ส่วนที่ 4 ตอนที่ 222 คนบ้าก็มีความสุข

ความลับแห่งจินเหลียน

จ่านป๋ายยิ้มเบาๆ พร้อมพูดขึ้น “คุณอวิ๋นได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครอบครัวมาอย่างดีเยี่ยมนี่เองครับ”

 

 

“ขอบคุณพี่จ่านที่ชมค่ะ” อวิ๋นเจียยิ้มอ่อนและพูดต่อ “พวกเรากำลังจะออกไปดูสินค้ากัน ว่าแต่เช้าขนาดนี้พวกคุณก็ออกไปดูสินค้าแล้วเหรอคะ?”

 

 

“ไม่ใช่หรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “พอดีเมื่อวานได้รับสายจากคุณสวี่ว่าเขาจะมาเจียหยาง พวกเราก็เลยไปรับเขาที่สนามบิน”

 

 

“สวัสดีครับคุณอวิ๋น ไม่ได้เจอตั้งนานนะครับ” สวี่อี้หรานเผยยิ้มออกมา

 

 

ใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นเจียมองสวี่อี้หรานแค่ผ่านๆ เหมือนไม่ได้รู้สึกดีกับเขาเท่าไหร่ แค่พยักหน้าและประชิดเข้าหาฉินเฮ่าแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะค่ะ”

 

 

ฉินเฮ่าอาศัยโอกาสที่ซีเหมินขยิบตาให้เป็นนัย จากนั้นก็ประคองอวิ๋นเจียแล้วบอกลาทุกคนเดินออกประตูไป

 

 

สวี่อี้หรานไม่สนใจต่อสถาการณ์เช่นนี้ เขาเรียกหาผู้จัดการล็อบบี้ให้ช่วยเปิดห้องที่อยู่ใกล้ๆ กับซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋าย ก่อนจะแบกกระเป๋าเดินทางที่เรียบง่ายจนไม่รู้ว่าจะเรียบง่ายอย่างไรแล้ว จากนั้นถือกุญแจขึ้นไปข้างบนพร้อมซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋าย

 

 

จ่านป๋ายเดินมาส่งซีเหมินจินเหลียนกลับห้อง ก่อนถามเธอว่า “เช้านี้กินอะไรดีครับ ผมจะได้ออกไปซื้อให้”

 

 

“อะไรก็ได้ คุณไปดูที่ห้องอาหารของโรงแรมว่ามีอาหารอะไรง่ายๆ สักสองสามอย่างก็ได้แล้ว ไม่ต้องยุ่งยากหรอก” ซีเหมินจินเหลียนถอดชุดคลุมออกและกลายร่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโซฟา ผ่อนคลายและหัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

“จินเหลียน…” จ่านป๋ายเดินไปข้างหน้าเธอและถามว่า “บอกผมได้ไหมครับว่าทำไมคุณถึงได้ดีใจขนาดนี้?”

 

 

“ฉันพึ่งเสียญาติไปนะ ฉันก็ดูดีใจอย่างนั้นเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนกัดริมฝีปากล่างและยิ้มออกมาบางๆ

 

 

“คุณดูมีความสุขมาก…ผมรู้สึกได้” จ่านป๋ายเข้าใกล้เธอและยิ้มอ่อน

 

 

“ชิ” ซีเหมินจินเหลียนแค่นเสียงออกมาเบาๆ และหลุบเสียงลงต่ำ “ลุงงูยังไม่ตาย คุณว่าฉันจะไม่ดีใจเหรอ?”

 

 

จ่านป๋ายสับสนและลองถามหยั่งเชิงขึ้นว่า “คุณมั่นใจได้ยังไงครับว่าลุงงูยังไม่ตาย? ถ้าจังเถี่ยฮั่นนั่นเป็นฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ คุณจะทำยังไง?”

 

 

“ไม่ว่าชายชราท่านนั้นจะมีความเป็นมาเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา แต่ที่ฉันรู้ก็คือศพทั้งสองร่างที่อยู่ในกองไฟนั่นไม่ใช่ลุงงูแน่” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มกริ่ม “เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยดีใจมาก ไม่ว่าลุงงูจะอยู่ที่ไหน ขอแค่เขามีชีวิตก็ย่อมดีกว่าตายจากไปไม่ใช่เหรอ?”

 

 

“ใช่ครับ แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีที่สุดแล้ว” จ่านป๋ายยิ้มอ่อนและเอื้อมมือไปปัดผมยาวที่หล่นมาบดบังใบหน้าของเธอ

 

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่ค่อยคุ้นชินกับการกระทำใกล้ชิดแบบนี้ของเขาเท่าไหร่นัก เธอปัดมือของเขาออกไปและพูดขึ้นว่า “คุณไปซื้ออาหารเช้าเถอะ ฉันหิวแล้ว ขอแค่ลุงงูยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ต้องมีหนทางการใช้ชีวิตของเขาแน่ ฉันก็วางใจแล้ว”

 

 

“แต่ว่าอาการป่วยของเขา” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูดขึ้น “คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าหากไม่แก้พิษ เขาจะมีชีวิตอยู่รอดเพียงแค่ไม่กี่วัน?”

 

 

“ตามหลักแล้วก็คงเป็นอย่างนั้น” ซีเหมินจินเหลียนพูด “แต่ คุณไม่เห็นเหรอว่า งูพวกนั้น…”

 

 

“จริงสิ” จู่ๆ จ่านป๋ายก็ตบมือขึ้น พูดพร้อมรอยยิ้มขึ้นว่า “วันนี้ผมก็เลอะเลือนจริงๆ ถ้าหากงูพวกนั้นถูกเผาตายอยู่ในกองไฟจริง ก็ไม่มีทางที่ตำรวจเหล่านั้นจะตรวจไม่เจอแน่ แต่ตอนนี้งูพวกนั้นกลับหายไปแล้ว”

 

 

“ใช่!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “เป็นเพราะอย่างนี้ฉันเลยคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีการวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว ลุงงู…แค่ไม่อยากจะเจอฉันอีก” เมื่อพูดถึงประโยคนี้เธอก็ถอนหายใจออกมา ทำไมลุงงูถึงไม่ยอมเจอเธอกัน? ทำไมลุงงูถึงไม่ยอมให้สวี่อี้หรานดูอาการว่าจะแก้พิษได้ไหม และจากนี้ไปจะได้มีชีวิตเหมือนคนธรรมดากับเขาบ้าง? ทำไมเขาต้องเลือกเดินบนทางที่ไม่มีวันย้อนกลับ?

 

 

หากตอนแรกเขาบอกว่าทำเพื่อหินปิดฟ้า ทว่าตอนนี้ในเมื่อเจอเบาะแสของหินปิดฟ้าแล้ว เขาก็น่าจะอาศัยทักษะความสามารถในการเดิมพันหิน ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายสิ

 

 

แต่ลุงงูกลับปฏิเสธความหวังดีของเธออย่างไร้เยื่อใย…ไฟเผาไหม้ทุกอย่างและสูญหายไปอีกครั้ง

 

 

บางทีชาตินี้เธอคงไม่อาจได้เจอเขาอีกแล้ว แต่นี่ก็ไม่สำคัญ ขอแค่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และยังมีชีวิตที่ดี จะเจอหรือไม่เจอมันต่างกันอย่างไร?

 

 

“เขาก็เป็นคนที่แปลกจริงๆ” จ่านป๋ายถอนหายใจพูดขึ้น “เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน”

 

 

“เขาแค่อยากเจอฉัน…” ซีเหมินจินเหลียนสางผมของตัวเองแล้วพูดขึ้น “ชายชราจังเถี่ยฮั่น รู้ตัวตนของพวกเราตั้งแต่แรก เกรงว่าตั้งแต่ตอนที่พวกเราเพิ่งมาถึงเจียหยาง พวกเขาก็เตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว” ไม่อย่างนั้นทำไมถึงต้องเลือกขายหินหยกในเวลานั้นด้วย ทำไมถึงต้องรอขายแค่วันนั้น? นั่นก็เพื่อแค่ดึงดูดความสนใจจากเธอเท่านั้นเอง

 

 

“แปลกคนจริงๆ ในเมื่ออยากเจอคุณ เขาก็ไปหาคุณเองก็ได้นี่ครับ แล้วทำไมต้องทำให้ลำบากยุ่งยากด้วย?” จ่านป๋ายยิ้ม “แต่ยังไงขอแค่คุณดีใจ ผมก็ดีใจเหมือนกัน”

 

 

“เขาอยากจะมอบหินหยกดิบพวกนั้นให้กับฉัน แต่กลัวว่าฉันจะไม่รับน่ะสิ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ลุงงูก็เป็นคนแบบนี้ ฉันรับประกันได้ว่าเช็คเงินสดใบนั้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรกับเงินเหล่านั้นแน่”

 

 

“ช่างเถอะครับ คุณก็อย่าคิดมากเลย ผมออกไปซื้ออาหารเช้าให้คุณดีกว่า คุณก็ตื่นเช้าเกินไป พักผ่อนสักหน่อยเถอะ” จ่านป๋ายพูด

 

 

“ฉันไม่ง่วง” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

 

“งั้นก็นั่งเล่นไปก่อนนะครับ” จ่านป๋ายพูดจบจึงลุกขึ้นเดินออกไป

 

 

จ่านป๋ายเพิ่งออกไป ซีเหมินจินเหลียนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอคิดว่าจ่านป๋ายลืมอะไรไว้ จึงตะโกนออกไปเสียงดังว่า “คุณก็เปิดเข้ามาเลย!”

 

 

 “ผมไม่มีกุญแจ!” หน้าประตูมีเสียงคนบ่นพึมพำออกมาเสียงเบา

 

 

“เมื่อก่อนไม่มีกุญแจคุณยัง…” ซีเหมินจินเหลียนพูดไปครึ่งประโยค จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคนที่อยู่หน้าประตูห้องไม่ใช่จ่านป๋าย แต่เป็นสวี่อี้หรานคนไร้มารยาทนั่น คนคนนี้ฝีมือแพทย์ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถดูอาการป่วยของประตูไม้จนเปิดประตูเองได้

 

 

ดังนั้นซีเหมินจินเหลียนจึงขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟาอย่างไม่เต็มใจนัก พร้อมเดินไปเปิดประตู

 

 

“ฮัลโหล! คุณผู้หญิงสุดสวย สวัสดีครับ!” สวี่อี้หรานยิ้มแย้มด้วยสีหน้าจริงจัง

 

 

ซีเหมินจินเหลียนมองดูการกระทำของเขาแล้วก็ช่างอยากทำให้คนสบถด่าออกไปเสียจริงๆ เธอได้แต่แค่นเสียงใส่และหมุนตัวเดินเข้าไปข้างในนั่งลงบนโซฟา

 

 

สวี่อี้หรานไม่สนใจปิดประตูตามมาและนั่งลงตรงข้ามกับเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาอย่างเหนียมอายและนั่งลงอย่างเคร่งขรึม

 

 

ซีเหมินจินเหลียนนั่งได้ประมาณสองสามนาที เธอก็ยอมรับว่าความอดทนของเธอสู้สวี่อี้หรานไม่ได้ เลยพูดขึ้นว่า “คุณก็มาเพื่อจะนั่งในห้องของฉัน?”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นจะให้ผมทำอะไรได้อีกล่ะ?” สวี่อี้หรานเงยหน้ามองเธอและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หรือว่าคุณอยากให้ผม…”

 

 

“หุบปากนะ!” ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ใส่ใจเวลาจ่านป๋ายพูดประโยคคลุมเครือกับเธอ แต่คนคนนี้พวกเขาไม่ใช่คนคุ้นเคย และเธอก็ไม่ชอบเรื่องล้อเล่นพวกนี้ “ขืนคุณยังพูดเรื่องพวกนี้อีก คุณก็ออกไปเลย!”

 

 

“ผม…” สวี่อี้หรานมีสีหน้าลำบากใจ นั่งลงแต่ไม่พูดจา พูดก็ไม่ได้ แล้วจะให้เขาทำยังไง? เขาก็พยายามสะกดกั้นทัศนคติแปลกๆ ของตัวเองแล้วนะ

 

 

เมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนมีสีหน้าไม่พอใจ สวี่อี้หรานเลยไม่กล้าล้อเล่นอีก รีบพูดขึ้นว่า “คุณอย่าเพิ่งโกรธสิ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณจริงๆ”

 

 

“เรื่องอะไร” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

 

“ลุงงูของคุณคนนั้น…อาการเป็นยังไง คุณลองอธิบายอย่างละเอียดๆ อีกทีได้ไหม?” สวี่อี้หรานพูด “คุยในโทรศัพท์ไม่ค่อยชัดเจน”

 

 

“เขาก็ตายไปแล้ว พูดไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา?” ซีเหมินจินเหลียนซุกอยู่บนโซฟาและถอนหายใจเบาๆ “ทำให้คุณเหนื่อยเสียเวลามาเปล่าๆ แล้ว”

 

 

“คุณซีเหมิน ผมเป็นหมอนะ คุณยังโกหกผมอีกเหรอ?” สวี่อี้หรานยิ้ม “ผมไม่รู้ว่าคุณกับลุงงูมีความสัมพันธ์ยังไงต่อกัน แต่พอคิดว่าคุณขอความช่วยเหลือจากผมแล้ว เขาน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่! หากเขาตายไปจริงๆ คุณก็จะไม่เศร้าเสียใจเลยเหรอ?”

 

 

“ฉันดูไม่เสียใจเหรอ? คุณใช้ตาข้างไหนดู!” ซีเหมินจินเหลียนกลอกตาใส่เขาและแค่นเสียงใส่

 

 

“สองตาของผมเห็นทั้งหมด ไม่เพียงแต่คุณไม่เสียใจ แต่คุณยังดีใจเสียด้วยซ้ำ” สวี่อี้หรานถาม “บอกมาเถอะ พูดออกมาว่าอาการของเขาเป็นยังไงกันแน่ ทำไมคุณถึงนึกถึงผม?”

 

 

“ก็แค่ลำตัวเน่าเฟะ มีเกล็ดงูอัปลักษณ์ปกคลุมไปทั่ว ดูแล้วเหมือนผี” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจพูด

 

 

อาการแบบนี้ หนึ่งคือโดนยาพิษ สองต้องหลบซ่อนรูปโฉมของตัวเอง คนคนหนึ่งน่าเกลียดเหมือนกับผี เช่นนั้นคงไม่มีใครกล้าคบหา

 

 

“ศพที่โดนไฟคลอกตายสองคนนั้นเป็นใคร?” สวี่อี้หรานถามอีกครั้ง

 

 

“ฉันจะรู้ได้อย่างไรกัน?” ซีเหมินจินเหลียนตอบอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมคุณไม่ไปถามลุงตำรวจเองล่ะ”

 

 

“คุณไม่รู้จริงๆ เหรอ?” สวี่อี้หรานบีบคิ้วพูด “ไม่ใช่ว่าคุณกับจ่านป๋ายช่วยพวกเขาทำหรอกเหรอ”

 

 

“หุบปากนะ!” ซีเหมินจินเหลียนก่นด่าออกมาแรงๆ “ฉันเป็นคนธรรมดาๆ คุณคิดว่าใครๆ ก็เหมือนคุณอย่างนั้นสิ ถึงจะได้ลงมืออย่างเ**้ยมโหดน่ะ?”

 

 

“ผมก็ใจดีมีเมตตามาก” สวี่อี้หรานพูดจริงจัง “หลายปีมานี้ผมรักษาผู้ป่วยเป็นหลัก ส่วนคนก่อนหน้านั้นก็เป็นเพราะผมไม่ได้ตั้งใจ! ผมไม่ได้ตั้งใจ! ใครก็ให้เขาจ่อปืนใส่คุณกัน?”

 

 

“ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณคุณจากใจจริง!” ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขาในครั้งนั้น แม้จะรู้ว่าเขาลงมือทำร้ายคนเพื่อช่วยชีวิตเธอก็ตาม

 

 

“จินเหลียน นั่น…เป็นเพราะอวิ๋นเจียต้องการชีวิตคุณ…” สวี่อี้หรานพูด “ผมถึงได้ลงมือ คุณอย่าโกรธโทษผมเลย ผมก็ไม่ได้ต้องการชีวิตของเขา อย่างมากสุดก็แค่ทำให้เขาเป็นบ้า ยุคสมัยนี้คนบ้าก็มีความสุขมาก จริงนะ!”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกว่าใช้เหตุผลคุยกับคนคนนี้ ก็อย่าได้คาดหวังว่าจะพูดกับเขาได้เลย คนบ้าก็มีความสุขเหรอ? หลักการบ้าๆ อะไรกัน คิดว่าคงมีแค่หมอมองโกลอย่างเขาล่ะมั้งที่พูดออกมาได้

 

 

ส่วนเรื่องที่สวี่อี้หรานเปลี่ยนการเรียกเธอ เธอไม่ได้สนใจอะไร

 

 

“คุณอยากให้ลุงงูออกมาไหม” สวี่อี้หรานถาม

 

 

ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าน้อยๆ ลุงงูใช้วิธีเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องการหลบหลีกไม่อยากเจอเธออีก แล้วเธอยังจะอยากให้เขาออกมาทำไมกัน?

 

 

“ความจริงการหาเขาก็ง่ายดายมาก และ…ทางที่ดีพวกเราควรหาเขาให้เจอจะดีกว่า!” สวี่อี้หรานขมวดคิ้วพูด “ไม่อย่างนั้นหากรอให้เขาตกไปอยู่ในมือของตำรวจเลี่ยวนั่นแล้ว เกรงว่าขอร้องให้เขาไว้ชีวิตยังไงก็ไม่ได้ทั้งนั้น!”

 

 

“คุณว่าอะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนตกใจ ตำรวจเลี่ยว? เลี่ยวก่วงคนนั้นหรือ?

 

 

“เขากำลังตามหาหินปิดฟ้า และคุณก็คือเบาะแสเดียวในการสืบหาเรื่องนี้ เขาไม่มีวิธีร่วมมือกับคุณ นั่นเท่ากับลิขิตไว้ว่าต้องพ่ายแพ้!” สวี่อี้หรานหักนิ้วตัวเองและวิเคราะห์อย่างช้าๆ “เขาเป็นตำรวจอาชญากรรมมาตั้งหลายปี คดีนี้มีข้อสงสัยมากเกินไป เขาไม่มีทางที่จะดูไม่ออก และผมรู้ว่าเขามีสถานะพิเศษบางอย่าง เป็นผู้รับผิดชอบกรณีคดีใหญ่ที่น่าสงสัย”