ส่วนที่ 4 ตอนที่ 221 โรคแปลกกับคนแปลก

ความลับแห่งจินเหลียน

ตำรวจผู้น้อยคนนั้นแม้ว่าอายุจะน้อยกว่าเธออยู่บ้าง แต่ประสิทธิภาพในการทำงานค่อนข้างสูงและรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถหาหลักฐานมาได้อย่างแม่นยำ ซีเหมินจินเหลียนและคนอื่นๆ บอกภาพสเก็ตคร่าวๆ ของชายชรา และเรื่องราวของตอนดึกสามวันก่อนว่ามีคนมาซื้อหินหยกดิบมากมาย คนส่วนใหญ่ก็เห็น นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาพูดเหลวไหล

 

 

ดูอย่างนี้แล้วชายชราคนนั้นมีสิ่งที่น่าสงสัยมาก ถึงเขาไม่ใช่นักวางเพลิง ถึงเขาจะปล้นแล้วฆ่า เกรงว่าคดีนี้ก็ไม่ง่ายเลย คนคนหนึ่งถ้าไม่มีเป้าหมายอะไรแล้วจะแกล้งตายทำไมกัน? นอกจากนี้การแกล้งตายต้องมีขั้นตอนยุ่งยากมากมาย

 

 

สิ่งที่ทำให้ตำรวจไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ก็คือ…จังเถี่ยฮั่นคนนั้นก็สงบนิ่งเหลือเกิน ในเมื่อเขาตายแล้ว เขาก็ยังกล้ามาขายหินหยกดิบที่ถนนหยกอย่างโจ่งแจ้งอีก? หรือว่าเขาจะไม่กลัวถูกคนจำได้ว่าเขาตายไปแล้ว?

 

 

ในเมื่อพิสูจน์แล้วว่าพวกซีเหมินจินเหลียนพูดความจริง แน่นอนว่าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกันตัวพวกเขาไว้ ดังนั้นตำรวจผู้น้อยจึงเดินไปส่งพวกเขาทั้งสามคนออกไป

 

 

หลังจากที่ซีเหมินจินออกจากสถานีตำรวจแล้ว เธอก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ จ่านป๋ายพยุงเธอและปลอบประโลมว่า “ไม่เป็นไรนะครับ”

 

 

“ฉันก็กลัวเวลาพูดคุยกับคนพวกนี้จริงๆ” ซีเหมินจินเหลียนนั่งบนรถที่จ่านป๋ายเช่ามาและส่ายหน้าพร้อมพูดขึ้น

 

 

“คุณซีเหมิน อันที่จริงแล้วนี่ก็ไม่เป็นอะไรเลย คุณไม่ต้องไปกลัวพวกเขาหรอก” สวี่อี้หรานหัวเราะออกมาน้อยๆ

 

 

“ปกติแล้วเวลาฉันเจอตำรวจตัวของฉันก็มักจะสั่น!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มฝืนพูดความจริง

 

 

“ทำไมล่ะ คุณก็ไม่ใช่โจรสักหน่อย” สวี่อี้หรานพูดและตั้งใจเหลือบไปมองจ่านป๋าย

 

 

ซีเหมินจินเหลียนฝืนยิ้มออกมา เธอก็ไม่ใช่โจรจริงๆ แต่เธอเลี้ยงโจรไว้อยู่จะไม่กลัวได้อย่างไร! อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย สถานะทางสังคมของเธอที่ก้าวกระโดดรวดเร็วเกินไป เกรงว่าคงทำให้ใครอิจฉาตาร้อนอยู่มาก และเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกคนรวยแต่กำเนิดเลย ไม่ว่าจะทางไหนก็มีแต่คนจัดการดูแลให้ หรือถ้าหากพูดอย่างไม่น่าฟังหน่อยก็คือ นอกจากเงินแล้วเธอก็ไม่มีอะไรเลย

 

 

จ่านป๋ายขับรถและมองสวี่อี้หรานผ่านกระจกรถ ก่อนถามขึ้นว่า “คุณจะไปไหน”

 

 

“พวกคุณพักที่ไหนผมก็พักที่นั่นละ อืม อีกสองวันผมต้องไปพม่าเพื่อจัดการเรื่องบางอย่าง” สวี่อี้หรานยืดลำตัวตรงและถอนหายใจพูดขึ้น “ดูเหมือนผมจะไม่ได้มาเจียหยางนานมากแล้ว หลังเที่ยงก็ต้องไปเยี่ยมเยียนเพื่อนอีก จริงสิ คุณซีเหมิน…”

 

 

“มีอะไรเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

 

 “คุณบอกว่าลุงงูของคุณเป็นโรคอะไรนะ” สวี่อี้หรานถาม

 

 

“โรคแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วพูด “ใบหน้าและลำตัวของเขามีอาการเป็นหนองผุพองและเต็มไปด้วยเกล็ดงู เหมือนโดนพิษงู…” เธอพูดคลุมเครือ โรคที่ลุงงูเป็นเธอรู้แจ้งอยู่เต็มอก ถึงตอนแรกจะไม่รู้ แต่เมื่อวานหลังจากที่เจอลุงงู ลุงงูก็เคยบอกกับเธอแล้ว แต่ที่มาของโรคนี้เธอบอกกับ  สวี่อี้หรานไม่ได้

 

 

“พิษคุณไสยเหรอ?” สวี่อี้หรานสับสนมึนงง ไม่น่าใช่สิ?

 

 

จ่านป๋ายที่ขับรถอยู่ด้านหน้าก็พูดแทรกขึ้นทันที “ผมดูแล้วก็ไม่เหมือนพิษคุณไสย”

 

 

“ผมไม่ได้เห็นอาการ นี่ก็พูดยากเหมือนกัน!” สวี่อี้หรานขมวดคิ้วพูด “แต่มีเรื่องหนึ่งที่รับประกันได้”

 

 

“รับประกันอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ลุงงูตายไปแล้วยังยังรับประกันอะไรได้อีก” เมื่อพูดประโยคนี้ขอบตาเธอก็แดงก่ำ แม้เธอจะรู้ว่าร่างที่ถูกไฟคลอกจนหน้าเละไม่เหลือร่องรอยนั้นจะไม่ใช่ลุงงู แต่ในเมื่อลุงงูใช้วิธีเช่นนี้ นั่นก็เท่ากับว่าในอนาคตพวกเขาไม่มีทางได้เจอกันตลอดไป

 

 

ลุงงูเป็นคนแปลกตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนชายชราแกล้งตายคนนั้นก็ไม่ใช่แค่คนธรรมดาทั่วไป จากที่จ่านป๋ายบอกกับเธอว่าเขาเคยช่วยต้มยาให้ลุงงู คนธรรมดาทั่วไปใครจะกล้าไปบีบคองูพิษกัน? หนำซ้ำยังเค้นพิษงูใส่เข้าไปในยาอีก?

 

 

“สองคนนั้นไม่ได้ถูกไฟคลอกตายหรอก” สวี่อี้หรานปัดมือพูดและยิ้มแห้ง

 

 

“คุณรู้ได้ยังไง” จ่านป๋ายถาม

 

 

 “ถ้าหากถูกไฟคลอกตายจะต้องมีฝุ่นควันเข้าไปในจมูก แต่สองคนนี้ จากที่ผมดูเมื่อสักครู่ไม่เห็นมีเหตุการณ์แบบนี้” สวี่อี้หรานพูด “ดังนั้นสองคนนี้น่าจะถูกฆ่าก่อนแล้วค่อยจุดไฟเผา”

 

 

“ไม่เห็นรู้เลยว่าคุณก็ชันสูตรศพเป็น คุณเป็นขุนนางชันสูตรศพเหรอ?” จ่านป๋ายหัวเราะแห้ง

 

 

“คุณต่างหากที่เป็นขุนนางชันสูตรศพ!” สวี่อี้หรานหมดอารมณ์จะพูด “ผมเป็นหมอ เป็นหมอ!”

 

 

“แล้วทำไมเมื่อครู่ถึงไม่พูดออกมาล่ะ? ไม่แน่คุณอาจจะได้ช่วยตำรวจไขคดีก็ได้นะ!” จ่านป๋ายแค่นเสียงถาม

 

 

“ผมขี้เกียจจะพูด และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องของผมด้วย!” สวี่อี้หรานไม่ได้ปะทะฝีปากกับเขาต่อ หันไปถามซีเหมินจินเหลียนว่า “คุณซีเหมิน คุณว่ายังไง? ความจริงเรื่องพวกนี้หมอนิติเวชก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ แล้วผมจะไปหาเรื่องลำบากทำไม”

 

 

“กลับไปค่อยว่ากันเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว เมื่อวานก็ยุ่งมาทั้งวัน วันนี้ตื่นแต่เช้า ตอนนี้ก็ง่วงเหลือเกิน” ซีเหมินจินเหลียนพูดเสียงเบา

 

 

จ่านป๋ายมึนงง ในใจก็เกิดความสงสัยไม่หยุด ซีเหมินจินเหลียนห่วงใยลุงงูขนาดไหนเขาเห็นกับตา ตอนนี้ลุงงูตายแล้ว ไม่ว่าจะตายเพราะไฟไหม้หรือถูกโจรฆ่าตาย เธอก็น่าจะเสียใจร้องไห้ฟูมฟายสิ แต่เมื่อครู่นี้ตอนที่เห็นศพ เธอดูเสียใจมากก็จริง แต่ตอนที่สถานีตำรวจเธอกลับใจเย็นผิดปกติ ตอนนี้ยังพูดจาสงบเยือกเย็นได้อีก

 

 

นี่ไม่เหมือนนิสัยของซีเหมินจินเหลียนเลย นอกเสียจาก…ศพที่ถูกไฟคลอกนั้นไม่ใช่ลุงงู?

 

 

จ่านป๋ายคิดได้เท่านี้ก็ขมวดคิ้วแน่น ลุงงูป่วยถึงขั้นไม่มีทางรักษา ทำไมถึงเล่นแบบนี้?

 

 

เรื่องแบบนี้ที่จริงก็แปลกมากพอแล้ว ชายชราท่านนี้ตายไปตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่ยังไปที่ถนนหยกขายหินหยกกลางที่สาธารณะแบบนั้น หากคนที่ถูกไฟคลอกตายไม่ใช่ลุงงู แล้วจังเถี่ยฮั่นคนนั้นเป็นเขาหรือเปล่า?

 

 

ศพสองร่างที่ถูกไฟคลอกนั้น หากไม่ใช่ลุงงูกับจังเถี่ยฮั่นแล้วจะเป็นใคร?

 

 

รถขับไปถึงหน้าประตูโรงแรม จ่านป๋ายก็ขับรถไปจอดไว้ที่จอดรถ ทั้งสามลงจากรถพร้อมกันและเดินไปที่ประตูโรงแรม ในห้องโถงก็พบฉินเฮ่ากับอวิ๋นเจียเดินออกมาจากประตูพอดี

 

 

อวิ๋นเจียยังเหมือนเดิม สวยงดงามอ่อนโยนเหมือนเทพธิดาดึงดูดคน เมื่ออยู่ข้างกายฉินเฮ่า ผมสีดำขลับไม่เคยทำการย้อมสีพลิ้วไสวดึงดูดความสนใจจากผู้ชายมากหน้าหลายตาในโรงแรม

 

 

ซีเหมินจินเหลียนยอมรับเลยว่าอวิ๋นเจียคนนี้ก็สวยจริงๆ ภายในสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของผู้หญิงสไตล์เจียงหนาน ผู้หญิงที่อ่อนโยนเรียบร้อย

 

 

“คุณซีเหมิน” เมื่ออวิ๋นเจียเงยหน้าขึ้นมาเห็นซีเหมินจินเหลียน เธอก็ส่งยิ้มหวานให้

 

 

“คุณอวิ๋น” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มและทักทายกับฉินเฮ่าต่อ “สวัสดีค่ะคุณฉิน” เดิมทีเธอเรียกฉินเฮ่าว่าพี่ฉินตลอด

 

 

“พี่ก็มาดูสินค้าที่เจียหยางด้วยเหรอคะ?” อวิ๋นเจียยิ้ม

 

 

“ใช่” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “มาซื้อหินหยกดิบนิดหน่อยน่ะ และถือโอกาสออกมาเดินเล่นด้วย ทำไมเมื่อก่อนถึงไม่เคยได้ยินว่าคุณอวิ๋นชอบหยกกับเขาด้วยล่ะคะ?”

 

 

“ตอนเด็กๆ ฉันเรียนกับคุณย่ามาบ้างน่ะค่ะ” อวิ๋นเจียยิ้ม