หลังจากที่ออกจากเมืองซีหนิงจนมาถึงที่จิงตูแล้ว เรื่องสำคัญที่สุดที่เฉินฉางเซิงได้เผชิญมา ไม่ใช่การไปถอนหมั้นที่จวนขุนพลเทพตงอวี้ ไม่ใช่การได้พบลั่วลั่วที่กำลังลำบากอยู่ในสำนักฝึกหลวง และก็ไม่ใช่การได้เจอกับมังกรดำตัวนั้นในส่วนลึกของวังถง ถึงแม้การพบกันทั้งสองครั้งนั้นในบางมุมมองแล้วได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา แต่ที่ส่งผลต่อชีวิตของเขาอย่างแท้จริงก็ยังเป็นอาหารมื้อนั้นที่โรงเตี๊ยมในสวนหลีจื่อ
เขาได้พบกับถังซานสือลิ่ว ถึงได้รู้ว่าเดิมทีเด็กหนุ่มก็ควรจะไม่เอาจริงเอาจัง และไม่ควรเหมือนตนกับศิษย์พี่อวี๋เหริน เห็นชัดๆ ว่ายังเยาว์วัย แต่กลับมีชีวิตอย่างสงบราวกับคนแก่ที่อยู่มานาน ถึงได้รู้ว่าที่แท้โลกใบนี้ยังมีเรื่องบางอย่างที่ควรจะเข้าไปแย่งชิง ควรจะปล่อยวางก็ปล่อยวาง หรือก็คือ เขาได้เรียนจากถังซานสือลิ่วว่าการทำเช่นไรถึงจะสามารถมีชีวิตอย่างผ่อนคลายลงมาได้
เทียบกันแล้ว จากเวิ่นสุ่ยมาถึงจิงตู เรื่องสำคัญที่สุดของถังซานสือลิ่วก็คือการได้พบกับเฉินฉางเซิง เขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากเฉินฉางเซิง
นิสัยของพวกเขาตรงกัน ไม่ใช่ว่าเหมือนกันอย่างสมบูรณ์ แต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งขยับ คนหนึ่งนิ่ง คนหนึ่งเป็นดั่งน้ำ คนหนึ่งเป็นดั่งไฟ เมื่ออยู่ด้วยกันก็เข้ากันได้พอดี และสามารถแสดงพลังที่ห่างไกลไปจากอายุของพวกเขาได้
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ ถ้าหากเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วไม่ได้เจอกัน อย่างนั้นงานชุมนุมไม้เลื้อยก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น บางทีผลลัพธ์ของการสอบใหญ่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง สำนักฝึกหลวงไม่มีทางที่จะเปิดสำนักใหม่ขึ้นมาในตอนนี้ หรือกระทั่งมีการรับนักเรียนใหม่ เฉินฉางเซิงรับมือแรงกดดันจากตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวงไม่ไหว เรื่องราวทั้งหมดนั้นก็จะเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงอีกเส้นทางหนึ่ง
กระทั่งสามารถพูดได้ว่า ประวัติศาสตร์ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
ดูจากความหมายนี้แล้ว ยังเป็นการพบกันในครั้งนั้นที่สำนักเทียนเต้าของนักพรตน้อยจากชนบทอย่างเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วที่เพิ่งเข้ามาในจิงตู ช่างสำคัญอย่างหาใดเปรียบจริงๆ
“บางทีเจ้าอาจจะจงใจ บางทีเจ้าอาจจะมีเจตนา”
…อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ความไม่ตั้งใจ
ถังซานสือลิ่วมองตาของเขาแล้วพูดขึ้นต่อ “เจ้าไม่เคยคิดมาก่อน ข้ากับองค์หญิงลั่วลั่วนั้นเหมือนกัน ที่จริงแล้วบนหลังก็มีภาระหน้าที่อันแสนสำคัญอยู่”
เฉินฉางเซิงคิดว่าลั่วลั่วแบกรับภาระหน้าที่อันสำคัญของเผ่าปีศาจ ไม่ควรจะรับแรงกดดันจากการต่อกรของกลุ่มอำนาจทั้งสองที่ยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่ให้นางกลับมาที่สำนักฝึกหลวง กระทั่งจงใจที่จะลดจำนวนการพบเจอกันกับนาง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ถังซานสือลิ่วที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย เขาทำเรื่องมากมายขนาดนี้ในจิงตู เกรงว่าจะอยู่ในสายตาของคนที่มีเจตนาแฝง เช่นนั้นก็ล้วนเป็นเจตนาของผู้เฒ่าผู้นั้นของตระกูลถัง…
ในตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของถังซานสือลิ่ว เขาถึงได้เข้าใจขึ้นมา และเกิดความรู้สึกผิดขึ้น จึงอยากจะพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา
ถังซานสือลิ่วชูมือขวาขึ้นมา ส่งสัญญาณห้ามไม่ให้เขาพูดไร้สาระขนาดนั้น “แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะว่าข้ายังไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่ จึงไม่ต้องไปสนใจเรื่องพวกนี้ได้”
“เมื่อครู่เจ้าถามว่าสรุปแล้วข้าอยากจะทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้ช่วยเจ้า เจ้าผิดแล้ว เขาไม่ได้กำลังช่วยเจ้า แต่กำลังช่วยตนเองอยู่ เพราะว่าข้าเองก็เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นของเฉินฉางเซิงเจ้าเพียงคนเดียว ข้าอยากจะทำอะไร ข้าก็อยากให้ก่อนที่จะกลับเวิ่นสุ่ยไปสืบทอดตระกูล ไม่ต้องไปครุ่นคิดปัญหาของคนนับหมื่นแสน ไม่ต้องไปครุ่นคิดปัญหาของตระกูลอันยาวเหยียดนับพันลี้ ปัญหาที่หนักหน่วงพวกนั้นข้าไม่มีทางที่จะไปเขียน ข้าก็ทำเพื่อตัวของข้าเอง เพื่อให้พวกเราสามารถเล่นได้อย่างสนุกสนานและสุขใจสักครั้ง”
ถังซานสือลิ่วมองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “หลายวันก่อนข้าเคยพูดกับเจ้าที่นี่ คนหนุ่มก็ควรมีชีวิตอย่างคนหนุ่ม ควรหัวเราะก็หัวเราะ ควรด่าก็ด่า ควร…ทำไมวันนี้เซวียนหยวนผ้อถึงไม่ได้โค่นต้นไม้กัน ของว่างของหอเฉิงหูอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ…อย่างไรเสียในอนาคตรอจนเจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกผู้นั้น ตอนที่ผู้คนพูดถึงข้า นอกจากสถานะของประมุขตระกูลถังแล้ว ยังจะพูดถึงว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่จิงตูข้ากับเจ้าทำให้สำนักฝึกหลวงยืนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เช่นนั้นข้าก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากแล้ว”
ชะตาชีวิตของเขาถูกกำหนดแล้วว่าจะต้องเป็นประมุขของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย นี่ไม่จำเป็นต้องมานะบากบั่น ไม่จำเป็นต้องพยายาม ดังนั้นเขาจึงยิ่งให้ความสำคัญกับอนาคตของสำนักฝึกหลวง เพราะว่านั่นไม่ใช่มรดกจากบรรพบุรุษ แต่เป็นสิ่งที่เขาใช้มือทั้งสองข้างสร้างขึ้นมา
คนหนุ่มส่วนใหญ่ล้วนชอบพูดว่ามานะบากบั่น แต่ไม่ใช่คนหนุ่มทั้งหมดที่จะเข้าใจเหตุผลข้อนี้
“ข้าจะพยายาม”
เฉินฉางเซิงคิดดู แล้วพูดขึ้นอีก “เพราะว่าเหตุผลบางอย่าง เดิมทีข้าก็พยายามจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกผู้นั้น เช่นนั้นนี่ก็เป็นเรื่องที่ถือโอกาสทำไปด้วยแล้วกัน”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “คำว่าถือโอกาสนี้ใช้ได้ดี ข้าชื่นชอบอย่างมาก แสดงถึงความเฉยเมย และไม่สนใจอย่างมาก ในอนาคตหลังจากที่เจ้ากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกผู้นั้นจริงๆ อย่าได้ลืมคำคำนี้”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ข้าจะจำเอาไว้”
ถังซานสือลิ่วยื่นมือออกไป แล้วพูดขึ้น “ตกลง”
เฉินฉางเซิงไม่เคยใช้วิธีการเช่นนี้ จึงยื่นมือออกไปเรียบแบบเขาอย่างเก้ๆ กังๆ
ถังซานสือลิ่วจับมือของเขา หลังจากนั้นก็ปล่อยออก
“ไปเถอะ เมื่อครู่สำนักการศึกษากลางส่งข่าวมา พูดว่าวันพรุ่งนี้สำนักฝึกหลวงจะมีแขก จะต้องเตรียมตัวเสียหน่อย”
“เจ้าเป็นเจ้าสำนัก แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเจ้าที่ต้องไปทำ ข้าขี้เกียจจะสนใจ เจ้าให้ข้าพักอีกสักหน่อย”
ถังซานสือลิ่วเดินไปทางต้นไทรย้อยต้นใหญ่ที่ข้างทะเลสาบ แล้วพูดขึ้น “เมื่อก่อนเจ้ากับองค์หญิงลั่วลั่วมักจะยึดต้นไม้ต้นนี้เอาไว้ ในตอนนี้ต้องให้ข้าได้ใช้สักหน่อยแล้ว”
เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันกายจากไป นาทีให้หลังก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากต้นไทรย้อย เมื่อหันหน้าไปมอง ก็เห็นเพียงแค่ถังซานสือลิ่วขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งของต้นเสียแล้ว
แสงดวงดาวที่ส่องประกายในยามค่ำคืน ปกคลุมไปทั่วต้นไทรย้อย ชุดของเขาสะท้อนแสงดาวออกมาจางๆ เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนกับรูปปั้นสีเงินตัวเล็กที่แสนจะงดงาม
……
……
แผนการของตระกูลเทียนไห่กับกลุ่มอำนาจใหม่ของนิกายหลวง ได้พบกับอุปสรรคที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคาดคิดถึง
ใครก็มองแล้วไม่เข้าใจ ในตอนนี้สรุปเป็นแผนการร้ายหรือว่าเรื่องเหลวไหล
เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วที่ดูเหมือนทำเรื่องเหลวไหล แต่ที่จริงแล้วเป็นการต่อต้านที่แข็งแกร่งและมั่นคง การประลองระหว่างสำนักที่เริ่มการจู่โจม ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเป็นพายุโหมอัสนีคลั่ง ก็จำเป็นต้องหยุดลงเป็นการชั่วคราวแล้ว หลังจากที่ซูม่ออวี๋สั่งสอนบ่าวของตระกูลเปี๋ยที่ชื่อเหยี่ยซิงชิ่ง เปี๋ยเทียนซินก็น่าจะรู้แล้วว่านี่เป็นคำเตือนจากบิดา จนกระทั่งการต่อสู้จบลง ก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีก
สำนักฝึกหลวงได้รับความสงบเป็นการชั่วคราว หลังจากนั้นไม่นานก็จะได้ต้อนรับแขกกลุ่มแรก
ตอนเช้าตรู่ อากาศยังไม่ค่อยร้อนนัก ประตูหลักของสำนักฝึกหลวงก็ได้เปิดออกอย่างสมบูรณ์ นักบวชของพระราชวังหลีกำลังรออยู่ที่ด้านนอกประตู เหล่านักเรียนใหม่ที่เมื่อครู่เพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จ หรือไม่ก็เริ่มอ่านหนังสือในยามเช้า ต่างหันมองอย่างประหลาดใจ ข่าวเรื่องหนึ่งได้เริ่มแพร่กระจายออกไป บนใบหน้าของเหล่านักเรียนต่างมีสีหน้าที่ทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวล ล้วนพากันเดินไปที่หน้าประตูสำนัก และมองออกไปที่ด้านนอกอย่างแปลกใจ ผ่านไปไม่นาน รถม้าสองคันก็มาหยุดลงที่หน้าประตูสำนัก กองทัพอวี่หลินที่เปิดทางเข้ามาส่งมอบความดูแลกับกองทัพนิกายหลวง มีนางกำนัลผู้หนึ่งเดินมาถึงที่ด้านหน้าของรถม้าทั้งสอง พยุงคนที่อยู่ในรถม้าลงมาด้วยใบหน้านอบน้อม
ผู้ที่มาเยือนสำนักฝึกหลวงก็คือม่ออวี่ และยังมีผู้เฒ่าอีกหนึ่งคน