เมื่อได้เห็นว่าที่มาคือแม่นางม่ออวี่จริงๆ การแสดงออกของเหล่านักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงก็เป็นกังวลและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เขย่งเท้ากันไม่หยุด เพราะอยากจะมองบุคคลที่อยู่ในตำนานผู้นี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเสียหน่อย แต่พวกเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ที่ด้านหน้าสุด กลับถูกความงามของนางทำเอาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา และทำได้เพียงก้มมองปลายเท้าของตน
ที่จริงพวกนักเรียนล้วนชัดเจนอย่างมาก ใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ใกล้ชิดกันจนไม่มีช่องว่างเหมือนในอดีตแล้ว สำนักฝึกหลวงก็เป็นสถานที่ส่วนหน้าของการปะทะกันของสองขั้วอำนาจ แต่ก็ยังคงยากอย่างยิ่งที่จะหักห้ามความตื่นเต้นไปได้ ต้องรู้ว่าม่ออวี่เป็นหญิงงามที่มีชื่อเสียงที่สุดของราชสำนักต้าโจว และก็เป็นสตรีผู้มากความสามารถที่มีชื่อเสียงที่สุด และยิ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีอำนาจอย่างมาก ต่อให้เป็นสถานะขององค์หญิงผิงกั๋วในใจของทุกคนก็ยังเทียบกับนางไม่ได้ ก็มีเพียงแค่สวีโหย่วหรงที่หลายปีก่อนไปบำเพ็ญเพียรที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ห่างไกล ที่สามารถจะนำมาเทียบเคียงกับนางได้
ส่วนผู้เฒ่าผู้นั้นที่ตามม่ออวี่มาที่สำนักฝึกหลวง บนชุดมีตราของหอความลับสวรรค์อยู่ คิดว่าก็น่าจะเป็นบุคคลในระดับหัวหน้าผู้รับใช้
เพียงแต่ทำไมคนของหอความลับสวรรค์ถึงได้มาที่สำนักฝึกหลวง ทำไมม่ออวี่ถึงต้องตามมาด้วย
ความสงสัยในใจของเหล่านักเรียนกลับไม่อาจหาคำตอบได้ เพราะว่าไม่นาน เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วก็มาถึงแล้ว
เมื่อคืนถังซานสือลิ่วนอนค่อนข้างดึก เดิมทียากนักที่การประลองจะจบลง จะได้สามารถอาศัยยามเช้าตรู่ที่เย็นสบายนอนหลับพักผ่อน ใครจะไปคิดว่าจะต้องตื่นขึ้นมาอีก เดิมทีก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ในตอนนี้ได้เห็นนักเรียนเหล่านั้นมองม่ออวี่ด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้มเช่นนี้ ก็รู้สึกขายหน้าอย่างมาก จึงพูดขึ้นด้วยความโกรธ “มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ”
ถึงแม้หญิงงามจะเจริญหูเจริญตา แต่ก็ไม่อาจแทนที่กฎสำนักได้ และกฎของสำนักฝึกหลวง ในตอนนี้ก็คือคำพูดของถังซานสือลิ่ว เหล่านักเรียนนั้นจนใจอย่างมาก จึงพากันส่ายหน้าจากไป เพียงแต่ความเร็วในการจากไป ก็ช้าเสียจนทำให้คนขนลุก
เฉินฉางเซิงรู้ว่าที่จริงนิสัยของม่ออวี่ไม่ได้เรียบเฉยเหมือนกับที่แสดงให้ตนเห็น แม่นางม่อที่สามารถดูแลราชสำนักแทนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นถูกเรียกขานว่าแข็งกร้าวเย็นชามาโดยตลอด ในตอนนี้ได้ยินถังซานสือลิ่วพูดจาตามใจตัวเองอย่างมาก เขากังวลใจอย่างมากว่าม่ออวี่จะเกิดความไม่พอใจขึ้น และอาศัยเรื่องนี้สร้างความลำบาก เมื่อหันกายมองไป คิดไม่ถึงเลยว่าม่ออวี่ไม่ได้ใส่ใจเลย และกำลังแย้มยิ้มอยู่
“ข้าคิดว่าเจ้าจะโมโห” เขามองไปที่ผู้เฒ่าที่มาจากหอความลับสวรรค์แวบหนึ่ง แล้วพูดกับม่ออวี่เสียงเบา
ม่ออวี่กลอกตาใส่เขา แล้วพูดขึ้น “ถูกเรียกว่าหญิงงามมีอะไรให้โมโห ปกติเจ้าก็ไม่เคยเรียกข้าเช่นนี้”
เสียงของนางเองก็เบาอย่างมาก เชื่อว่าถังซานสือลิ่วกับผู้เฒ่าจากหอความลับสวรรค์ผู้นี้ล้วนไม่ได้ยินคำพูดของทั้งสองคน
ในเมื่อเป็นตัวแทนของราชสำนักมาตรวจดูสำนักฝึกหลวงแบบในนาม เช่นนั้นก็จะต้องตรวจสอบสักรอบ เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วเดินชมสำนักฝึกหลวงเป็นเพื่อนนาง และได้พูดคุยกัน
“พี่สาวคนรองของเจ้ายังชอบเล่นภาพต่อจากกระดาษเงินอยู่ไหม” ม่ออวี่มองถังซานสือลิ่วแล้วถามขึ้น
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ปีก่อนที่ข้าไปนางก็ไม่ได้เล่นแล้ว ในตอนนี้นางชอบเล่นต่อบ้านไม้…เป็นบ้านไม้แบบที่ใหญ่ขนาดนี้”
เขาใช้มือทั้งสองข้างวาดขึ้นมา “ห้องนั้นมองไปแล้วไม่ได้ใหญ่มาก แต่ถ้าอยากจะวางให้มั่นคง ก็ยังต้องมีโต๊ะมาอีกตัว ผลคือเพื่อจะให้โต๊ะตัวนั้นมั่นคง ที่บ้านถึงกับสร้างอาคารให้นางหลังหนึ่ง”
ม่ออวี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “นั่นก็เท่ากับสร้างบ้านของพวกเจ้าเองแล้ว”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “ถ้าหากบ้านข้าใหญ่ได้สักครึ่งของพระราชวัง ไหนเลยที่จะต้องวุ่นวายขนาดนี้”
ม่ออวี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยไปที่เวิ่นสุ่ย ถ้าเอาจวนหลักของตระกูลเจ้ากับที่ดินข้างลำธารเหล่านั้นมารวมกัน ครึ่งหนึ่งของพระราชวัง…เกรงว่าพระราชวังก็ยังไม่กว้างขนาดนั้น”
ในบทสนทนานี้มีจุดที่แหลมคมอะไร เฉินฉางเซิงนั้นฟังไม่ออก เขากำลังตกตะลึง ในตอนแรกที่งานชุมนุมไม้เลื้อย ไม่เห็นว่าม่ออวี่กับถังซานสือลิ่วจะมีความสัมพันธ์อะไรกัน ในวันนี้ถึงได้รู้ว่าเดิมทีแล้วก็รู้จักกันมาก่อน ที่เรียกว่าอำนาจกับความร่ำรวย ก็ยากจะแยกกันจริงๆ
“ข้ากับพี่สาวคนรองของเขารู้จักกันตั้งแต่ยังเล็ก”
ม่ออวี่เดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “แต่ว่าครั้งสุดท้ายที่ข้าตามเหนียงเหนียงไปที่เวิ่นสุ่ย เขาเพิ่งจะสามขวบ เหมือนกับลิงก็ไม่ปาน ใครจะคิดว่าในตอนนี้ก้าวหน้าไปใหญ่แล้ว”
ถึงจะเป็นเฉินฉางเซิงที่ทึ่มในเรื่องนี้ ในตอนนี้ก็ยังฟังความหมายออกอยู่บ้าง
แน่นอนว่าถังซานสือลิ่วฟังได้ชัดเจนยิ่งกว่า แต่ก็ยิ่งต้องแกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ
ม่ออวี่ไม่ใช่เปี๋ยเทียนซินที่เป็นทายาทรุ่นที่สองเช่นนั้น นางเป็นแม่นางม่อ และเบื้องหลังของนางก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็น่ากลัวยิ่งกว่าเปี๋ยยั่งหงรวมกับอู๋ฉยงปี้เสียอีก
คุณชายอย่างถังซานสือลิ่วนั้น แน่นอนต้องรู้ว่าเวลาไหนควรจะโอ้อวด เวลาไหนควรจะถ่อมตัว
เฉินฉางเซิงไม่ค่อยชินกับการแสดงออกของเขา เพราะว่าจนกระทั่งถึงวันนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าม่ออวี่มีสถานะอะไรในราชสำนักต้าโจว
แน่นอนว่านี่ก็ไม่โทษเขา พูดได้เพียงแค่ว่าม่ออวี่ที่อยู่ต่อหน้าเขาทำตัวไม่เหมือนกับม่ออวี่เอาเสียเลย
เมื่อมาถึงสวนเปี๋ยที่ข้างทะเลสาบ ช่างเงียบสงบและงดงามอย่างมาก กำแพงเองก็สามารถขวางกั้นสายตาที่ร้อนแรงของพวกนักเรียนหนุ่มที่อยู่ไกลออกไปได้
ม่ออวี่ถึงได้เอ่ยแนะนำอย่างเป็นทางการ “ผู้นี้คือหัวหน้าผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์”
เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วคำนับหัวหน้าผู้ดูแลผู้นี้ด้วยท่าทีของผู้เยาว์
คนหนึ่งคือผู้สืบทอดของนิกายหลวง คนหนึ่งเป็นผู้สืบทอดของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย แต่ว่าอย่างไรเสียอายุก็ยังน้อย ที่สำคัญคือ หัวหน้าผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ผู้นี้ ไม่ได้เป็นหัวหน้าผู้ดูแลในสถานที่ธรรมดา พวกเขาจึงไม่กล้าดูถูกหอความลับสวรรค์ อีกทั้งเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วก็มีความรู้สึกที่ดีอย่างมากกับหอความลับสวรรค์ไปจนถึงผู้เฒ่าความลับสวรรค์ผู้นั้น พวกเขาไม่ลืมว่าในตอนแรกที่ประกาศชิงอวิ๋นเปลี่ยนอันดับ การประเมินและความหวังของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ที่มีต่อทุกคนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวงนั้นเป็นอย่างไร
หัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้นไม่กล้าที่จะชักช้า จึงรีบคำนับกลับอย่างเอาจริงเอาจัง หลังจากนั้นก็มองถังซานสือลิ่วแล้วก็แย้มยิ้มพูดขึ้น “เร็วๆ นี้ร่วมมือกับคุณชายถังอย่างมีความสุข หวังว่าภายหลังจะสามารถร่วมมือกันต่อไป”
แน่นอนว่าที่พูดนี้คือเรื่องการร่วมมือของทั้งสองฝ่ายที่ทำธุรกิจจากการที่สำนักไม้เลื้อยต่างๆ เข้ามาท้าประลองสำนักฝึกหลวง
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างถ่อมตัว “ไม่เลย ที่สำคัญก็คือเฉินฉางเซิงร่วมมือเป็นอย่างดี”
หัวหน้าผู้ดูแลหัวเราะขึ้นเสียงดัง มองไปทางเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “กระบี่ทั้งสี่กระบวนท่านั่นของเจ้าสำนักเฉิน ทำให้คนในหอจำนวนมากคุยกันอย่างออกรสออกชาติไปหลายวัน ล้วนพูดว่าการบำเพ็ญเพียรในวิถีกระบี่ของท่านช่างลึกล้ำยากจะหยั่งถึงจริงๆ”
อย่างไรเสียเฉินฉางเซิงก็ไม่ใช่คนทำการค้า จึงไม่ได้หน้าหนาเหมือนถังซานสือลิ่วกับหัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้น เมื่อได้ยินจึงเก้อเขินอยู่บ้าง
ม่ออวี่มองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้สึกว่าสายตาของนางมีความเย้ยหยันอยู่อย่างมาก
เจตนาการมาของหัวหน้าผู้ดูแลผู้นี้ เมื่อวานตอนที่สำนักการศึกษากลางแจ้งข่าวแทนทางพระราชวังก็ได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว เซวียนหยวนผ้อจึงให้พวกนักเรียนออกจากหอตำราไปก่อน และเหลือที่ว่างเอาไว้
เฉินฉางเซิงปลดกระบี่สั้นลงมา และใช้มือทั้งสองข้างส่งให้กับมือของหัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้น
หลังจากที่หัวหน้าผู้ดูแลรับกระบี่ไป ก็ไม่ได้รีบร้อนดึงออกจากฝัก
สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ฝักกระบี่ เป็นเวลานานอย่างมากที่ไม่ได้ละสายตา
ในใจของเฉินฉางเซิงก็เป็นกังวลขึ้นมาในทันที
ถึงแม้อาจารย์ของเขากับใต้เท้าสังฆราชล้วนเคยพูดเอาไว้ ไม่มีใครสามารถฝืนเปิดฝักกระบี่ได้ แต่เมื่อคิดถึงกระบี่มีชื่อนับพันเล่มที่อยู่ในฝักกระบี่ และยังมีสมบัติเหล่านั้นที่ซุกซ่อนเอาไว้มาโดยตลอด ซึ่งแม้แต่ถังซานสือลิ่วก็ยังไม่เคยพูดให้ฟัง ไปจนถึงของที่สำคัญยิ่งกว่าอย่างป้ายศิลามายาสีดำแผ่นนั้น เขาจึงไม่อาจไม่กังวลได้