ตอนที่ 554 ญาติสนิทมิตรสหายพบกันอีกครั้ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากหานซื่อและคนของเขารอดออกไปได้ พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่ตัวเมืองซิ่งหัวทันที เมื่อนึกถึงความอัปยศอดสูที่ตนเองเพิ่งเผชิญ พวกเขาต่างก็คับแค้นไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือผู้นั้นมีพลังที่แกร่งกล้าเกินไปและพวกเขาไม่ใช่คู่มือแม้แต่น้อย หลังจากไตร่ตรองพักใหญ่ หานซื่อก็เกิดความคิดอย่างรวดเร็ว

เขาทราบว่ามีผู้คนมากมายต้องการครอบครองน้ำมันฤทธานุภาพ ตราบใดที่มันอยู่ในการครอบครองของฉินเฟยและหานโม่ฉือก็จะมีคนตามรังควานพวกเขาอย่างแน่นอน ต่อให้คนเหล่านั้นทำอะไรพวกเขาไม่ได้ มันก็น่าจะสร้างปัญหาปวดหัวให้กับพวกเขาได้ไม่น้อยทีเดียว

เมื่อคิดได้เช่นนี้ คุณชายรองของตระกูลหานก็ไม่รอช้าและสั่งคนกระจายข่าวเรื่องหานโม่ฉือออกไปทันที ในขณะเดียวกัน เขาก็นำคณะผู้ติดตามมุ่งหน้ากลับไปที่ตระกูลหานและต้องการแจ้งให้บิดาทราบถึงเรื่องของหานโม่ฉือ สำหรับเรื่องสำคัญเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาต้องรีบรายงานโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ทางตระกูลได้เตรียมพร้อมรับมือต่อไป

ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ ข่าวสารก็กระจายไปทั่วเมืองซิ่งหัว กล่าวกันว่าน้ำมันฤทธานุภาพที่ล้ำค่าถูกฉินเฟยและหานโม่ฉือช่วงชิงไปและตอนนี้มันอยู่ในการครอบครองของพวกเขา

เวลานี้ ฉินเทียนและคนอื่น ๆ ก็กำลังพักอยู่ในโรงเตี๊ยม เมื่อฉินจ้านผู้ซึ่งออกไปสืบข่าวคราวกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ท่านพ่อบุญธรรมขอรับ ข้าได้ข่าวของเสี่ยวโม่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ มาแล้ว”

ฉินจ้านกล่าวกับฉินเทียนในขณะที่ใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงความตื่นเต้นจนปิดไม่มิด พวกเขาไม่ได้พบกับฉินอวี้โม่มานานหลายปีและคิดถึงนางอย่างที่สุด บัดนี้เมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับนาง มันจึงยากที่เขาจะปิดบังความตื่นเต้นไว้ได้

เมื่อได้ยินว่าเป็นข่าวของฉินอวี้โม่ ฉินเทียนก็ลุกพรวดขึ้นยืนทันทีและมองบุตรบุญธรรมของตนด้วยแววตากระตือรือร้น “พาข้าไปที่นั่นและเล่าข่าวในระหว่างทาง”

แน่นอนว่าฉินจ้านไม่ลังเลและนำทางฉินเทียนออกจากตัวเมืองขณะเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในงานประมูล รวมถึงเหตุการณ์ในป่านอกเมือง

หลังจากฟังเรื่องราวจากบุตรบุญธรรม ใบหน้าของฉินเทียนก็ประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง นี่เป็นสิ่งที่มีเพียงบุตรสาวของเขาเท่านั้นที่จะทำได้และก็ยังมีหานโม่ฉือที่คอยช่วยอยู่เคียงข้างนางเช่นกัน

เพียงคิดว่าจะได้พบหน้าบุตรสาวที่รักยิ่ง ฉินเทียนก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เขาต้องการพบฉินอวี้โม่โดยเร็วที่สุด

หลังจากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ หารือกัน พวกนางก็ตัดสินใจกลับไปที่เมืองเพื่อพักผ่อน ทว่าในระหว่างทางนั้นพวกนางก็สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนแอบซุ่มจับตาดูอยู่ไม่ห่าง

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อคนเหล่านั้นเพียงซุ่มดูและไม่ลงมือทำสิ่งใด นางและคนอื่น ๆ จึงปล่อยผ่านไปอย่างไม่สนใจนัก

ทว่าเมื่อเข้าใกล้พื้นที่เมืองซิ่งหัว จู่ ๆ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ดูเหมือนจะมีจอมยุทธ์ทรงพลังอยู่ด้วย ทุกคนระวังตัวด้วยล่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวเตือนทุกคน นางทราบว่าหานซื่อเป็นบุคคลที่ไม่ยอมรามือง่าย ๆ และจะต้องหาทางเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชนเพื่อสร้างปัญหากวนใจพวกนางอย่างแน่นอน

ทุกคนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับคนเหล่านั้น

ภายในไม่กี่อึดใจ บุคคลทรงพลังหลายคนก็ปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาโดยผู้ที่อยู่หน้าสุดคือบุรุษวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาซึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข

เมื่อพบหน้าบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น ทุกคนที่ประหม่ากังวลก่อนหน้านี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

แม้จากระยะไกล ๆ ฉินเทียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนเหล่านี้และรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม

แม้ฉินอวี้โม่จะสวมหน้ากากบดบังใบหน้าและสวมอาภรณ์บุรุษ ฉินเทียนก็จำบุตรสาวของตนได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

เขาพุ่งตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่ทันทีก่อนอ้าแขนโอบกอดนางอย่างอบอุ่น

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าคงจะเหนื่อยมาก…”

ฉินเทียนทอดถอนหายใจเบา ๆ ขณะกล่าวด้วยความตื่นเต้นเช่นเดิม

“ท่านพ่อ”

ฉินอวี้โม่ปล่อยให้บิดากอดตนไว้แน่นและซึมซับความรักจากผู้เป็นบิดาอย่างอบอุ่นขณะใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขใจ

“ท่านพ่อตา ท่านจะไม่ทักทายบุตรคนโตก่อนรึขอรับ ?”

หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยทว่าเขาก็ดึงฉินอวี้โม่ออกจากอ้อมแขนของฉินเทียนอย่างแผ่วเบา แม้บุรุษผู้นี้จะเป็นบิดาของฉินอวี้โม่ เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสตรีคนรักอยู่ในอ้อมกอดของชายอื่น

ฉินเทียนไม่ทราบถึงความหมายจากคำพูดของหานโม่ฉือเลยสักนิด ทว่าเขาเพียงตบไหล่หานโม่ฉือเบา ๆ และยิ้มแย้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร”

ในครานั้นตอนที่หานโม่ฉือเอาตัวเข้าแลกเพื่อช่วยชีวิตของฉินอวี้โม่ไว้ ฉินเทียนและคนอื่น ๆ ก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดีและพวกเขาต่างก็มองเห็นความเศร้าโศกในแววตาของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน

เขาเชื่อมั่นว่าหานโม่ฉือจะไม่เป็นอะไรและจำต้องพลัดพรากจากไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น แน่นอนว่าตอนนี้ข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้องทุกประการ

“แน่นอนขอรับ ข้ามีหน้าที่ที่ต้องดูแลโม่เอ๋อร์ไปตลอดชีวิต”

หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางและใบหน้าแสดงถึงความรักที่มีต่อฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน วาจาของเขาก็แสดงถึงความเคารพต่อท่านพ่อตาอย่างมากเช่นกัน

“ท่านพ่อ พี่ใหญ่”

ฉินอวี้โม่หันไปมองฉินอี้เฟยซึ่งยืนนิ่งโดยไม่กล่าวสิ่งใดพร้อมชี้ไปที่ฉินเทียน

ฉินเทียนสนใจเพียงแต่บุตรสาวตรงหน้าจนไม่ทันสังเกตคนรอบตัว บัดนี้เมื่อได้วาจาของฉินอวี้โม่ เขาจึงเริ่มกวาดสายตามองไปรอบด้าน

เมื่อหันไปพบกับบุรุษซึ่งมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับตนเองหลายส่วน รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของฉินเทียนอีกครั้ง…

เขาไม่รอช้าและเดินตรงเข้าไปหาฉินอี้เฟยทันที บิดาอ้าแขนกอดบุตรชายทันทีและตบไหล่เขาเบา ๆ

“เฟยเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าคงจะทุ่มเทพยายามอย่างหนักจริง ๆ”

เขาทั้งรักและเป็นห่วงบุตรชายมากเช่นกันทว่านั่นแตกต่างจากความรักที่เขามีต่อฉินอวี้โม่ ในความคิดของฉินเทียนนั้นบุตรสาวคู่ควรกับการเอาใจใส่ประคบประหงมในขณะที่บุตรชายคู่ควรกับการเป็นห่วงและไว้ใจ ฉินอี้เฟยคือบุตรชายคนโตของเขาและเป็นพี่ชายของฉินอวี้โม่ ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องยากลำบากเพียงใด ทุกอย่างก็ล้วนเป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้เขาเข้มแข็งมากขึ้น ในฐานะบิดา ฉินเทียนจะช่วยเขาทุกอย่างตามที่ต้องการทว่าไม่ต้องการเอาใจปกป้องตลอดเวลา

“ท่านพ่อ”

ฉินอี้เฟยมองบิดาที่ไม่ได้พบกันมาเนิ่นนานและหัวใจสั่นไหวเล็กน้อย เขาเข้าใจทัศนคติของบิดาเป็นอย่างดีและเชื่อมั่นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาสัมผัสได้ถึงความรักที่บิดามีให้ตน เพียงแต่การแสดงออกแตกต่างกันก็เท่านั้น

“ลูกรักของพ่อ หากแม่ของเจ้าได้มาเห็นเจ้าในตอนนี้ นางจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ”

ฉินเทียนตบไหล่ฉินอี้เฟยอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เต็มเปี่ยม

บัดนี้ครอบครัวของเขาใกล้ที่จะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเต็มที ยังขาดก็เพียงแต่อวี๋เสี่ยวอวิ๋น—ภรรยาของเขาที่ยังหายตัวไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เวลานี้พวกเขายังไม่มีเบาะแสว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ที่ใด การรวมตัวกันพร้อมหน้าของทั้งครอบครัวดังที่ใฝ่ฝันนั้นอาจยังห่างไกลเกินเอื้อม

“นายท่าน จำข้าได้รึไม่เจ้าคะ ?”

เสี่ยวโร่วเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้พบฉินเทียนอีกครั้ง ถึงอย่างไรการที่นางมีชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เป็นเพราะฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่ช่วยนางไว้ในครานั้น ฉินอวี้โม่ก็เป็นเหมือนพี่สาวแท้ ๆ คนหนึ่งของนาง อีกทั้งนางยังมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับฉินอี้เฟย แน่นอนว่าฉินเทียนเองก็เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่นางรักและเคารพอย่างยิ่ง

ฉินเทียนได้ยินเสียงหวานของเสี่ยวโร่วและหันไปมองอย่างพินิจพิจารณา หลังจากนึกย้อนไปในอดีตครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มและกล่าวอย่างเอ็นดู “เสี่ยวโร่ว เจ้าโตเป็นสาวเช่นนี้แล้วรึ ?”

เขายื่นมือแตะศีรษะเสี่ยวโร่วอย่างเอ็นดู สำหรับฉินเทียนแล้ว เสี่ยวโร่วก็เป็นเหมือนบุตรสาวคนหนึ่งเช่นกัน

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเอ็นดูของฉินเทียน ดวงตาของเสี่ยวโร่วก็รื้นขึ้นมา นี่คือสิ่งที่นางใฝ่ฝันและตั้งตารอมานานเหลือเกิน หากได้พบอวี๋เสี่ยวอวิ๋นทั้งตัวจริงและตัวปลอมที่เลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ เด็กสาวก็คงจะสุขใจอย่างที่สุด

“ท่านพ่อ อีกไม่นานเสี่ยวโร่วก็จะกลายเป็นพี่สะใภ้ของข้าแล้ว”

เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำด้วยความซาบซึ้งใจของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มกว้างและเดินเข้าไปจับมือของนางไว้

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเทียนก็มองเสี่ยวโร่วและฉินอี้เฟยสลับกันไปมาทันที สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นว่ากำลังใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนคลี่ยิ้มและหัวเราะชอบใจ “ฮ่า ๆ ๆ ข้าจะได้มีลูกสะใภ้เป็นเด็กดีอย่างเสี่ยวโร่วรึนี่ หากแม่ของเจ้ารู้เข้า นางจะต้องยินดีมากแน่ ๆ”

เขาไม่สนใจสถานะตัวตนของเสี่ยวโร่วแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเคยเป็นเด็กสาวรับใช้ในอดีตหรือเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเหมยในปัจจุบัน ตราบใดที่ฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่รักและถูกใจนาง ฉินเทียนก็มีความสุขและยินดีกับทั้งสอง

“คุณหนูชอบแกล้งข้าอยู่เรื่อยเลย~”

เสี่ยวโร่วบีบมือฉินอวี้โม่เบา ๆ และน้ำตาในดวงตาแห้งเหือดไปขณะยิ้มอย่างเคอะเขิน

“นายท่าน จะว่าไปแล้ว…คุณหนูก็มีเรื่องที่น่าประหลาดใจให้ท่านด้วยเจ้าค่ะ”

เนื่องจากทราบว่าฉินเทียนยังไม่รู้ถึงเรื่องบุตรน้อยทั้งสองของฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที

“โอ้ ? เรื่องน่าประหลาดใจอะไรหรือ ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเทียนก็หันมองบุตรสาวของตนด้วยแววตาสงสัย นอกจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแล้ว เขาก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะมีสิ่งใดที่ทำให้เขาประหลาดใจได้…

“เสี่ยวอ้ายฉือ…เสี่ยวอ้ายโม่… เรียกท่านตาเร็วเข้า”

หานอวี้เดินออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวได้เวลาเหมาะเจาะพอดีขณะอุ้มเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ในอ้อมแขน

“ว่ายกง~”

*外公 ว่ายกง, คุณตา

เด็กน้อยชายหญิงกล่าวด้วยเสียงหวานอย่างว่าง่าย

เวลานี้ทั้งสองอายุเกือบครบสามขวบแล้วซึ่งเป็นวัยที่สามารถทรงตัวเดินและพูดได้มากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองก็ไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไปและไม่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเสียงดังกวนใจซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก

เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ก็ต่อสู้แย่งชิงกันเป็นประจำเพื่อให้ได้เล่นสนุกกับเด็กน้อยทั้งสอง ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีปัญหาหรือรำคาญใจไม่ว่าพวกมันส่งเสียงดังเพียงใด เพราะแม้ว่าจะต่อสู้แย่งชิงกันอย่างไร พวกมันก็ยังเป็นสหายที่ดีต่อกันและรักกันอย่างจริงใจ

เมื่อได้ยินเสียงของเด็กน้อยทั้งสองและเห็นความน่ารักน่าชังอย่างที่สุด ฉินเทียนก็ตกตะลึงจนค้างไปทันที เขาไม่คิดเลยว่าตนเองจะเป็นท่านตาเต็มตัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หลานทั้งสองก็เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ หลานทั้งสองของลุง มาสิ มาให้ลุงกอดให้ชื่นใจก่อนเถอะ”

ฉินจ้านเห็นฉินเทียนตกตะลึงและก้าวเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาอุ้มเด็กน้อยทั้งสองทีละคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข

เด็กน้อยน่ารักน่าชังเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นก็ต้องรู้สึกเอ็นดู

“จิ้วจิ่ว~”

เมื่อมารดาพยักหน้าเล็กน้อย เจ้าหนูทั้งสองก็ส่งเสียงเรียกทันทีก่อนหอมแก้มฉินจ้านทั้งซ้ายขวา

ฉินจ้านคาดไม่ถึงกับเสียงเรียกอย่างชัดเจนของทั้งสองทว่าเขาก็มีความสุขอย่างยิ่ง

“โม่เอ๋อร์ เจ้านี่ไวไม่เบาเลย หลานทั้งสองโตถึงขนาดนี้แล้ว”

ฉินจ้านยิ้มและถือโอกาสนี้กล่าวทักทายฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ

“พี่จ้าน พลังของท่านก็พัฒนาขึ้นมากหลังจากที่ไม่พบกันหลายปี”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ฉินจ้านเป็นเหมือนพี่ชายอีกคนของนาง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็พยายามปกป้องนางอย่างเต็มที่

“ไม่หรอก ถึงอย่างไรก็ยังด้อยกว่าเจ้า ฮ่า ๆ ๆ”

ฉินจ้านกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ ก่อนพยักหน้าทักทายฉินอี้เฟยและหานโม่ฉือ

“ส่งหลานทั้งสองมาให้ข้าเร็วเข้า”

ในที่สุดฉินเทียนก็เรียกสติกลับคืนมาและตอบสนองด้วยการมองฉินจ้านตาเขม็งพร้อมรับหลานตัวน้อยทั้งสองมาในอ้อมแขน

“ท่านพ่อ แฝดชายเป็นคนน้องชื่อว่าฉินอ้ายฉือ ส่วนแฝดหญิงเป็นคนพี่ชื่อว่าหานอ้ายโม่เจ้าค่ะ ข้าให้กำเนิดทั้งสองตอนอยู่ในโลกมายาและตอนนี้ทั้งสองก็มีอายุเกือบครบสามขวบแล้ว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างพร้อมกล่าวแนะนำกับบิดา

“เยี่ยม เยี่ยมไปเลย”

ฉินเทียนมองหลานตัวน้อยทั้งสองด้วยแววตาประคบประหงมตามใจพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

“ว่ายกง~”

ทั้งสองเอ่ยเรียกด้วยเสียงหวานอีกครั้งและหอมแก้มท่านตาทั้งซ้ายขวา

รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเทียนเปิดเผยอย่างชัดเจน เขาหอมแก้มหลานตัวน้อยไม่หยุดพลางหัวเราะอย่างมีความสุข

“ฮ่า ๆ ๆ”

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสุขใจของฉินเทียน ทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน เวลานี้สิ่งอื่นทั้งหมดที่รออยู่ข้างหน้าถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ พวกเขาเพียงดื่มด่ำกับความสุขระยะสั้นที่ดูจะไร้ที่สิ้นสุด…