ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 64 ประเมินกระบี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ในสายตาของเฉินฉางเซิงนั้นราวกับผ่านไปนานมากแล้ว ในที่สุดหัวหน้าผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ผู้นั้นก็ย้ายสายตาออกจากฝักกระบี่ หลังจากนั้นก็มองเขาแล้วยิ้มขึ้นมา

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่านี่มีความหมายแฝงอะไรหรือไม่ และหวังเพียงว่าจะไม่มี

มือของหัวหน้าผู้ดูแลลูบฝักกระบี่อย่างเบามือ แล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “เป็นของที่ดีเลยนะ”

แน่นอนว่าถังซานสือลิ่วรู้ว่าฝักกระบี่นี้เป็นของดี

ศาสตราวิเศษใดก็ตามที่มีช่องว่างมิติ ล้วนสามารถกลายมาเป็นสมบัติประจำสำนักของพรรคธรรมดาได้เลย

ฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิงนี้ ในตอนแรกที่หอตำราก็เคยเทเอาภูเขากระบี่ออกมา อีกทั้งยังไม่เห็นว่าเป็นทั้งหมดในนั้น จากเรื่องนี้สามารถเดาได้ว่าช่องว่างข้างในนั้นกว้างใหญ่ขนาดไหน

ในดินแดนต้าลู่ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินระดับขั้นสูงต่ำของผู้บำเพ็ญเพียร หรือประเมินศาสตราวิเศษว่าดีหรือแย่ แน่นอนว่าหอความลับสวรรค์ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เช่นนั้นพวกคนที่มีชื่อในอันดับเหล่านั้นก็ไม่มีทางมีความน่าเชื่อถือมากถึงเพียงนี้ ถังซานสือลิ่วรู้ว่าหัวหน้าผู้ดูแลผู้นี้มาดูกระบี่ไร้ราคี แต่กลับไม่เคยคิดจะถือโอกาสให้เขาประเมินฝักกระบี่นี้ จึงลองเชิงถามขึ้น “ดีขนาดไหน”

หัวหน้าผู้ดูแลมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ดีเยี่ยมอย่างมาก”

เมื่อเฉินฉางเซิงได้ยินประโยคนี้ก็เกือบจะยิ้มออกมา สีหน้าที่เป็นกังวลก็ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้ว ถังซานสือลิ่วกลับเป็นทุกข์อย่างมาก ในใจคิดว่าระดับความไร้ยางอายในคำพูดของหัวหน้าผู้ดูแลผู้นี้ก็ยังเหมือนกับตนเลยจริงๆ จึงพูดขึ้นอย่างโมโห “หรือว่าจะดีขนาดที่สามารถถูกจัดเข้าไปอยู่ในอันดับร้อยศาสตราได้”

เดิมทีนี่ก็เป็นคำพูดด้วยความโกรธของเขา คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่หัวหน้าผู้ดูแลผู้นั้นได้ฟังเข้า สีหน้าถึงกับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา หลังจากที่คิดอย่างจริงจังแล้วถึงได้ส่ายหน้า

ถังซานสือลิ่วค่อนข้างจะได้ใจ และก็ผิดหวังอยู่บ้าง

และก็เป็นในตอนนี้เอง หัวหน้าผู้ดูแลก็พูดขึ้นมาอีกประโยค “ข้าจำได้ว่าเดิมทีฝักกระบี่นี้ก็อยู่ในอันดับร้อยศาสตรามาโดยตลอด แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องบันทึกเข้าไปอีก”

ภายในหอตำราได้เปลี่ยนเป็นเงียบเชียบอย่างมาก

ถังซานสือลิ่วมองเฉินฉางเซิง ม่ออวี่มองฝักกระบี่ เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าตนควรจะมองไปที่ไหน

“นี่คือซ่อนคม” นิ้วมือของหัวหน้าผู้ดูแลเคาะลงไปบนฝักกระบี่เบาๆ ฟังเสียงที่ฝักกระบี่สะท้อนออกมาอย่างหนักหน่วงแต่กลับไม่ทุ้มต่ำ แล้วพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง “ข้าเองก็ไม่เห็นมันมายี่สิบกว่าปีแล้ว”

ถึงแม้ม่ออวี่จะคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้ว แต่สีหน้าก็ยังคงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลางถามขึ้น “นี่คือซ่อนคมที่เมื่อก่อนอยู่ในพระราชวังหลีชิ้นนั้นหรือ”

หัวหน้าผู้ดูแลไม่ได้ตอบคำถามนางในทันที แต่กำลังดึงกระบี่สั้นออกมาจากฝักด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง

เมื่อมองกระบี่สั้น เขาก็พูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “ถ้าหากไม่ใช่ซ่อนคม จะสามารถเก็บยอดกระบี่ที่แหลมคมเป็นเอกเล่มนี้ได้อย่างไร”

มีกระบี่จำนวนมากมายหลายเล่มที่เคยได้รับคำประเมินว่าแหลมคมเป็นเอกเช่นนี้ แต่ถ้าหากคำพูดนี้ออกมาจากหอความลับสวรรค์ที่เรียกได้ว่าเข้มงวดแล้วละก็ เช่นนั้นก็ไม่ธรรมดาอย่างมากแล้ว

…นี่หมายความว่า ระดับความแหลมคมของกระบี่สั้นของเฉินฉางเซิงเล่มนี้ เป็นเอกในโลกจริงๆ ลำพังพูดถึงความแหลมคม หอความลับสวรรค์ก็ไม่คิดว่าจะมีศาสตราเทพใดในโลกที่จะเหนือล้ำไปกว่ามัน

กระบี่สั้นที่ดูไปแล้วแสนจะธรรมดาเล่มนี้ เฉินฉางเซิงไม่เคยดูแลรักษาอย่างละเอียดมาก่อน กระทั่งเช็ดทำความสะอาดก็ยังน้อยครั้งอย่างมาก แต่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตัวกระบี่ของกระบี่สั้นเล่มนี้ไม่มีรอยสกปรกใดเลย แม้แต่เศษฝุ่นสักนิดก็ยังไม่มี กระบี่เล่มนี้เมื่ออยู่ในมือของเฉินฉางเซิงได้ฆ่าคนไปแล้วไม่น้อย อาบเลือดมามาก แต่กลับไม่เห็นรอยเลือดเลย

“กระบี่ชื่อไร้ราคี ก็ไร้ราคีจริงๆ” หัวหน้าผู้ดูแลพูดขึ้นอย่างปลงอนิจจัง

กระบี่สั้นเล่มนี้แหลมคมเกินไปแล้ว ดังนั้นตัวกระบี่จึงมันขลับอย่างหาใดเปรียบ ด้วยเหตุนี้นี้จึงสามารถผ่านหมื่นบุปผาโดยไม่ติดกลิ่นหอม เข้าสู่โลกโดยไม่มีกิเลส แหวกผ่านสรรพสิ่งออกมาโดยที่ไม่รบกวนสรรพสิ่ง

ม่ออวี่มองเฉินฉางเซิงแล้วถามขึ้น “กระบี่เล่มนี้ใช้วัตถุดิบอะไรสร้างขึ้นมา”

อยากจะให้กระบี่เล่มหนึ่งแหลมคมได้จนถึงขั้นนี้ นอกจากระดับการสร้างที่สูงส่ง ที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นวัตถุดิบของตัวกระบี่

มีเพียงแต่วัตถุดิบที่เหนียวแน่นที่สุด แข็งแกร่งที่สุด ในเวลาเดียวกันก็ต้องทนต่ออุณหภูมิที่สุด ไม่กลัวทั้งความร้อนสูงและความเย็นจัด ถึงจะสามารถรับการหลอมตีนับร้อยพันครั้งได้

เฉินฉางเซิงส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ ว่ากระบี่สั้นเล่มนี้ใช้วัตถุดิบอะไรสร้างขึ้นมา หลังจากนั้นจึงมองไปทางหัวหน้าผู้ดูแลพร้อมกับม่ออวี่และถังซานสือลิ่ว

หัวหน้าผู้ดูแลส่ายหน้า แล้วพูดขึ้นเสียงเย็น “เรื่องนี้ไม่อาจพูด ไม่เช่นนั้นอสนีบนฟากฟ้าจะก่อตัว ผู้พูดและผู้ใช้กระบี่จะเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงในชีวิต”

ถังซานสือลิ่วเกลียดท่าทีสูงส่งยากจะคาดเดาเช่นนี้เป็นที่สุด ในใจคิดว่าหอความลับสวรรค์นั้นชอบทำเรื่องให้ลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก

หลังจากที่ดูกระบี่ หัวหน้าผู้ดูแลก็ออกจากสำนักฝึกหลวงไปก่อน โดยพูดว่าจะต้องเตรียมตัวสำหรับการแก้ไขอันดับร้อยศาสตราที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาหลายปี

ม่ออวี่ไม่ได้ไป นางมองเฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “ซ่อนคมเป็นสมบัติของพระราชวังหลี ในตอนนั้นถูกอาจารย์ของเจ้าขโมยไป การเอาไว้ติดตัวเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่”

เฉินฉางเซิงคิดว่าก่อนจะถึงวันนี้ก็มีเพียงใต้เท้าสังฆราชที่มองถึงความเป็นมาของฝักกระบี่ตนออก ขอเพียงเจ้าไม่ไปป่าวประกาศ จะยังมีอะไรที่ไม่เหมาะสมอีก

“อันดับแรก อาจารย์ของข้าเคยเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง เป็นศิษย์พี่ของใต้เท้าสังฆราช และก็เป็นผู้สืบทอดสายตรงของนิกายหลวง ต่อให้เป็นการแบ่งสมบัติ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเอาบางสิ่งออกมาจากพระราชวังหลี”

เขาพูดขึ้น “ข้อถัดมา ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม วันนี้ข้าสามารถไปที่พระราชวังหลีเพื่อคืนให้กับใต้เท้าสังฆราช หลังจากนั้นค่อยขอให้เขามอบคืนให้กับข้า เพียงแต่…เจ้าไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องวุ่นวายหรือ”

ม่ออวี่มองเขาราวกับคนแปลกหน้า เลิกคิ้วแล้วพูดขึ้น “คำพูดของเจ้าในวันนี้ยังแหลมคมยิ่งกว่ากระบี่ของเจ้าเสียอีก…นี่ไม่เหมือนท่าทีของเจ้าในยามปกติ”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้ได้ลับกระบี่ค่อนข้างมาก”

ม่ออวี่รู้ว่าที่เขาพูดคือเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงในช่วงหลายวันมานี้เหล่านั้น จึงมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ไม่เลว เจ้าแข็งแกร่งกว่าหลายวันก่อนอยู่มากจริงๆ”

การต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวขั้นต้นติดต่อกัน หลังจากนั้นก็ยังต้องชี้แนะพวกนักเรียนใหม่ให้ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีความแข็งแกร่งเหนือล้ำไปกว่าตนอย่างมาก ที่เฉินฉางเซิงพูดไม่ผิดเลย ความลำบากในระหว่างนี้ ก็เหมือนกับการใช้หินก้อนใหญ่ หินก้อนเล็ก หินทรงกลม หินทรงเหลี่ยมจำนวนนับไม่ถ้วนลับกระบี่ของตนเล่มนี้ ขอเพียงแค่กระบี่ไม่หักไป เช่นนั้นก็จะต้องแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ

จากสุสานเทียนซูไปจนถึงสวนโจว จากเมืองสวินหยางมาจนถึงจิงตู ในช่วงเวลานี้จากเหตุการณ์ที่ได้พบไปจนถึงสิ่งที่ได้บรรลุ ในกระบวนการเหล่านี้เขาถูกหล่อหลอมและทุบตีไม่หยุด สิ่งปนเปื้อนทั้งหมดล้วนถูกขับออกมา หรืออาจจะพูดได้ว่าถูกเผาเสียจนกลายเป็นควันอย่างไร้ร่องรอย ที่เหลืออยู่ก็คือส่วนที่ยอดเยี่ยมนั่น สุดท้ายก็กลายเป็นความแข็งแกร่งกับการบำเพ็ญเพียรของเขาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งก็ไม่อาจสูญเสียไปได้อีก

เฉินฉางเซิงในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากจริงๆ ถ้าหากในตอนนี้ให้เขาได้ต่อสู้กับขุนพลเทพเซวียเหอ และเหลียงหงจวงอีกครั้ง ก็น่าจะมีโอกาสชนะอยู่รอบหนึ่ง

“แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร”

ม่ออวี่มองเขาอย่างสงบ แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “เพราะว่านางก็จะกลับมาแล้ว”

“ทุกคนล้วนพูดกับข้าว่านางจะกลับมาแล้ว”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้นด้วยความจริงจังอย่างมาก “แต่ที่จริงข้าคิดว่า นี่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร”

ม่ออวี่พูดขึ้น “เจ้าเป็นใต้เท้าสังฆราชในอนาคต นางก็จะกลายเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากเจ้าพ่ายแพ้ให้กับนาง เจ้าคิดว่าภายในนิกายหลวงจะมีเสียงอย่างไรออกมา”

เรื่องเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของนิกายหลวงเหนือใต้ที่ยืดเยื้อมานับพันปี ถึงแม้เพราะสวีโหย่วหรงเกิดที่จิงตู หลายปีมานี้การปะทะกันทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้รุนแรงเหมือนดั่งเช่นในอดีต แต่เฉินฉางเซิงรู้ว่าม่ออวี่ไม่ได้พูดเกินจริง หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน เขาจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน “จำเป็นต้องสู้ด้วยหรือ”