หลังจากทักทายเสี่ยวเหยียนและคนอื่น ๆ ที่เดินทางมาพร้อมกับฉินเทียน ฉินอวี้โม่ก็เชิญทุกคนเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทันทีเพื่อเดินทางกลับตัวเมืองด้วยกัน

หลังจากทราบขอบเขตพลังในปัจจุบันของหานโม่ฉือ ทุกคนก็อดอุทานออกมาด้วยความตกใจไม่ได้ ทว่าน้ำเสียงของพวกเขาล้วนบ่งบอกถึงความสุขและความยินดีอย่างยิ่ง

ยิ่งหานโม่ฉือแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาเหล่านั้นก็รู้สึกยินดีมากขึ้นเพียงนั้น ถึงอย่างไร หานโม่ฉือก็เป็นสหายพวกพ้องของพวกเขาทุกคนและพวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความแข็งแกร่งของเขาจะพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ

ฉินอวี้โม่เองก็บรรลุขอบเขตพสุธาเซียนแล้วและอสูรมายาทั้งหลายของนางก็กลายเป็นอสูรพสุธาเซียนแล้วเช่นกัน ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนทั้งประหลาดใจและตั้งตารอไม่ต่างกัน

บัดนี้ฉินอวี้โม่เพียงคนเดียวก็มีอสูรมายาระดับพสุธาเซียนอยู่ภายใต้การปกครองมากกว่าสิบตัวแล้วและพวกมันจัดเป็นกองทัพที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ พวกเขาต่างก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพัฒนาการของตนเองในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าหลังจากเดินทางมาที่ดินแดนเทพมายา พวกเขาจะเผชิญกับปัญหาความล้มเหลวเป็นบางครั้งบางครา ทว่าพวกเขาทุกคนก็ไม่ย่อท้อและพัฒนาตนเองจนมาถึงทุกวันนี้ได้ ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจไม่น้อย

ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือในดินแดนของตนเอง ทว่าหลังจากที่เดินทางมาถึงดินแดนเทพมายาแห่งนี้ พวกเขาก็ยังพัฒนาฝีมือของตนเองจนกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้มากพรสวรรค์ของดินแดนแห่งนี้ได้และแน่นอนว่านั่นทำให้พวกเขาทุกคนสุขใจเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับฉินเทียนและคนอื่น ๆ เมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่เต็มใจแยกจากกัน เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวต่อไป

ฉินจ้านก็ออกไปจัดการธุระและมอบหมายหน้าที่ให้กับบรรดาศิษย์ทั่วไปจากดินแดนเทพมายาที่ไม่ได้มากับพวกเขาในตอนแรก

แน่นอนว่าพี่ใหญ่อย่างฉินอี้เฟยก็ไม่เต็มใจที่จะแยกจากน้องสาว บิดาและคนอื่น ๆ เช่นกัน เขาได้สั่งการให้บ่าวฮุยออกไปจัดการเรื่องบางอย่างและตนเองใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวร่วมกับทุกคน

สำหรับเสี่ยวโร่ว ครานี้นางเดินทางมาเพียงลำพังจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมการสิ่งใด นางอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อเล่นกับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่อย่างมีความสุขราวกับเป็นเด็กน้อยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องใด

เสี่ยวเหยียนเองก็เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาเช่นกันและนางก็สานสัมพันธ์กับเสี่ยวโร่วได้ในเวลาไม่นาน ตลอดช่วงนี้ ทุกคนในคฤหาสน์ล่องหนหลังน้อยต่างก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

ในช่วงหลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็ใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและในเวลานี้ทุก ๆ คนในดินแดนต่างก็เดินทางมาถึงเมืองซิ่งหัวแล้ว เห็นได้ชัดว่าการเรียกรวมพลช่างหลอมอย่างกะทันหันของสมาคมได้ก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายมากมาย

จอมยุทธ์มากมายจากหลายขุมกำลังเดินทางมาเข้าร่วมงานรวมพลครานี้และหนึ่งในนั้นคือสมาชิกจากนครล่าฝันซึ่งเป็นมิตรสหายที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่

หัวหน้ากลุ่มสมาชิกที่มาในครานี้ก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหลินจิ้งหง—สหายของหานโม่ฉือและเป็นผู้ที่ประทับใจในตัวของฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ เขาก็ตรงเข้ามาทักทายทันที หลังจากเวลาหลายปีที่ไม่ได้พบกัน คุณชายเจ้าสำราญในอดีตก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากและมีพลังความแข็งแกร่งที่บรรลุถึงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลาง เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ของเขาไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

สำหรับผู้ที่มาพร้อมกับหลินจิ้งหงในครานี้ก็เป็นบรรดามิตรสหายหลายคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับฉินอวี้โม่ตั้งแต่ในโรงเรียนราชสำนัก พวกเขาคือหลินซิวหยา หลี่จิ้ง เจียงหลิวเยว่ เนี่ยหรูเฟิง เพ่ยหลงและคนอื่น ๆ

เมื่อพบพวกเขาหลายคนในคราเดียว แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ย่อมมีความสุขอย่างที่สุด หลินซิวหยาและคนอื่น ๆ ก็ดีใจที่ได้พบกับสหายที่จากกันมานานเช่นกัน เขาและทุกคนเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น และหลังจากทราบว่าฉินอวี้โม่เป็นมารดาเต็มตัวแล้ว พวกเขาก็ไม่รอช้าและขอเป็นบิดามารดาอุปถัมภ์ให้กับเด็กน้อยทั้งสอง

ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของหลินซิวหยาและคนอื่น ๆ ก็พัฒนาขึ้นมาก เดิมทีพวกเขาก็ล้วนเป็นยอดฝีมือโดดเด่นที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของโรงเรียนราชสำนัก บัดนี้พวกเขาเกือบทุกคนก็บรรลุขอบเขตพสุธาเซียนกันแล้วและพลังการต่อสู้ของพวกเขาก็แกร่งกล้ากว่าก่อนมาก

“ฮ่า ๆ ๆ ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกิน ในที่สุดพวกเราก็ได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครา”

หลินซิวหยายิ้มกว้างอย่างมีความสุข พวกเขาทุกคนฝึกวิชากันอย่างหนักหน่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาและทราบดีว่าหนึ่งในเหตุผลที่พวกเขาทุ่มเทมากเช่นนี้ก็เพื่อเป็นสหายพวกพ้องที่ฉินอวี้โม่สามารถพึ่งพาได้และสามารถที่จะช่วยนางเมื่อถึงคราวจำเป็น

“แม้ว่าในโรงเรียนราชสำนัก พวกเราทุกคนล้วนเป็นหัวกะทิที่มีฝีมือโดดเด่น ทว่าตอนนี้ในเมื่อเราทุกคนมาอยู่ในดินแดนเทพมายากันแล้ว เราก็จะชะล่าใจไม่ได้ เรายังต้องพัฒนาตนเองต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน วันหนึ่งเราจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายาให้จงได้”

เจียงหลิวเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม นางมีอายุมากกว่าฉินอวี้โม่หลายปีซึ่งเดิมทีก็งดงามชวนมองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้เสน่ห์ดึงดูดของนางยิ่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมากและกลายเป็นสตรีที่งดงามมากขึ้นเรื่อย ๆ

“นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน แต่ว่า…ในขณะที่พัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะตบแต่งและสร้างครอบครัวกันไม่ได้”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มและชำเลืองมองเจียงหลิวเยว่และคนอื่น ๆ พร้อมกล่าวด้วยวาจาที่มีความหมายแอบแฝง

นางทราบมาบ้างแล้วว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกวิชาฝึกยุทธ์อยู่ด้วยกัน ความรักของสหายหลายคนของนางจึงก่อตัวขึ้นมา เจียงหลิวเยว่และหลี่จิ้งที่ไม่ค่อยพูดจากลายเป็นคู่กันในขณะที่เนี่ยหรูเฟิงผู้อ่อนโยนและเพ่ยหลงผู้ตรงไปตรงมาก็กลายเป็นคู่รักอีกคู่หนึ่ง เพียงแต่ทั้งสองคู่ยังไม่ได้ตบแต่งกันเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้น

“เฮ้ อย่ากังวลเรื่องของพวกเราเลย เรายังไม่อยากเป็นเหมือนเจ้าหรอกนะที่ตบแต่งกันอย่างรวดเร็วและมีลูกสองคนที่ต้องคอยดูแลอยู่ไม่ห่างเช่นนี้ หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกข้าก็ยังวางแผนที่จะออกเดินทางท่องไปทั่วดินแดนเทพมายาก่อน”

เพ่ยหลงจับแขนฉินอวี้โม่เบา ๆ และกล่าววาจาฉะฉานโดยไม่มีท่าทีเขินอายแม้แต่น้อย พวกนางทุกคนยังถือว่าอายุยังน้อยและไม่รีบร้อนแต่งงานเริ่มต้นครอบครัว บัดนี้ทุกคนเพียงต้องการช่วยสหายฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่และฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามไปด้วยกัน รวมถึงตามหามารดาของนางและไขปริศนาเรื่องราวมากมายที่รออยู่ข้างหน้า หลังจากนั้น พวกนางก็อาจจะเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเพื่อแต่งงานกันก่อนออกเดินทางท่องไปให้ทั่วดินแดน

“เพ่ยหลงพูดถูกแล้ว แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าชายตามองสตรีคนใดลับหลังพวกเราหรอก พวกเราเพียงไม่รีบร้อนก็เท่านั้น”

เจียงหลิวเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าวาจาฟังดูน่าหวั่นใจเล็กน้อย

“แน่นอน”

หลี่จิ้งและเนี่ยหรูเฟิงหันมองหน้ากันพร้อมรอยยิ้ม พวกเขายินดีที่จะถูกควบคุมโดยสตรีคนรักของตนเองเช่นนี้

หลินจิ้งหงและหลินซิวหยามองฉินอวี้โม่พร้อมกันและเพียงยิ้มโดยไม่กล่าวสิ่งใด ยังมีใครบางคนที่ครอบครองที่ในหัวใจของพวกเขาอยู่และหากไม่ช่วยให้คนผู้นั้นเติมเต็มความปรารถนาของตนเองให้สำเร็จ พวกเขาก็คงมิอาจชายตามองสตรีคนใดได้เลย ถึงอย่างไรแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความรู้สึกของพวกเขาก็ยังคงว่างเปล่าไม่เปลี่ยนแปลง

“ฮ่า ๆ ๆ คราก่อนเมื่อได้ยินว่าพี่อวี้และพี่ชิงเฟิงได้พบกับพี่อวี้โม่ ข้าก็รู้สึกอิจฉามากเลย โชคดีจริง ๆ ที่ครานี้ท่านอธิการอนุญาตให้ข้ามาและให้พี่อวี้จัดการธุระอยู่ที่นครล่าฝัน ข้าดีใจจริง ๆ ที่ได้พบกับพี่อวี้โม่”

ฉีฉีกอดแขนฉินอวี้โม่ไว้แน่นพร้อมยิ้มกว้างจนตาหยี ด้วยเวลาที่ผ่านมาหลายปี ตอนนี้นางจึงโตขึ้นมากแล้ว ฉีฉีในตอนนี้ดูคล้ายกับเหวินหย่ามากทว่านางมีความปราดเปรียวที่มากกว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสองมีความงดงามโดดเด่นที่ไม่ผิดแปลกแตกต่างกันเลยสักนิด

“เจ้านี่นะ โตแล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไม่เปลี่ยนเลย~”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงตามใจ นอกจากเสี่ยวโร่ว ฉีฉีก็เป็นอีกคนที่นางรักเหมือนดั่งน้องสาวคนหนึ่ง แม้ตอนนี้ฉีฉีโตขึ้นมากแล้ว ความรู้สึกของฉินอวี้โม่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

“ข้าขอไปเล่นกับพี่เสี่ยวโร่วและคนอื่น ๆ ก่อนนะ”

ฉีฉีกล่าวทิ้งท้ายก่อนวิ่งออกไปอย่างเร็วเพื่อไปเล่นสนุกกับเสี่ยวโร่วและคนอื่น ๆ

“จะว่าไปแล้ว…วิหารทมิฬ นครเวหา นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ครานี้ขุมกำลังพันธมิตรของเราส่งตัวแทนมาหรือไม่ ?”

เมื่อนึกถึงขุมกำลังพันธมิตรของตนเอง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไปพร้อมรอยยิ้มคาดหวัง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ สาเหตุที่นครล่าฝันพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นเช่นนี้ก็เป็นเพราะขุมกำลังเหล่านี้ช่วยเหลือไว้มากทีเดียว ในภายภาคหน้า ฉินอวี้โม่ก็ต้ั้งใจที่จะไปเยี่ยมเยือนเพื่อแสดงความขอบคุณต่อคนเหล่านั้นด้วยตัวเอง

“มีคนหนึ่งที่เจ้าเคยพบมาก่อนแล้วนั่นคือจอมยุทธ์อวิ๋นเฟิงจากนครเวหา เขาก็เป็นช่างหลอมเช่นกันและแน่นอนว่าต้องเดินทางมาที่เมืองซิ่งหัวด้วยตัวเอง สำหรับคนจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และวิหารทมิฬ ตัวแทนของพวกเขาล้วนเป็นคนมีพรสวรรค์ที่มีอายุไล่เลี่ยกับข้า เจ้าคงจะไม่รู้จักพวกเขาหรอก”

หลินจิ้งหงกล่าวตามความจริง

“เมื่อได้พบท่านจอมยุทธ์อวิ๋นเฟิง ข้าจะต้องเข้าไปทักทายเขาสักหน่อย”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะ เมื่อทราบว่าอวิ๋นเฟิงน่าจะปรากฏตัวให้เห็นในงานรวมพลช่างหลอมที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อยและเฝ้ารอให้ถึงเวลา

หลังจากนั้น เวลาหลายวันดังกล่าวก็ผ่านพ้นไปและในที่สุดก็มาถึงวันเริ่มงานรวมพลที่จัดขึ้นโดยสมาคมช่างหลอม

เช้าตรู่ของวันนี้ ทุกคนเดินทางมารวมตัวกันที่ลานจัตุรัสของเมืองซิ่งหัวเพื่อรอให้สมาชิกจากสมาคมช่างหลอมมาถึง

ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ ฉินเทียนและคนอื่น ๆ พบตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนนั่งลงบริเวณมุมตะวันตกเฉียงเหนือของลานจัตุรัสด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใด

เสี่ยวโร่ว เสี่ยวเหยียนและฉีฉีไม่สนใจเรื่องงานครานี้และเลือกอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเพื่อเล่นกับเด็กแฝดทั้งสอง

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็นั่งรอต่อไปและในเวลานี้ก็ยังไม่ได้มีผู้คนปรากฏขึ้นมามากนัก ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป บรรดาผู้มากฝีมือเกือบทั้งหมดก็มารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณนี้แล้ว

ผู้ที่ดึงดูดสายตาของฉินอวี้โม่เป็นคนแรกคือว่านเจียง—ผู้อาวุโสของนครหมื่นอสูรผู้ซึ่งนำกลุ่มยอดฝีมือของขุมกำลังไปที่ดินแดนหวนหลิงในอดีตและเกิดการปะทะครั้งรุนแรงกับพวกนาง

ว่านเจียงมาถึงลานจัตุรัสและกวาดสายตามองคณะของฉินอวี้โม่ เมื่อสายตาบรรจบกับฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือที่สวมหน้ากากบดบังใบหน้า เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าเมื่อหันไปเห็นหลินจิ้งหงและคนอื่น ๆ ซึ่งนั่งอยู่ถัดไป ว่านเจียงก็ยกยิ้มมุมปากก่อนเดินตรงเข้ามาหา

“ฮ่า ๆ ๆ คนจากนครล่าฝันมาถึงกันเร็วจริง ๆ เพียงแต่ไม่รู้เลยว่าต่อให้มาเร็วเช่นนี้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ?”

เขาก็ยิ้มมุมปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดสีถากถางอย่างชัดเจน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขุมกำลังของพวกเขาก็ยังอยู่ในสถานการณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลงและแน่นอนพวกเขาไม่ชอบหน้ากัน

“แล้วมันธุระกงการอะไรของเจ้า ?”

หลินจิ้งหงยืนขึ้นและกล่าวต่อ “เจ้าไปดูแลนครหมื่นอสูรให้ดีก่อนเถอะ ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้เกิดความขัดแย้งบางอย่างภายในนครหมื่นอสูร หวังว่าพวกเจ้าจะไม่สลายตัวไปก่อนที่สงครามที่แท้จริงจะเริ่มต้นขึ้น”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของว่านเจียงก็บิดเบี้ยวเหยเกทันที ในช่วงที่ผ่านมานี้เกิดปัญหาความขัดแย้งบางอย่างในนครหมื่นอสูรของเขาจริง ๆ เนื่องจากมีบางอย่างที่กำลังจะปรากฏขึ้นมาจึงทำให้พวกเขาเริ่มขัดแย้งกันเอง ยิ่งไปกว่านั้น การที่สูญเสียวิญญาณมังกรอมตะไปในดินแดนหวนหลิงครานั้น ว่านเจียงก็มิได้เป็นสมาชิกคนสำคัญเหมือนก่อนอีกต่อไป

“เหอะ หวังว่าพวกเจ้าจะรอดชีวิตออกไปจากเมืองซิ่งหัวได้ !”

ว่านเจียงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจราวกับเขาว่าทราบบางอย่างมา

“ฮ่า ๆ ๆ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวล”

หลินจิ้งหงและคนอื่น ๆ ยังไม่ทันเอ่ยตอบ ทว่าเสียงนั้นดังขึ้นมาจากอวิ๋นเฟิงแห่งนครเวหา

เมื่อเห็นอวิ๋นเฟิงปรากฏตัว ว่านเจียงก็ตวัดสายตามองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตาเขม็งโดยไม่เอ่ยสิ่งใดต่อทว่าหันกลับไปหาที่นั่งทันที

อวิ๋นเฟิงนั่งลงในที่ว่างถัดจากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รวมถึงคณะเดินทางของเขาก็นั่งลงด้วยเช่นกัน

“ท่านจอมยุทธ์อวิ๋นเฟิง พลังของท่านพัฒนาขึ้นมากทีเดียว”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ และเป็นน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงในกลุ่มของนาง

เมื่อได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่ อวิ๋นเฟิงก็ชะงักไปทันทีก่อนสีหน้ากลับเป็นปกติในไม่ช้า

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ทันสังเกตเห็นสหายน้อยอวี้โม่เลย ไม่ได้พบกันเสียนานหลายปี สหายอวี้โม่แทบจะก้าวผ่านข้าไปได้แล้ว”

ในเวลานี้ อวิ๋นเฟิงไม่อาจมองทะลุถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม การที่นางมีการพัฒนาที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นไปตามความคาดหมายของอวิ๋นเฟิง

ระหว่างสนทนากันอยู่นั้น คนจากวิหารทมิฬและนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึงลานจัตุรัสและนั่งลงไม่ไกลจากกลุ่มของฉินอวี้โม่เช่นกัน

หลังจากที่ทั้งลานเกือบเต็มไปด้วยผู้คน สมาชิกของสมาคมช่างหลอมก็มาถึงและปรากฏกายตรงหน้าทุกคน

.