“เจ้าผู้มาเยือนการมีตัวตนของพวกข้ามีความหมายต่อแดนมณี ทำไมถึงต้องหาวิธีกำจัดพวกเราเล่า?”
จ้าวสวนพูดด้วยภาษามนุษย์
น้ำเสียงของนางสงบใบหน้าดูเรียบเฉย นางส่งบรรยากาศอันสง่างามซึ่งตรงข้ามกับเด็กสาวโง่เขลาอย่างที่เคยเป็น
เงาบุพผาดาวเหนือศีรษะของนางหายไปโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
เมื่อเห็นว่าจ้าวสวนเปลี่ยนไปหลายคนก็เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้น ราวกับว่ากำลังจะมีบางอย่างเกิดขึ้น
ศิษย์พี่ใหญ่เลิกคิ้ว
“ธรรมชาติคัดสรรเป็นกฎแห่งจักรวาลพวกเจ้าที่อยู่ในแดนมณีทำให้วีรบุรุษหลายคนต้องตายที่นี่ ทุกอย่างเป็นวัฏจักร มนุษย์ในแต่ละยุคสมัยย่อมแข็งแกร่งกว่าเดิม และเวลาแตกดับของเจ้าก็มาถึงแล้ว”
ในตลอดกัลป์ที่ผ่านมาทวีปจิวโจวได้เจริญรุ่งเรืองไม่เคยหยุด คนแต่ละยุคแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้มีพรสวรรค์ในอดีตมิอาจเทียบชั้นฝีมือกับคนในยุคปัจจุบันได้
“ถ้าเจ้ายืนกรานเช่นนั้นข้าก็ทำอะไรไม่ได้แต่ถึงอย่างนั้น ข้าจะเตือนเจ้าว่าต้องกำจัดข้าให้ได้ในตอนนี้ เพราะเจ้ายังเหลือเวลาอีกหนึ่งวัน”
ภัยพิบัติบุพผาจะเกิดขึ้นในวันต่อไปความรุนแรงนั้นน่ากลัวจนกำจัดผู้เข้าร่วมได้สองในสิบส่วน คนเหล่านั้นจะติดอยู่ในแดนมณีไปตลอดกาล
“ในชีวิตนี้ที่ข้าชิงชังที่สุดก็คือคำขู่นี่แหละ”
ศิษย์พี่ใหญ่พูดอย่างไม่แยแสโซ่ที่มือขวาฟาดไปอีกครั้ง แต่จู่ ๆ ร่างที่แตกสลายของหลานสาวก็หายไปในควันใต้โซ่ คลื่นวิญญาณกระจายหาย
“เจ้ายังเหลือโอกาสอีกแปดครั้ง”
ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวเขากำลังขู่เข็ญจ้าวสวนและมีอาวุธระดับอสูรเนรมิตรในมือ ไม่มีบุพผาใดในเมืองที่เทียบเขาได้ เขาสามารถสังหารใครก็ได้ในเวลานี้
จ้าวสวนหรี่ตาในแววตาดูเศร้าหมอง แม้ว่านางจะมีอายุขัยนานนับนิรันดร์และไม่สนใจเหล่ามวลมนุษย์ แต่นางก็มิอาจก้าวข้ามเรื่องเลือดเนื้อเชื้อไขที่ถูกเอามาต่อรองได้
“ก็ได้ก็เอาอย่างที่เจ้าว่าแล้วกัน!”
แววตาจ้าวสวนไร้เยื่อใยบุพผามากมายหลากสีสันบานเหนือหัวของนางในทันที
เงาบุพผาเหล่านั้นเบ่งบานต่อไป
“โอ้กลีบดอกไม้กำลังร่วงลงมาจากสวรรค์!”
กลีบดอกไม้กลีบหนึ่งร่อนลงที่ปลายจมูกหญิงสาวคนหนึ่งนางเงยหน้าไปมองและกรีดร้อง ทุกคนหันไปมองท้องฟ้าและนึกขึ้นได้ในทันที
กลีบหลากสีสันเหล่านี้ร่วงหล่นมาจากเมฆาพวกมันหล่นมาจากเมืองสวนบุพผาไปยังนอกเมือง และในทุกระยะของแดนมณี
ในเนินเขาห่างไกลเด็กสาวท่าทางน่ารักสดใสกำลังขี่วิหคเพลิงอยู่ นางมีลักยิ้มที่มุมปากเมื่อหัวเราะเบา ๆ
“พวกมันล้มเหลววิบัติบุพผามาถึงล่วงหน้า ข้าคงต้องไปหาเป้าหมายใหม่”
ฟึ่บ!
วิหคเพลิงกรีดร้องเสียงแหลมกระชากฟ้าด้วยคลื่นเสียงนั้นมันบินลอดรอยแยกมิติไป
เหล่าผู้เข้าร่วมแดนมณีในทุกพื้นที่มองเห็นกลีบบุพผาหล่นจากท้องฟ้าหลายคนตกตะลึงในความงดงาม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่ามันคือวิบัติบุพผา
ศิษย์พี่ใหญ่ตกตะลึงเช่นกันเขาชักสีหน้า
“วิบัติบุพผา!!เป็นไปได้ยังไง? วิบัติจะต้องมาถึงในเจ็ดวัน! ทำไมมันถึงมาล่วงหน้าก่อนหนึ่งวันเล่า?”
“อะไรนะ?นี่คือวิบัติบุพผารึ?”
คนสำนักช่างสวรรค์ที่รู้ความจริงถึงกับกลัวจนพูดไม่ออก
“อ๊าาา!จมูกข้า!”
หญิงสาวที่เจอกลีบดอกไม้เป็นคนแรกกรีดร้องจมูกของนางสูญเสียความรู้สึก ลวดลายไม้ปรากฏบนจมูก จมูกอันงดงามของนางกลายเป็นไม้ในพริบตาเดียว! ลวดลายไม้ที่ปลายจมูกขยายบริเวณไปถึงทั้งใบหน้า พอสิ้นเสียงร้อง ทั้งใบหน้านางก็กลายเป็นไม้! ตามมาด้วยคอ ลำตัว และแขนขา
“ตะตัวข้า…”
นางพูดด้วยความเจ็บปวดนางพูดจบประโยคไม่ได้ ภายในร่างกายของนางก็ได้กลายเป็นไม้เช่นกัน
เป๊าะ!
ไม่นานนางก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ผิวเนียนขาวราวหิมะได้กลายเป็นสีเทาหม่น นางยืนนิ่งราวกับต้นไม้ ไม่เหลือเครื่องชี้ความเป็นมนุษย์ในตัวนางอีก นางกลายเป็นรูปสลักไม้ไปแล้ว
“อ๊ากกก!ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย! ข้าก็ถูกกลีบดอกไม้เหมือนกัน!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกน
และก็เป็นเช่นเดียวกับหญิงสาวชาวหนุ่มได้กลายเป็นไม้ในเวลาอันสั้น เขากลายเป็นรูปปั้นไม้ไปอีกคนแล้ว!
ไม่ว่าจะมีพลังเท่าใดหรือแม้แต่อสูรเนรมิตรก็ไม่มีโอกาสรอดจากการเปลี่ยนเป็นไม้เมื่อได้แตะกลีบบุพผา นี่คือสิ่งที่เซียนมณีทิ้งเอาไว้
นี่คือพลังควบคุมการเกิดวิบัติของจ้าวสวนในสวนอื่น ๆ ภัยธรรมชาติจะเกิดในเวลาที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งเกินกว่าการควบคุมของจ้าวสวน มีเพียงจ้าวสวนบุพผาเท่านั้นที่จะสามารถกำหยดเวลาการเกิดและความรุนแรงของวิบัติได้
“พวกเจ้าทุกคนอยู่ที่นี่ซะ!” จ้าวสวนพูดอย่างไร้อารมณ์เมื่อเสียงดัง จำนวนกลีบที่ร่วงหล่นก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก มันหนาแน่นกว่าจุดอื่น
เหล่ายอดฝีมือแห่งจิวโจวในแดนมณีได้พบกับวิบัติอันโหดร้ายวีรบุรุษแห่งทวีปได้กลายเป็นหุ่นไม้ไปทีละคนท่ามกลางเสียงคำรามด้วยความแค้นและความเศร้า วิญญาณของพวกเขาแตกดับไปพร้อมกับร่างกาย
มีเพียงคนที่แน่วแน่และเฉือนส่วนที่แตะบุพผาจากร่างไปเท่านั้นที่รอดหวุดหวิด
มีเพียงไม่กี่คนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้นที่ใช้พลังวิเศษของตัวเองต้านทานได้
ศิษย์พี่ใหญ่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากเขากรีดร้องด้วยความตกตะลึง
“หยุดเดี๋ยวนี้ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า!” novel-lucky
จ้าวสวนสุขุมเยือกเย็น
“หากวิบัติเริ่มแล้วจะไม่มีใครหยุดมันได้อีก”
นางสามารถควบคุมเวลาการเกิดวิบัติได้แต่ไม่มีหนทางที่จะหยุดมัน
แม้ว่าเหล่าคนสำนักช่างสวรรค์จะชิงชังนางมากเท่าใดตอนนี้พวกเขาก็ได้แต่ทำตามแผนในการจับตัวหลานสาวอีกแปดคนที่เหลือของนาง
แน่นอนว่านางเร่งวิบัติก็เพื่อปกป้องหลานสาวทุกคน
“ถ้าอย่างนั้นก็เปิดประตูเคลื่อนย้ายซะ!”
ศิษย์พี่ใหญ่ตะโกนเสียงแข็ง
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะลดความเสียหายในเวลานี้ได้พวกเขาจะต้องหนีไปที่อื่น
จ้าวสวนดูไม่สนใจ
“ข้าขอปฏิเสธ”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ศิษย์พี่ใหญ่มีจิตสังหารอยู่เต็มอกเขาตาแดงก่ำเมื่อเป็นศิษย์ร่วมสำนักไร้ที่หลบซ่อนและกลายเป็นหุ่นไม้ไปทีละคน
จ้าวสวนตอบด้วยเสียงอันสงบลึกล้ำ “ข้ามีชีวิตมาหนึ่งกัลป์อายุขัยของข้าไม่มีวันจบ ข้าจะติดอยู่ในแดนมณีไปตลอดกาลเพื่อสิ่งใดกัน? ข้าถึงมีร่างเป็นเด็กสาว! ถ้าเจ้าฆ่าข้า นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องการ! สวนบุพผาจะไม่มีวันล่มสลายแม้ข้าจะแตกดับ หลังจากข้าตาย จ้าวสวนคนใหม่จะถือกำเนิดขึ้นมา”
คำพูดนางสื่อความโดดเดี่ยวเดียวดายทั้งไร้ความรู้สึกและสิ้นหวัง นี่คือสิ่งที่ทำร้ายหัวใจนางมาโดยตลอด
ศิษย์พี่ใหญ่โกรธแค้นไม่ว่าจะแผนไหนก็ล้มเหลวไปหมด!
“ก็ได้เจ้าก็จงตายไปซะ!”
ศิษย์พี่ใหญ่ตะโกนโซ่ที่รัดจ้าวสวนแน่นขึ้นกว่าเดิม เขาพยายามจะรัดจ้าวสวนจนตาย แต่ในตอนนั้นเองก็มีคลื่นพลังสีเลือดปะทุรอบตัวจ้าวสวน คลื่นพลังเหล่านั้นคือพลังมิติ และมันก็ล้อมรอบจ้าวสวนในทันที
“เคลื่อนย้ายมิติเรอะ?”
ศิษย์พี่ใหญ่หน้าหมอง ข้างกายซือหยูแสงสีแดงได้ก่อตัวพร้อมกับร่างของจ้าวสวน
ซือหยูจับไหล่ของจ้าวสวนและยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ศิษย์พี่ใหญ่หากวิบัติบุพผามิอาจหยุดยั้ง สังหารนางไปแล้วจะได้อะไร?”
ศิษย์พี่ใหญ่เบิกตากว้าง
“พลังมิติเรอะ?เจ้ามีกายาวิญญาณด้วยเรอะ?”
นี่คือคำอธิบายเดียวในพลังควบคุมมิติขณะที่ยังไม่ขึ้นเป็นอสูรเนรมิตร
ซือหยูไม่สนใจเขาหันไปมองจ้าวสวนบุพผา
“ใช้ประตูเคลื่อนย้ายแล้วหนีไปกับข้าเถอะ”
จ้าวสวนมองซือหยูด้วยแววตาไร้อารมณ์นางมิได้ขัดขืน ราวกับว่านางยอมรับโชคชะตาแล้ว ไม่สำคัญว่านางจะตายด้วยมือซือหยูหรือศิษย์พี่ใหญ่ มันไม่ต่างกันเลย “อย่าเสียเวลาเลยในสายตาของนาง เจ้าจะต่างอะไรกับพวกข้าเลบ่า?”
ยู่เหลียงกล่าวด้วยจิตสังหารเขากำลังเข้าใกล้ซือหยูจากด้านหลังขณะที่ต้องหลบกลีบบุพผาจากท้องฟ้า
ศิษย์พี่ใหญ่ตะโกน
“ซือหยูเซี่ยนส่งนางมาเดี๋ยวนี้!”
แน่นอนว่าเขาไม่ได้วางแผนจะสังหารจ้าวสวนจริงเขาเพียงแค่อยากจะจับตัวนางและชิงน้ำผึ้งร้อยบุพผาของนาง และสวนที่หกอันลึกลับก็อาจจะเปิดออกได้
เขามีเหตุผลต้องฆ่านางหรือ?เขาเพียงแค่ขู่นางเพียงเพื่อจะให้นางเปิดประตูเคลื่อนย้ายให้ เขาไม่เคยคิดจะฆ่านางจริง ๆ ตั้งแต่แรก!
ซือหยูไม่ประมาทเขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“จ้าวสวนเจ้าเคยคิดจะออกจากสวนบุพผาในสักวัน แล้วเดินทางไปสู่โลกภายนอกหรือไม่?” จ้าวสวนยิ้มเหยียดหยามแววตานางไร้สีสัน
“เจ้าเป็นคนที่สิบที่พูดเรื่องนี้กับข้าไม่ได้ผลหรอก สิ่งที่อยู่ในแดนมณีล้วนต้องอยู่ในพันธนาการของกฎที่มิอาจหนีไปไหนได้พ้น”
ซือหยูตอบ
“จริงหรือ?ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีสิ่งใดในโลกพันธนาการคนคนหนึ่งไปได้ตลอดกาลหรอกนะ”
เขาหลับตาเบาๆ ในท้องนภาสูงขึ้นไป มือยักษ์ที่จับต้องไม่ได้ฉีกสวรรค์ลงมาทันที
ศิษย์พี่ใหญ่และคนที่เหลือมองเหตุการณ์ตระการตาที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
จ้าวสวนเห็นบุรุษผมดำด้านหลังซือหยูกระชากสวรรค์ด้วยมือเดียว
แดนมณีสั่นราวกับจะล่มสลาย
“ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ขั้นสุดยอด!!”