตรงนั้น ให้เขาจัดเรียงไว้ตามตำแหน่งที่เธอบอก

ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณชายไผ่ขจีน่าตะลึงยิ่ง เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก็จัดวางหินพวกนั้นไว้เรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว

เขาก็เป็นยอดฝีมือด้านค่ายกลเช่นกัน เพียงแต่ค่ายกลที่เขาสร้างขึ้นใช้พลังวิญญาณเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อน หากพลังวิญญาณของคนสร้างค่ายกลต่ำไป ค่ายกลนั้นก็จะไม่มีอานุภาพนัก

แต่ค่ายกลที่กู้ซีจิ่วสร้างขึ้นมานี้ มองครั้งแรกจะเห็นว่าก้อนหินวางกระจัดกระจายไร้รูปแบบ สับสนวุ่นวาย แต่หลังจากวางหินก้อนสุดท้ายลงไป ก็ราวกับเปิดใช้งานวิชามารอันใด ก้อนหินเตี้ยๆ พวกนั้นสูงใหญ่ดุจขุนเขาในชั่วพริบตา ในค่ายกลมีเสียงลมอื้ออึง ไอหมอกแผ่คลุม ทำให้คนแยกแยะเส้นทางไม่ได้…

เดิมทีคุณชายไผ่ขจีอยู่นอกค่ายกล เขาคิดจะเข้าไปดูข้างไหน ผลคือเพิ่งเข้าไปก็หลงทางแล้ว เดินได้ไม่กี่ก้าวก็เริ่มปรากฏภาพหลอนขึ้น มองเห็นทหารม้านับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาหาเขา…

เขาพลันตกใจ ขณะที่กำลังจะตอบโต้ เสียงกู้ซีจิ่วก็ดังขึ้นริมหู

“ย้ายตำแหน่ง ข้ามร่องกั้นมา…”

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนรู้ความ เดินไปตามที่นางบอกไม่กี่ก้าว เบื้องหน้าพลันสว่างวาบ มองเห็นกู้ซีจิ่วที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่…

ค่ายกลนี้ล้ำเลิศนัก!

ไม่น่าเชื่อว่าโลกนี้จะมีค่ายกลเช่นนี้อยู่ด้วย!

สายตาที่คุณชายไผ่ขจีมองกู้ซีจิ่วเสมือนมองสัตว์ประหลาดน้อยตัวหนึ่ง!

เขาก้าวเข้าไปสองก้าว

“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถด้านค่ายกลด้วย!”

กู้ซีจิ่วเห็นเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็ระแวงแล้ว

“เจ้า…”

คุณชายไผ่ขจีเดินไปหยุดอยู่หน้าแคร่ของเธอ มองดูเธอ

“ตอบรับเงื่อนไขข้อหนึ่งของข้าสิ แล้วข้าจะไม่เพียงแต่เก็บสมุนไพรให้เจ้าเท่านั้น ยังจะถ่ายทอดวิธีสร้างชุดกันเพลิงรวมถึงวิธีปลุกเสกให้เจ้าเปล่าๆ ด้วย”

กู้ซีจิ่วถามอย่างระแวดระวัง

“เงื่อนไขอะไร?”

————————————————————————————-

บทที่ 2336 รักษา 5

เธอรู้สึกว่าเงื่อนไขที่คุณชายไผ่ขจีจอมวิปริตผู้นี้เสนอจะต้องวิปริตกว่าเดิมแน่นอน เธอต้องลองฟังดูก่อน

“รับข้าเป็นศิษย์!”

“หา?”

กู้ซีจิ่วงุนงง

“ข้ายินดีกราบเจ้าเป็นอาจารย์ ร่ำเรียนวิชาค่ายกล วิชาพิษ วิชาแพทย์ร่วมถึงวิชาแปลงโฉมด้วย”

คุณชายไผ่ขจีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย

คนผู้นี้ใช่คุณชายไผ่ขจีที่สูงส่งเย็นชาที่สุดตอแยได้ยากที่สุดทำให้คนเดาไม่ออกที่สุดของอาณาจักรมารจริงๆ หรือ?

มิได้ถูกผู้อื่นแอบอ้างสวมรอยกระมัง?!

ในเมื่อเขาพูดจาเปิดเผยชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว กู้ซีจิ่วย่อมไม่อ้อมค้อมกับเขาเช่นกัน กล่าวเงื่อนไขของตัวเองออกมา

เธอตอบว่าจะพิจารณาเรื่องการรับเขาเป็นศิษย์ แต่ต้องรอดูท่าทีของเขาก่อน…

หากว่าถ่ายทอดให้เพียงวิชาแปลงโฉมก็แล้วไปเถิด เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น เธอไม่ได้เสียเปรียบ

แต่ถ้ารับเขาเป็นศิษย์ เช่นนั้นเธอจะต้องพิจารณาเขาให้ดีๆ หน่อย

ถึงอย่างไรถ้ารับเขาไว้จริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นศิษย์เบิกสำนักของเธอ หากว่าอุปนิสัยคนเลวร้ายเกินไป สั่งสอนศิษย์จนสิ้นแล้วคิดล้างครูขึ้นมาคงไม่ดี!

คุณชายไผ่ขจีวาดมือเปิดประตูขึ้นมากลางอากาศอีกครั้ง กระโดดเข้าไปแล้วหายลับไปเลย

กู้ซีจิ่วเห็นเขาใช้ประตูบานนี้มาสองสามครั้งแล้วจึงทราบว่าประตูนี้ของเขาเหมือนประตูเชื่อมมิติ พอเปิดใช้แล้วสามารถไปที่ไหนก็ได้ในอาณาจักรมาร

เหมือนครั้งก่อนที่เขาส่งเธอไปยังทุ่งดอกไม้บานสะพรั่ง ครั้งนี้ก็เป็นทะเลทรายแห่งหนึ่ง

มิน่าล่ะในตำนานเล่าขานของคนประหลาดผู้นี้ จะกล่าวถึงการไปมาโดยเทพไม่รู้ผีไม่เห็นของเขาไว้ด้วย ประตูเชื่อมมิติบานนี้เป็นของวิเศษสำหรับหลบหนีที่เลิศล้ำไม่เป็นสองโดยแท้…

กู้ซีจิ่วนอนอยู่บนแคร่ เธอทราบอาการบาดเจ็บของตัวเองดี ต่อให้คุณชายไผ่ขจีรวบรวมสมุนไพรเหล่านั้นมาได้ เธอหลอมโอสถที่เหมาะสมออกมาได้ ก็ทำได้เพียงระงับพิษไว้ชั่วคราวเท่านั้น ขุดรากถอนโคนไม่ได้

ถ้าต้องการแก้พิษอย่างหมดจด เกรงว่าคงต้องไปขอยาถอนพิษอีกครึ่งหนึ่งจากย่วนย่วนอีกครั้ง

และคุณชายไผ่ขจีก็เคยไปก่อความวุ่นวายในจวนองค์หญิงมาแล้วครั้งหนึ่ง ย่อมทำให้คนของที่นั่นระแวงแล้ว เกรงว่าองครักษ์คงจะคุ้มกันที่นั่นอย่างมิดชิดยิ่งกว่าถังเหล็ก

ยิ่งไปกว่านั้นคือย่วนย่วนได้รับบาดเจ็บด้วย ยามนี้เกรงว่าตี้ฝูอีคงจะเฝ้าอยู่ข้างกายนางเพื่อรักษาให้นางแล้ว

ต่อให้คุณชายไผ่ขจีบุกไปที่จวนองค์หญิงอีกครั้ง เกรงว่าคงเข้าใกล้ย่วนย่วนไม่ได้อีกแล้ว ซ้ำยังจะถูกตี้ฝูอีเล่นงานจนตายด้วย…

ดังนั้นเธอต้องคิดหาวิธีอื่น

เธอนอนใคร่ครวญอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า แสงจันทร์ค่อยๆ เลือนรางลง ทางตะวันออกเกิดลายเส้นสีขาวขึ้นมา ดวงตะวันสีแดงค่อยๆ โผล่ขึ้นมา…

อุณหภูมิในทะเลทรายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามดวงตะวันที่ลอยสูงขึ้นมา

ตอนกลางคืนกู้ซีจิ่วยังพอห่มผ้าคลายหนาวได้ แต่หลังจากฟ้าสว่างแล้ว เธอสวมชุดแพรบางเบาแล้วก็ยังร้อนอยู่ดี

ถึงแม้เธอจะใช้เข็มเงินขับพิษออกไปไม่น้อยแล้ว แต่พิษร้ายบนร่างของเธอกำเริบอยู่ ทั้งเจ็บปวด ทั้งไร้เรี่ยวแรง ตัวคนนอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ดุจเป็นอัมพาต ดวงตะวันร้อนระอุส่องลงบนร่าง หยาดเหงื่อชุ่มโชกหน้าและศีรษะเธอ รู้สึกว่าตัวเองตากแดดจนจะสุกแล้ว…

ถึงแม้ค่ายกลที่เธอสร้างขึ้นจะป้องกันสัตว์ร้ายในทะเลทรายได้ แต่ไม่สามารถป้องกันรังสีที่ส่องตรงมาจากดวงตะวันได้

อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อเธอออกมากเสียจนตกอยู่ในสภาวะขาดน้ำแล้ว เธอเลียริมฝีปาก มือที่อ่อนเปลี้ยหยิบน้ำขวดหนึ่งออกมาจากมิติเก็บของ

กลับนึกไม่ถึงว่ามือไม้จะอ่อนแรงเกินไป ถือน้ำขวดนั้นไว้ไม่อยู่ ทำหล่นลงบนพื้นเกิดเสียงดังเพล้ง น้ำหกเต็มพื้น

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย นี่สวรรค์อยากให้เธอตายหรือ?

ความคิดนี้ของเธอยังไม่ทันจบลง จู่ๆ บริเวณที่น้ำหกก็พลุ่งพล่านขึ้นมาปานหม้อน้ำเดือด

เกิดเสียงดัง ‘ฟ่อ!’ งูสีแดงเพลิงตัวหนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้นทราย งูตัวนี้ยาวประมาณหนึ่งจั้ง ศีรษะใหญ่เท่าหลัว อยู่ห่างจากกู้ซีจิ่วไปไม่ถึงสามฉื่อ!

เมื่อมันเห็นกู้ซีจิ่วก็พุ่งขึ้นมาทันที!

กู้ซีจิ่วนอนอยู่ตรงนั้นสบตากับมันที่พุ่งเข้ามา…