ตอนที่ 553 ข้าคือหานโม่ฉือ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“เจ้าเป็นใครกัน ?!”

หานซื่อมองหานโม่ฉือตรงหน้าและกล่าวเสียงแข็งขณะพยายามควบคุมโทสะที่พลุ่งพล่านในใจ ความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ต่อให้หานซื่อใช้ไพ่ตายของตนเอง เขาก็ยังไร้หนทางที่จะต้านทาน

หานซื่อก็เหมือนจะคาดเดาบางอย่างขึ้นมาได้ หรือว่าพลังของบุรุษผู้นี้จะบรรลุขอบเขตนภาเซียนในตำนานแล้ว ?

ต้องกล่าวเลยว่าแม้แต่ในตระกูลหานที่ว่าทรงพลังนักก็ยังมีจอมยุทธ์ในขอบเขตนภาเซียนเพียงน้อยนิดเท่านั้นและคนเหล่านั้นก็เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด หากหานโม่ฉือผู้นี้มีพลังอยู่ในระดับนั้นจริง มันก็เท่ากับว่าหานซื่อกำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่น่าหวาดหวั่นโดยแท้

เพียงแต่สิ่งที่คุณชายรองของตระกูลหานไม่เข้าใจก็คือเขาทำให้หานโม่ฉือและคนเหล่านี้ขุ่นเคืองใจตอนไหนกัน พวกเขาจึงได้หมายหัวและต้องการเล่นงานตัวเขาอย่างเจ็บแสบเช่นนี้ ?

“เหอะ กลับไปรายงานให้พ่อของเจ้าและคนทั้งตระกูลหานได้ทราบทั่วกันว่า ข้า ‘หานโม่ฉือ’ กลับมาแล้ว อีกไม่นานข้าจะไปเยือนตระกูลหานด้วยตัวเองและทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตระกูลหานติดค้างข้า บอกให้พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย”

หานโม่ฉือยิ้มอย่างเยือกเย็นทว่าน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความทะนงตนและความน่าเกรงขาม แม้ทราบดีว่าตระกูลหานมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและเขายังมิใช่คู่มือของฝ่ายตรงข้ามในตอนนี้ ทว่าหานโม่ฉือก็ไม่คิดที่จะปิดบังตัวตนที่แท้จริงแต่อย่างใด เขาต้องการให้หานซื่อส่งข่าวกลับไปก่อนเพื่อสร้างหวาดหวั่นให้กับตระกูลหาน ไม่ว่าตอนนี้บิดาและมารดาของเขาจะเป็นอย่างไร เมื่อทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันของหานโม่ฉือ คนตระกูลหานคงไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามหรือทำร้ายบิดามารดาของเขาอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น การทำให้คนตระกูลหานหวาดหวั่นกังวลใจ มันก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้พวกเขามากขึ้น

“หานโม่ฉือรึ ?”

เมื่อได้ยินชื่อของหานโม่ฉือ หานซื่อก็ชะงักไปเล็กน้อยทว่าไม่คิดมากนัก อย่างไรก็ตาม ผู้ติดตามที่อยู่ถัดจากเขากลับมีใบหน้าที่ซีดเผือดทันทีและดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

“คุณชายรองขอรับ นั่นมัน…”

บุรุษผู้นั้นกระซิบกระซาบบางอย่างข้างหูหานซื่อก่อนที่สีหน้าของคุณชายรองจะกลายเป็นบิดเบี้ยวเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ

“เป็นเจ้านั่นเอง ! กาลกิณีนัยน์ตาสีแดงฉานที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหานเมื่อนานมาแล้ว !”

หานซื่อเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับหานโม่ฉือมาก่อน กล่าวกันว่าในอดีตมีทารกคนหนึ่งเกิดมาพร้อมนัยน์ตาสีแดงฉานราวกับเป็นปีศาจและถูกมองว่าเป็นตัวกาลกิณีที่จะนำภัยร้ายมาสู่วงศ์ตระกูล เพื่อมิให้ความอัปมงคลจากทารกนั้นส่งผลต่อคนทั้งตระกูลหาน เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายของตระกูลจึงรวมตัวกันและบีบบังคับให้สองสามีภรรยาสังหารบุตรนัยน์ตาประหลาดของตนเสีย

อย่างไรก็ตาม บิดามารดาของหานโม่ฉือก็ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องบุตรของตน อีกทั้งยังถึงขั้นคิดคดทรยศต่อตระกูลเพียงเพื่อปกป้องความปลอดภัยของเขา

ในภายหลัง บิดาและมารดาของหานโม่ฉือก็ถูกจับตัวไป ทว่าทารกน้อยกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ตระกูลหานพยายามสืบข่าวคราวของหานโม่ฉือมาโดยตลอด ถึงอย่างไรพวกเขาก็มองว่าหานโม่ฉือเป็นตัวตนที่จะนำภัยร้ายมาสู่ทั้งตระกูลหาน ทว่าพวกเขาไม่เคยได้เบาะแสใด ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ คนที่พวกเขาเฝ้าตามหาจะปรากฏกายขึ้นมาในดินแดนเทพมายาในวันนี้

หลังได้ทราบถึงตัวตนของบุรุษตรงหน้า หานซื่อก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดหานโม่ฉือและพวกจึงหมายหัวเขาเช่นนี้ ในหัวใจของหานโม่ฉือคงอัดแน่นไปด้วยความชิงชังและความอาฆาตต่อตระกูลหานอย่างที่สุดและเฝ้ารอวันที่จะได้เอาคืน การที่หานโม่ฉือยังไม่ได้สังหารตัวเขาโดยตรงเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีมากแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบันมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก หลังจากบิดามารดาของหานโม่ฉือพาเขาหลบหนีไป บิดาของหานซื่อก็ส่งคนออกไปไล่ล่าพวกเขาเป็นเวลานานและหานโม่ฉือก็น่าจะทราบเรื่องทั้งหมดนี้เป็นอย่างดี

“โอ้ ตัวกาลกิณีงั้นหรือ…”

หานโม่ฉือแสยะยิ้มเยือกเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถาง

“ข้านี่แหละตัวกาลกิณีผู้นั้น อีกไม่นาน ข้าจะไปที่ตระกูลหานด้วยตัวเองและแสดงให้พวกอวดรู้เหล่านั้นได้ประจักษ์ว่ากาลกิณีที่แท้จริงเป็นอย่างไร”

เขาไม่สนใจถ้อยคำที่คนตระกูลหานใช้เรียกตนเองและเขาหมายมั่นจะสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นในอดีตให้จงได้

‘ตัวกาลกิณี’ เกรงว่านั่นจะเป็นสิ่งที่คนเจตนาร้ายบางคนกล่าวอ้างขึ้นมาเพื่อจัดการกับบิดามารดาของเขา หลังจากเฟ้นหาความจริงที่เกิดขึ้น หานโม่ฉือจะทำให้คนเหล่านั้นได้ชดใช้อย่างสาสม

วาจาและน้ำเสียงเยือกเย็นของหานโม่ฉือทำให้หานซื่อแทบสั่นสะท้าน บุรุษผู้นี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

แม้สีหน้าของหานโม่ฉือจะดูเรียบเฉย แต่หานซื่อก็สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นและจิตสังหารแรงกล้าที่แผ่ออกมา จู่ ๆ คุณชายรองของตระกูลหานก็มีลางสังหรณ์ว่าหลังจากนี้ตระกูลหานจะไม่สงบสุขอีกต่อไป

“หานซื่อ เจ้าก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดทีเดียว ข้าเชื่อว่าเจ้าคงรู้ดีว่าควรทำอย่างไร ทีนี้ข้าจะถามบางอย่างกับเจ้า หากเจ้าไม่ตอบตามความจริง วันนี้เจ้าอาจได้กลับไปแบบไม่ครบสามสิบสอง”

ฉินอวี้โม่กล่าวเชิงข่มขู่ แม้มีโอกาสสูงว่าหานซื่ออาจจะไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ทว่านางก็ตัดสินใจที่จะลองดูสักตั้ง

แน่นอนว่าหานซื่อพยักหน้าหงึกหงักทันทีและไม่กล้าปฏิเสธเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะยโสโอหังเป็นที่สุด แต่เขาก็รักตัวกลัวตายยิ่งกว่าสิ่งใด เขาไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ถึงแก่ชีวิต

“พ่อแม่ของโม่ฉือ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในตระกูลหานรึไม่ ? สถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างไร ?”

นางกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงเจือด้วยความจริงจัง ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าหานโม่ฉือไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับบิดาและมารดาของเขา

“ข้าไม่รู้…”

หานซื่อส่ายหน้าโดยที่ไม่มีความลังเล เขาไม่เคยทราบถึงรายละเอียดของเรื่องนี้เลย

“มีเพียงสมาชิกรุ่นก่อนของตระกูลหานเท่านั้นที่ทราบถึงเรื่องนี้ พวกเราคนรุ่นเยาว์ไม่รู้ข้อมูลใด ๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้น หานโม่ฉือและพ่อแม่ของเขาก็ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในตระกูลหานและไม่อนุญาตให้ใครกล่าวถึง”

หานซื่ออธิบายเพียงสั้น ๆ อย่างไม่พยายามปิดบังสิ่งใด คนในตระกูลหานไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องนี้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบิดาของเขา—หานชาง—ผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบันที่ไม่ชอบให้ผู้ใดกล่าวถึงเรื่องนี้แม้เพียงประโยคเดียว เพราะเหตุนั้นต่อให้หานซื่อสงสัยใคร่รู้แค่ไหน เขาก็ไม่กล้าถามหาความจริง

หลังจากมองหานซื่ออย่างพินิจพิจารณาและเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก ฉินอวี้โม่ก็กวาดสายตามองคณะผู้ติดตามของเขา

“พวกเจ้า หากมีใครรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าถามไป เพียงแค่กล่าวมาและข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปทันที”

น้ำเสียงของนางแสดงถึงการข่มขู่อย่างชัดเจน ทว่าต่อให้คนเหล่านี้ไม่ทราบข้อมูลใด นางก็จะปล่อยไปอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ต้องการตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากคนเหล่านี้หรือไม่

เมื่อพวกเขาได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ คนเหล่านั้นก็ใช้ความคิดอย่างหนักทันที พวกเขาไม่ได้รับรู้ถึงความหมายที่แอบแฝงอยู่ และต่อให้ทราบว่าอีกฝ่ายจะไม่สังหารตน พวกเขาก็ไม่กล้าวางใจจนเกินไป ด้วยเหตุนั้นทุกคนจึงพยายามนึกถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างรวดเร็วและหวังว่าจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่สามารถช่วยให้ตนเอาชีวิตรอดออกไปได้

ทันใดนั้น ผู้ติดตามที่อายุมากที่สุดก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขามองฉินอวี้โม่และกล่าวทันที “ท่านจอมยุทธ์ ในตระกูลหานของเรามีหอคอยต้องห้ามและเหมือนจะมีบางคนที่ถูกกักขังอยู่ในนั้นเช่นกัน เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นใคร โดยทั่วไปแล้วหอคอยต้องห้ามไม่เปิดให้ผู้ใดย่างกรายเข้าไป แม้แต่ศิษย์ของตระกูลก็ตาม ข้าคิดว่ามันอาจมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของท่านจอมยุทธ์หานโม่ฉือก็เป็นได้”

นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาทราบและส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น แทบไม่เคยมีใครในตระกูลที่ได้เข้าไปในหอคอยดังกล่าว พื้นที่โดยรอบของหอคอยต้องห้ามล้วนปกคลุมไปด้วยผนึกและมีข่ายอาคมมากมายหลายชั้น หากผู้ใดพยายามฝ่าทะลวงเข้าไป มันจะเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น เพราะเหตุนั้นในเมื่อไม่ทราบอย่างแน่ชัด เขาจึงทำได้เพียงคาดเดาออกไปอย่างสุ่ม ๆ เช่นนี้

เสี่ยวโร่วเคยกล่าวถึงหอคอยต้องห้ามมาก่อนแล้ว ฉินอวี้โม่จึงไม่แปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวโร่วไม่ทราบเกี่ยวกับคนที่ถูกกักขังไว้ข้างใน

ต่อให้จะมิใช่บิดามารดาของหานโม่ฉือที่ถูกขังไว้ในนั้น มันก็น่าจะเป็นคนอื่น ๆ ที่สำคัญสำหรับตระกูลหาน เห็นทีพวกนางจะต้องไปสำรวจที่นั่นด้วยตัวเอง

“ข้อมูลของเจ้ามีประโยชน์ทีเดียว เอาล่ะ ทีนี้ก็ไสหัวไปซะ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชา เนื่องจากทราบดีว่าจะไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกแล้ว นางจึงไม่ถามให้มากความอีก

“ไปซะ !”

หานโม่ฉือถอนแรงกดดันที่แผ่ไปยังหานซื่อและคณะผู้ติดตามก่อนกล่าวอย่างเยือกเย็นและไม่สนใจพวกเขาเหล่านั้นอีก

หานซื่อและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาราวกับผ่านพ้นหายนะไปได้ แม้พวกเขายังคงไม่พอใจกับการเสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึกในครั้งนี้ พวกเขาก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกไปและทำได้เพียงลุกขึ้นก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว

“คุณชาย เหตุใดท่านจึงบอกตัวตนที่แท้จริงกับคนพวกนั้นล่ ะ? ตอนนี้ท่านยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับคนตระกูลหาน หากคนจากตระกูลหานคิดทำร้ายท่าน สถานการณ์จะไม่เลวร้ายไปกว่าเดิมรึ ?”

เสี่ยวโร่วเอ่ยถามด้วยความสับสนและไม่เข้าใจว่าเหตุใดหานโม่ฉือจึงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนกับหานซื่อเช่นนั้น

“ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องถูกเปิดเผยออกไปอยู่ดี และไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากันอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังหรอก”

หานโม่ฉือกล่าวเบา ๆ โดยไม่อธิบายให้มากความ

ฉินอวี้โม่ก็เขย่ามือหานโม่ฉือเบา ๆ เป็นการปลอบประโลมเขา

“แต่ตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้รู้ว่าตระกูลหานอยู่ที่ใดหรือว่าจะไปที่นั่นอย่างไร ต่อให้ต้องการไปที่หอคอยต้องห้ามนั่น มันก็ไม่มีหนทางเลย”

ฉินอี้เฟยกล่าวระบุถึงปัญหาสำคัญในตอนนี้

ด้วยความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ หากเขาไปที่ตระกูลหาน เชื่อว่าเขาจะสามารถหลบหนีหรือเอาตัวรอดได้ อย่างไรก็ตาม ตระกูลลับก็เต็มไปด้วยปริศนาและยากเกินที่จะหยั่งถึง มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ทราบว่ามันอยู่ที่ใด

กล่าวกันว่าตระกูลลับทั้งสี่ตั้งอยู่ในมิติที่แตกต่างกันและมีทางเข้าไปสู่สถานที่เหล่านั้นอยู่ในที่ใดสักแห่งในดินแดนนี้ ตราบใดที่สืบหาข้อมูลและค้นพบทางเข้า จากนั้นก็สามารถที่จะเข้าไปที่นั่นได้

อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับอนุญาตจากทั้งสี่ตระกูล คนนอกก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในเขตพื้นที่ของพวกเขาได้ มิฉะนั้นอาจจะเผชิญกับเคราะห์ร้ายและไม่ได้มีโอกาสกลับออกมาอีก

ทันใดนั้น เสี่ยวโร่วก็นึกบางอย่างขึ้นได้และกล่าวออกไปทันที “ข้าตามหาทางเข้าที่นำไปสู่ตระกูลหานได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังมิใช่โอกาสที่เหมาะสม ถึงอย่างไรทางเข้าก็มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากตระกูลหาน เราก็คงต้องฝ่าเข้าไป ทว่าในกรณีนั้น พวกเราอาจไม่มีโอกาสได้เข้าไปใกล้หอคอยต้องห้ามด้วยซ้ำ”

เมื่อเห็นสีหน้าของเสี่ยวโร่ว ทุกคนก็ทราบดีว่านางจะต้องมีแผนการบางอย่างเป็นแน่

“อย่ามัวแต่ชักช้า รีบว่ามาเร็วเข้า”

ฉินอวี้โม่เคาะศีรษะเสี่ยวโร่วเบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม

เสี่ยวโร่วแสร้งทำหน้าตาเจ็บปวดพลางลูบศีรษะตรงที่ถูกเคาะเมื่อครู่ก่อนกล่าวตอบ “อีกครึ่งปีจะเป็นวันที่ทั้งสี่ตระกูลนัดพบกันในรอบหนึ่งร้อยปี และครานี้พวกเขาจะรวมตัวกันที่จวนตระกูลหาน เมื่อถึงตอนนั้น พวกท่านควรมาที่ตระกูลเหมยและปลอมตัวเป็นศิษย์ของตระกูล ข้าจะได้พาพวกท่านเข้าไปที่นั่นได้”

เสี่ยวโร่วกล่าวความคิดของตน ซึ่งถือว่าเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ

สี่ตระกูลลับจะรวมตัวกันหนึ่งครั้งในทุก ๆ หนึ่งร้อยปีเพื่อที่จะดูความก้าวหน้าพัฒนาของแต่ละตระกูล รวมถึงยอดฝีมือที่โดดเด่นมากพรสวรรค์ และงานรวมพลครานี้ก็จะจัดขึ้นที่จวนตระกูลหาน

ต่อให้ตระกูลหานจะทราบเรื่องหานโม่ฉือและต้องการจะยกเลิกงานรวมตัวครานี้ มันก็เป็นไปไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้น แน่นอนว่าเสี่ยวโร่วจะพาฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่หันมองหน้ากันก่อนพยักศีรษะเบา ๆ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาจะได้เข้าไปในตระกูลหานและเข้าไปสำรวจที่หอคอยต้องห้ามแห่งนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยตาตนเอง

ในขณะที่หลายคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็ไม่ทราบเลยว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว…

.