ตอนที่ 37 จักรวาลบ้านเกิด ยุคสิ้นสุด โดย Ink Stone_Fantasy
แม่ทัพโม่กู่และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้ามองไม่เห็นและสัมผัสรับรู้ไม่ได้จริงๆ หากมิใช่เพราะจับได้ด้วยมือตนเอง ก็คงมิอาจพบวัตถุนี้ได้เลย
“น่าแปลก”
“มีอะไรน่าประหลาดใจกัน ว่ากันว่าในโลกผู้บำเพ็ญก็มีสมบัติลับต่างๆ มากมายอยู่แล้ว! ยังมีวัตถุเร้นลับที่บ่มเพาะขึ้นมาอีกด้วย พวกมันล้วนแต่มีความสามารถอันน่าเหลือเชื่อต่างๆ กันไป”
“นี่อาจจะเป็นวัตถุพิสดารที่บ่มเพาะขึ้นมาจากอากาศอันสับสนอลหม่านกระมัง”
พวกเขาผลัดกันพูดคนละประโยคสองประโยค
แม้พลังรบของพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นฝูงมารเกราะทองโดยกำเนิด หากพูดถึงสิ่งที่เคยพบเห็นหรือการรับรู้หมื่นสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว เทียบกับผู้บำเพ็ญกลับห่างชั้นกว่ามากทีเดียว
“วัตถุพิสดารหรือ” แม่ทัพโม่กู่นัยน์ตาเป็นประกาย เขาคว้าเอาไว้แล้วเก็บลงไปภายในที่เก็บวัตถุล้ำค่าทันที “นี่คือสมบัติของข้า”
แม้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าจะอยากรู้อยากเห็น แต่ก็มิกล้าช่วงชิงกับแม่ทัพโม่กู่
“วัตถุพิสดารหรือ”
“สมบัติลับหรือ” แม่ทัพโม่กู่ก็แปลกใจ ตามปกติแล้วเขาก็ค้นคว้าบ้างเป็นครั้งคราว แต่ต่อให้ค้นคว้า ก็มิอาจพบได้ว่าวัตถุนี้มีวิธีใช้อย่างไร เขาจึงค่อยๆ ทิ้งมันไปจากสมอง
เพราะถึงอย่างไรสำหรับฝูงมารผลาญทำลายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นการเข่นฆ่า กลืนกินและบำเพ็ญอยู่นั่นเอง
……
วันคืนเคลื่อนคล้อยไป
ภายในจักรวาลบ้านเกิด
“โครมมมม…” ทั่วทั้งจักรวาลเกิดเสียงดังกัมปนาท รวมทั้งโลกวัตถุและหุบเหวลึกดำมืดก็ค่อยๆ ถล่มลง ดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนของโลกเทพก็ค่อยๆ ถล่มลง เข้าสู่การถล่มทลายในวาระสุดท้ายอย่างแท้จริง
ภายในเรือบินอลวนขนาดมหึมาลำหนึ่ง
ภายในเรือบินมีสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ พวกเขาล้วนแต่หลุดพ้นแล้ว อย่างน้อยก็เป็นเทพแท้
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนเคียงข้างกับอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยา พลางมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกผ่านผนังที่กลายเป็นโปร่งใสของเรือบินอลวน
“ยุคนี้จะสิ้นสุดลงแล้ว” อวี๋จิ้งชิวมองดูแล้วพูดขึ้น “ผ่านไปรวดเร็วจริงๆ เสวี่ยอิง ข้ายังจำครั้งแรกที่พวกเราพบกัน ณ เมืองชิงเหอแห่งโลกเผ่าเซี่ยได้ ตอนนั้นพวกเราสองคนมิได้เป็นแม้แต่เหนือธรรมดาเสียด้วยซ้ำ! บัดนี้ยุคจักรวาลที่แปดของจักรวาลบ้านเกิดของพวกเรากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
“ตอนนั้นข้ายังเยาว์วัยนัก เจ้ากลับเป็นเทพโลกาสวรรค์สามชั้นกลับชาติมาจุติ อายุมากกว่าข้าตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ช่างเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยอกเย้า
อวี๋จิ้งชิวเบ้ปาก “ท่านอยู่ข้างนอกก็เร่งเวลาบำเพ็ญตั้งหลายต่อหลายครั้ง ท่านต่างหากที่เป็นโคแก่น่ะ”
“เอาเถอะ ข้าเป็นโคแก่ เจ้าเป็นหญ้าอ่อนก็ได้”
สองสามีภรรยาปะทะคารมกัน จิตใจกลับผ่อนคลายลงไม่น้อย
ยุคจักรวาลแตกทลายก็มีกระบวนการหนึ่ง แม้เมื่อเทียบกันแล้วกระบวนการจะค่อนข้างสั้น แต่กลับกินเวลายาวนานถึงร้อยกว่าล้านปี
บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ล้วนมาถึงบนเรือบินอลวนลำนี้แล้ว และกำลังชมดูกระบวนการแตกทลายของยุคจักรวาลนี้ และกำลังรอคอย…รอคอยว่าระหว่างช่วงการแตกสลายในตอนท้ายสุด จะมีสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นหรือไม่!
มีเพียงสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่หลุดพ้นจากมหานทีแห่งกาลเวลาแล้วเท่านั้นจึงจะไม่แตกสลายไปพร้อมกับยุคจักรวาล
“ได้เห็นยุคจักรวาลบ้านเกิดสิ้นสุด จิตใจก็ซับซ้อนยิ่งนัก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ประมุขหยวนชูและผู้ครองชิงพูดคุยกัน แม้พวกเขาจะไปยังวังทวีสูญตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ทว่าเมื่อยุคจักรวาลบ้านเกิดสิ้นสุด พวกเขาก็อยากจะมาเห็นกับตาเสียหน่อย
เพราะถึงอย่างไร…
นับตั้งแต่ยุคจักรวาลถัดไปเริ่มต้น พวกเขาก็จะถูกจักรวาลบ้านเกิดผลักไส มิอาจเข้ามาได้อีกแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตของยุคจักรวาลถัดไปแล้ว
ผ่านไปปีแล้วปีเล่า
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูทุกสิ่งเกิดขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไปตามบริเวณต่างๆ ของจักรวาลบ้านเกิดแล้วชี้แนะพวกเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นด้วยตนเอง เขาหวังว่าก่อนช่วงสุดท้ายจะมาถึง เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นเหล่านี้จะสามารถหลุดพ้นได้สักหลายคน เพราะเมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เท่ากับรอดชีวิต
และช่างบังเอิญจริงๆ เพียงพันกว่าปีก่อนจะแตกทลายอย่างสิ้นเชิงในช่วงท้าย ก็มีเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นสามท่านหลุดพ้นและสำเร็จเป็นเทพแท้ถึงสามคนต่อเนื่องกัน
“ฟิ้ว…”
จักรวาลบ้านเกิด ทั้งจักรวาลก็แตกทลายครั้งใหญ่อย่างสิ้นเชิงโดยแท้จริง
ดาวเคราะห์ อากาศและโลกทั้งหมดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วกลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ราวกับของเหลวข้นขนาดมหึมาที่เริ่มซัดสาดและหมุนวน ภายในนั้นมีเรือบินอลวนอยู่ตรงกลาง
สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่หลายพันคนมองดูอยู่ห่างๆ มองดูยุคนี้กลายเป็นของเหลวข้นขนาดมหึมา
ในใจของพวกเขาทั้งซับซ้อนและรู้สึกปลงตก เนื่องจากในยุคของพวกเขานี้มีผู้ที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงถือกำเนิดขึ้น ทั้งยังนำคัมภีร์ล้ำค่าจำนวนมากกลับมาเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้การบำเพ็ญต่อจากนั้นง่ายดายขึ้นมาก สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ก็ถือกำเนิดขึ้นได้รวดเร็วขึ้นมากทีเดียว ตอนที่ยุคจักรวาลสิ้นสุดจึงมีสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่มากมายถึงเพียงนี้
แต่ว่า เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ยังคงมีจำนวนน้อยเกินไปอยู่ดี
“ไปกันเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก เขาสัมผัสได้ถึงแรงผลักไสของจักรวาลที่มีต่อพวกเขาแล้ว
หากเป็นระดับต่ำกว่าเทพอากาศลงมา…ก็จะไม่ถูกผลักไส เพราะถึงอย่างไรบรรดาเทพแท้ก็มิอาจคุกคามความมั่นคงของยุคจักรวาลได้ แต่เหล่าเทพอากาศกลับมีภัยคุกคามมากทีเดียว จักรวาลจึงต้องผลักไสพวกเขาออกไปอย่างแน่นอน!
“ฟิ้ว”
เรือบินอลวนบินออกจากรอยแยกของผนังจักรวาลเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล
พาสหายร่วมบ้านเกิดเหล่านี้บินท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านอยู่หลายวัน โดยเฉพาะไปตามสถานที่อันตรายต่างๆ ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา นับว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำเรือบินอลวนส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นไปยัง ‘เมืองโลกเทียม’ แห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา
……
เมืองโลกเทียม เป็นหนึ่งในเมืองอลหม่านสิบสามเมืองของวังทวีสูญ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีร่างแปรร่างหนึ่งหลับใหลอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน เพื่อทำหน้าที่ประจำการ
ในฐานะยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า เขาจึงมีแรงคุกคามอย่างมหาศาล ต่อให้เหล่าฝูงมารผลาญทำลายมีความอาฆาตแค้นต่อตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ไม่กล้ามายังพื้นที่ของตงป๋อเสวี่ยอิง ด้วยเกรงว่าจะถูกจับได้ทันทีที่ก้าวเข้าประตูเมืองมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดคนจากบ้านเกิดเข้าอยู่ในเมืองโลกเทียม ส่วนภายในวังทวีสูญน่ะหรือ มิใช่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าไปได้
“เมืองโลกเทียมหรือ”
“เนื่องจากท่านพ่อกลายเป็นประมุขตำหนักไปแล้ว จึงได้สร้างเมืองอลหม่านขึ้นใหม่อย่างนั้นหรือ”
“ไปๆๆ พวกเราไปดูกันหน่อยเถิด”
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาสนใจใคร่รู้เป็นอันมาก จึงได้พาสหายร่วมวิถีและสหายทั้งหลายออกไปดูเสียหน่อย
“นายน้อยทั้งสอง ให้ข้านำทางนะขอรับ” ทันใดนั้นก็มีพ่อบ้านและเหล่าทหารรักษาการณ์ติดตามไปด้วย
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาบำเพ็ญตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนบัดนี้ แม้ในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์จะเป็นเพียงระดับผู้ปกครองคนหนึ่ง แต่ระบบศาสตร์โบราณกลับบรรลุถึงเทพอากาศขั้นกำเนิดแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นบุตรธิดาของ ‘ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า’ ด้วยการบ่มเพาะของทรัพยากรจำนวนมาก จึงสามารถบำเพ็ญศาสตร์โบราณได้อย่างง่ายดาย แต่ก็เป็นเพียงเทพอากาศขั้นกำเนิดเท่านั้น นับว่าค่อนข้างอ่อนแอแล้ว
อย่าง ‘สิงหั่วสวินอี’ ศิษย์ของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นสามารถบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะสิงหั่วสวินอีเป็นบุตรที่เกิดหลังจากจักรพรรดิสิงหั่วบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วหลายๆ ด้านเช่นสายโลหิตก็แข็งแกร่งกว่า
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยายังพอนับได้ว่าธรรมดาสามัญ
แต่อย่างอวี๋จิ้งชิวมารดาของพวกเขา เมื่อเทียบกันแล้วก็อ่อนแอยิ่งกว่า ทรัพยากรที่ทุ่มเทให้กับอวี๋จิ้งชิวนั้นเพียงพอให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเจ็บปวดใจหาใดเปรียบได้แล้ว บัดนี้ยังคงเป็นเพียงผู้ปกครองระดับเทพแท้คนหนึ่งเท่านั้น
……
ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นจากห้วงนิทราแล้ว และอยู่ในเมืองโลกเทียมเป็นเพื่อนญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลาย
สถานะของตงป๋อเสวี่ยอิงในบรรดาขั้นอลวนเป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยเฉพาะพวกสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดอย่างเจ้าลัทธิภาพจิตและประมุขตำหนักอลหม่านนั้น ก็ปฏิบัติต่อเขาแทบจะเท่ากับเทพจักรวาลเลยทีเดียว พวกเขารู้ว่าฝูงมารเกราะทองเข้ามากบดาน และรู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังไล่สังหาร ทั้งยังเคยสังหารฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าด้วย และยังไล่ล่าอย่างยากลำบากมาโดยตลอด…
ไม่ว่าจะเป็นเพราะพลังหรือเพราะคุณูปการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างไว้ให้กับทั้งฝ่ายผู้บำเพ็ญ ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าล้วนเคารพนับถือเขาเป็นอันมาก
สถานะของตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมทำให้เส้นทางการบำเพ็ญของบุตรธิดาทั้งคู่ของเขาราบรื่นขึ้นมากเป็นธรรมดา
ทว่าตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับไม่พึงพอใจเลยแม้แต่น้อย แม้เขาตามตรวจสอบเพื่อเสาะหาฝูงมารผลาญทำลายตามที่ต่างๆ แต่สำหรับเขาแล้วการสำแดงเขตลวงนั้นเป็นการใช้แรงเพียงยกฝ่ามือเท่านั้น ระหว่างการเดินทางอย่างยากลำบาก ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ของเขาล้วนอยู่กับการบำเพ็ญ ด้วยปรารถนาว่าสักวันจะบรรลุถึงขั้นเทพจักรวาลได้
เส้นทาง แม้จะยาวไกล
แต่เขาก็ยังคงค่อยๆ เดินทางไปทีละก้าวๆ
………………………………..