ตอนที่ 36 รางวัลจากการคว้าชัย โดย Ink Stone_Fantasy
ณ ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านมีรัฐและตัวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วน เคยมีสิ่งมีชีวิตมากมายสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป บัดนี้กลับเหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า แห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาเท่านั้น
“ฟิ้ว”
ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวหนาเตอะผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศอันบิดเบี้ยว ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“ดินแดนหลูหมิง ตายเกลี้ยงหมดแล้วหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปยังตัวเมืองแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ไม่มีสิ่งมีชีวิตแม้แต่ชีวิตเดียว
เขาสาวเท้าไปก้าวแล้วก้าวเล่า ร่างกายก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปอย่างไม่หยุดหย่อนตามสถานที่ต่างๆ…คูเมือง ทุ่งร้าง ทะเลทราย หมู่บ้าน ทุ่งน้ำแข็ง ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เพียงแต่สายตาเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ แม้ตลอดคืนวันอันยาวนานที่ผ่านมา เขาจะท่องไปทั่วทิศเพื่อไล่สังหารฝูงมารผลาญทำลายมาตลอด และได้พบสถานที่ที่ถูกกลืนกินและทำลายล้างไปมากมายก็ตาม
แต่อย่าง ‘ดินแดนหลูหมิง’ ที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้กลับเป็นครั้งแรก!
ดินแดนหลูหมิงกว้างใหญ่ยิ่งนัก ใหญ่โตกว่าจักรวาลมากมาย เป็นสถานที่พำนักของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ‘บรรพชนหลูหมิง’ ที่นี่จึงย่อมมีสิ่งมีชีวิตมากมายเป็นธรรมดา
“ฝูงมารผลาญทำลายกำเนิดขึ้นจากกฎเกณฑ์อันสูงส่งหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนมองท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง “ต่อให้จะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแล้วกลับคืนสู่ความอลหม่าน ก็ทำลายล้างโดยตรงเสียเลยสิ ไยจึงต้องก่อกำเนิดฝูงมารผลาญทำลายให้มาล้างสังหารทุกหนแห่งด้วยเล่า…”
บางทีสำหรับกฎเกณฑ์อันสูงส่งแล้ว
มันคือกฎเกณฑ์ที่หมุนเวียนอย่างเยียบเย็นไร้ความเมตตา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้บำเพ็ญ เมื่อเขาได้เห็นเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นก็รู้สึกเพียงว่าเพลิงโทสะลุกโชนสุมทรวง
ต่อให้เป็น ‘โลกทิพย์นิจนิรันดร์’ ที่สับสนอลหม่านที่สุด ดีร้ายอย่างไรภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็มีผู้บำเพ็ญระบบทิพย์ เหล่ากลืนกิน ศาสตร์โบราณและอื่นๆ อยู่มากมาย พวกเขาต่างก็ครอบครองดินแดน แต่ละแถบล้วนมีผู้แกร่งกล้าประจำการอยู่ทั้งสิ้น คิดจะกลืนกินตามอำเภอใจ…ก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น พลังของมารร้ายเหล่านั้นค่อนข้างอ่อนแอ พลังทำลายล้างก็ธรรมดาทั่วไป
แต่ฝูงมารผลาญทำลายเข้ามากบดาน โดยทั่วไปก็เป็นชั้นที่แปดระดับยอดไปจนถึงระดับชั้นที่เก้า! ในบรรดาขั้นอลวนก็นับได้ว่าเป็นระดับยอดสุดแล้ว เป็นอันตรายยิ่งนัก
“ข้าต้องกำจัดพวกเข้าทิ้งให้จงได้” แววดุร้ายในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเข้มข้นยิ่งขึ้น
สวบ
เขาท่องไปทั่วทิศต่อไป
เสาะหาทั่วทุกหนแห่ง ต่อให้เป็นสถานที่อันไกลโพ้นอย่างยิ่ง เป็นสถานที่ห่างไกลซึ่งมีผู้บำเพ็ญอยู่แค่คนสองคน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนสำแดงเขตลวงลงไป ‘คัดเลือก’
อากาศอันสับสนอลหม่านใหญ่โตเกินไปแล้ว เมื่อตรวจตราอย่างละเอียดเช่นนี้ทั่วทุกหนแห่ง ต่อให้เป็นล้านล้านปีก็นับได้ว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเสาะหาไปแห่งแล้วแห่งเล่าโดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
“ยังมีรังระดับเกราะทองที่ต้องเสาะหาอย่างสุดกำลังด้วย”
กลางทางเดินโลกาพิศวง ร่างแปรสองร่างกำลังเสาะหา
นับตั้งแต่จากปราการอากาศมาจนบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบพื้นที่รังเกราะทองสองแห่งแล้ว ทว่ายิ่งนานไปก็ยิ่งหายสกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
……
บนศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่ที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน
ศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่นี้ เป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันมีขนาดหลายพันลี้ เมื่ออยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลกลับนับว่ามีขนาดเล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก บัดนี้ศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่นี้กลับมีคูหาอยู่แห่งหนึ่ง
ภายในคูหาก็คือ ‘แม่ทัพโม่กู่’ และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าของเขา
“ฟิ้ว ฟิ้ว…”
แม่ทัพโม่กู่นั่งอยู่ตรงนั้นพลางสะบัดศีรษะไปมาด้วยความตื่นเต้น “สุขสราญยิ่งนัก สุขสราญ สุขสราญ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หากผู้บำเพ็ญระดับสูงพวกนั้นรู้เข้า เกรงว่าคงจะต้องโมโหมากเป็นแน่ น่าเสียดาย อากาศอันสับสนอลหม่านกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต จะหาพวกเราให้พบนั้นเป็นไปไม่ได้เลย และข้าก็ไม่เชื่อด้วยว่าจะบังเอิญถึงเพียงนั้น”
“ครั้งนี้ข้าและคนอื่นๆ ก็กลืนกินไปบ้างแล้ว หาได้ยากนักที่จะสุขสราญถึงเพียงนี้”
“ตอนนี้นับว่าแม่ทัพโม่กู่คืนสู่ความสงบได้แล้ว”
ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าที่อยู่ข้างๆ หัวเราะ
ครั้งนี้แม่ทัพโม่กู่กินบรรพชนหลูหมิงผู้นั้นลงไป ทั้งยังกินสิ่งมีชีวิตไปถึงเก้าจุดเก้าส่วน ส่วนอีกห้าตนก็กลืนกินสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่จำนวนน้อยนิดลงไปจนหมด แน่นอนว่าเนื่องจากครั้งนี้สิ่งมีชีวิตมากมายยิ่งนัก ต่อให้กินลงไปเพียงน้อยนิดจากจำนวนนั้น ก็ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้ารู้สึกว่าดื่มด่ำอย่างหาได้ยากมากแล้ว อย่าง ‘แม่ทัพโม่กู่’ ตอนที่เพิ่งกลืนกินลงไปหมดนั้นก็แทบจะคลุ้มคลั่งไปเลยทีเดียว
“ความรู้สึกเช่นนี้ช่างงดงามเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าเวลาใดข้าจึงจะสามารถไปกินได้อีกครั้ง” นัยน์ตาของแม่ทัพโม่กู่สาดประกายออกมา
“แม่ทัพโม่กู่ บรรดาอ๋องกล่าวแล้วว่า จะกินมื้อใหญ่อีกสักมื้อในครั้งหน้า ก็ต้องรอให้ท่านถึงระดับชั้นที่เก้าเสียก่อน” อีกห้าท่านก็เอ่ยขึ้น
เดินอยู่ริมตลิ่งเป็นประจำ รองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไรกัน
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหมดก็มีเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้น!
หากกินเป็นประจำ เหล่าเทพจักรวาลจะต้องระวังตัวมากอย่างแน่นอน และสามารถตกหลุมพรางได้ง่ายมาก
มีเพียงแม่ทัพโม่กู่เท่านั้นที่มีสถานะพิเศษ…ฝูงมารระดับเกราะทองทั่วไปนั้นไม่มีคุณสมบัติลงมือกับผู้บำเพ็ญขั้นอลวน
“ระดับชั้นที่เก้าหรือ” แม่ทัพโม่กู่จนใจ “นี่ก็ยากเกินไปแล้ว”
ฝูงมารระดับเกราะทอง
ที่อ่อนแอที่สุดก็เป็นระดับชั้นที่เจ็ด ชั้นที่แปดก็นับว่าค่อนข้างน้อยแล้ว ระดับชั้นที่เก้าน่ะหรือ
ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญหรือว่าฝูงมารผลาญทำลาย คิดจะบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้า…ก็ยากเสียยิ่งกว่ายากแล้ว แม่ทัพโม่กู่เชื่อว่า แม้จะให้เวลาตนเป็นสิบเท่าร้อยเท่าก็เกรงว่าคงจะไม่มีหวังมากสักเท่าใดนัก
“นี่คือคำสั่งของบรรดาอ๋อง”
แม่ทัพโม่กู่ทำได้เพียงรับไว้เท่านั้น ฝูงมารผลาญทำลายเกิดมาก็เพื่อทำสงครามเข่นฆ่า ฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะสีเทา…แต่ละตนล้วนทำตามคำสั่งของฝูงมารระดับเกราะโลหิต ฝูงมารระดับเกราะโลหิต ล้วนไม่กล้าขัดคำสั่งของฝูงมารระดับเกราะทอง ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน ฝูงมารผลาญทำลายทั้งหมดล้วนไม่กล้าขัดคำสั่ง ‘อ๋อง’ เรื่องนี้ราวกับหยั่งรากลึกอยู่ในวิญญาณและเลือดเนื้อ
“ฟิ้ว…”แม่ทัพโม่กู่อ้าปาก
ทันใดนั้นวัตถุจำนวนมากก็ลอยออกมา
อาวุธนานาชนิด ที่เก็บวัตถุล้ำค่า คัมภีร์และอื่นๆ ทำเอาลานด้านข้างกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง
“สิ่งเหล่านี้ล้วนย่อยไม่ได้ทั้งนั้น” แม่ทัพโม่กู่กล่าว “รีบพลิกดูเร็วเข้าว่าอะไรมีประโยชน์บ้าง โดยเฉพาะคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ”
“ขอรับ”
“พวกเราจะตรวจดูเดี๋ยวนี้” ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้ากล่าว
สำหรับฝูงมารผลาญทำลายแล้ว สิ่งที่ดึงดูดพวกเขาจริงๆ ในโลกผู้บำเพ็ญ อย่างแรกก็คือเข่นฆ่าและกลืนกิน นี่คือความปรารถนาที่มาจากสัญชาตญาณ สองก็คือคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ! พวกเขาก็ต้องการจะซึมซุบประสบการณ์จากเคล็ดวิชาสืบทอดเพื่อให้ตนยกระดับขึ้น ฝูงมารเกราะทองแต่ละตนล้วนปรารถนาว่าจะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของความปรารถนาแล้วสำเร็จเป็น ‘อ๋อง’ ได้
แต่จะเสาะหาคัมภีร์กลับเป็นเรื่องยากมาก
ยิ่งเป็นคัมภีร์และศาสตร์ลับที่ล้ำค่ามากขึ้นเท่าไหร่ สถานที่จัดวางก็จะยิ่งสำคัญมากขึ้นเท่านั้น! สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘วังทวีสูญ’ และ ‘เมืองราชันย์มีด’ นั้นเก็บรวบรวมคัมภีร์ต่างๆ ที่ล้ำค่าเป็นที่สุด หรือรองลงมาอีกระดับหนึ่ง…บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ได้เก็บรวบรวมคัมภีร์ที่ยอดเยี่ยมเอาไว้เช่นกัน หากเป็นเหล่าขั้นรวมเป็นหนึ่งที่อ่อนแอกว่า คัมภีร์ก็อ่อนแอกว่ามากแล้ว
แม้พลังของฝูงมารผลาญทำลายจะแข็งแกร่ง แต่เนื่องจากมิกล้าลงมือกับขั้นอลวนตามอำเภอใจ พวกเขาจะเก็บรวบรวมคัมภีร์ก็ยากนัก ครั้งนี้สังหาร ‘บรรพชนหลูหมิง’ จนสิ้นใจ คัมภีร์ที่บรรพชนหลูหมิงเก็บรวบรวมมา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมให้ความสำคัญ
“ฟิ้วๆๆ…”
วัตถุจำนวนมากถูกคัดแยกประเภท
แม่ทัพโม่กู่และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าช่วยกันวิเคราะห์วัตถุพวกนี้ วัตถุภายในที่เก็บวัตถุล้ำค่าเหล่านี้ถูกนำออกมาจนหมด ทำให้วัตถุภายในลานแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดีๆๆ นี่เป็นคัมภีร์เคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณซึ่งเป็นจำพวกเปลวเพลิง เหมาะสมกับข้าเป็นที่สุด” หนึ่งในฝูงมารเกราะทองฉวยคัมภีร์เล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วตรวจสอบดูพลางเลิกคิ้วขึ้นมา แม้จะมิอาจฝึกฝนได้ แต่คำอธิบายและคำชี้แนะจำนวนมากภายในคัมภีร์กลับยังคงมีประโยชน์ต่อพวกเขาดังเดิม
คัมภีร์เล่มแล้วเล่มเล่าถูกหาออกมา
ซึ่งส่วนมากล้วนแต่เป็นคัมภีร์ที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญ แต่ที่ผ่านมาบรรดาฝูงมารเกราะทองก็ล้วนบำเพ็ญโดยอาศัยพรสวรรค์และสัญชาตญาณทั้งสิ้น ไหนเลยจะถ่องแท้อย่างที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ของบรรดาผู้บำเพ็ญกันเล่า
“เคร้ง”
วัตถุต่างๆ เช่นอาวุธถูกพวกเขาโยนไปไว้ข้างหนึ่งอย่างคร้านที่จะใส่ใจ
“เอ๊ะ” แม่ทัพโม่กู่อุ้มคัมภีร์เอาไว้ถึงแปดเล่ม ทันใดนั้นนัยน์ตาก็มีประกายคมกริบวาบขึ้นมา เขาหันมองไปทางด้านข้าง จ้องมองขอบด้านล่างสุดของวัตถุจำนวนนับไม่ถ้วนที่กองเป็นภูเขาเลากา เมื่อครู่เขาเพิ่งจะขว้างวัตถุไปกองหนึ่ง
“ไม่ชอบมาพากลแล้ว” แม่ทัพโม่กู่เดินไปพลางเหยียดมือออกไปแล้วคว้าออกไปกลางอากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า
แต่กลับคว้าอะไรบางอย่างเข้าไปได้จริงๆ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะขอรับ” ทั้งห้าคนมองไปทางแม่ทัพโม่กู่
“น่าแปลกนัก” แม่ทัพโม่กู่ฉงนสงสัยพลางจ้องมองไปกลางมือ “มองไม่เห็น สัมผัสรับรู้ก็ไม่ได้ แต่ว่ามันมีอยู่จริงๆ ตอนนี้ก็ถูกข้าจับเอาไว้ได้แล้ว! เมื่อครู่ข้าขว้างของออกไปกองหนึ่ง เสียงกระทบตรงจุดหนึ่งทำให้ข้าเกิดความสงสัยขึ้นมา…ข้าจึงพบมันเข้า”
แม้พวกเขาคร้านที่จะสนใจวัตถุเหล่านั้น
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะทอง การสัมผัสรับรู้รอบด้านละเอียดอ่อนเพียงใด แค่วัตถุกระทบกันก็ทำให้แม่ทัพโม่กู่พบวัตถุที่มองไม่เห็นอย่างสิ้นเชิงได้แล้ว
“มองไม่เห็น สัมผัสรับรู้ก็ไม่ได้ แต่กลับสามารถจับต้องได้” แม่ทัพโม่กู่ลูบคลำวัตถุในมือ “เหมือนกับป้ายอันหนึ่ง”
“ข้าขอดูหน่อยขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าคนอื่นๆ ก็ล้วนสนอกสนใจเช่นกัน
……………………………………