บทที่ 100 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 100 สิ่งที่เรียกว่าความจริง (4)
“เป่ยซี” ถังเสวี่ยกระพริบตาเขยิบเข้าใกล้อี้เป่ยซี ราวกับลูกแมวตัวหนึ่งที่ถูๆ แขนของเธออย่างเอาอกเอาใจ “บ่ายนี้เธอว่างหรือเปล่า?”
อี้เป่ยซีพยักหน้า ก้มหน้าไม่ได้มองเธอ “มีอะไร?”
“เป่ยซี ฉัน…” นั่งตรงตัว ถังเสวี่ยก้มหน้า เปี่ยมด้วยความออดอ้อนของเด็กสาว สักพักจึงเอ่ยเสียงเบา “ฉันมีแฟนแล้ว แฟนฉันอยากเชิญเธอกินข้าว ยังไงซะฉันก็อยากให้เธอช่วยสแกนให้ฉันหน่อย เธอว่าดีหรือเปล่า?”
“หืม?” อี้เป่ยซีจึงตื่นตัวขึ้นมา “เธอชอบหลานฉือเซวียนไม่ใช่เหรอ พวกเธอคบกันแล้วเหรอ?”
“อัยยา หลานฉือเซวียนเป็นแค่เทพบุตรของฉัน เหมือนกับดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าคอยให้คนชื่นชม เขาสง่างามขนาดนั้นจะรับปากคบกับฉันได้ยังไง”
“อ่อ ขอโทษที ฉันนึกว่า…”
ถังเสวี่ยส่ายหน้า “ไม่เป็นไรเป่ยซี งั้นบ่ายนี้เธอว่างไหม?”
เห็นสายตาคาดหวังของเธอ อี้เป่ยซีก็ไม่กล้าปฏิเสธอีกต่อไป พยักหน้าแล้ว
“งั้นก็ตามนี้นะเป่ยซี ฉันชอบเธอมากๆๆ เลย” ถังเสวี่ยกอดอี้เป่ยซี ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย็นชา อี้เป่ยซีหัวเราะแห้งๆ ไปกับเธอสองสามที ไม่ได้พูดอะไรอีก
ถังเสวี่ยคลายกอดเธอ นั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะตัวเองและเริ่มแต่งตัว อี้เป่ยซียังคงไม่เข้าใจ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา รู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้าง
มู่ไป๋: อัดเสียงเสร็จแล้ว เธอลองเอาไปฟังดูก่อน
บนหน้าจอมีข้อความกับไฟล์ที่มู่ลี่ไป๋ส่งมา อี้เป่ยซีเปิดด้วยความลังเลเล็กน้อย
‘ไม่น่าใช่นะ ทำไมถึงส่งบันทึกเสียงให้เธอ ไม่ใช่สไตล์ของมู่ไป๋เลย’ เสียบหูฟัง ยังคงเป็นเสียงที่เปี่ยมด้วยความน่าดึงดูดของมู่ลี่ไป๋ มันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ดึงผู้คนเข้าไปในฉากรักทันที ความโศกเศร้านั้นไม่หนักไม่เบาแต่กระทบหัวใจของคุณเข้าอย่างจัง… ‘นี่ นี่เป็นเสียงของใครกัน’ อี้เป่ยซีรู้สึกว่าขนบางๆ บนหูของตัวเองสั่นไหว เสียงนั้นทะลุเข้าไปในทุกโสตประสาททีละน้อยๆ จนค่อยๆ ไร้ความรู้สึก ราวกับลำธารบนภูเขา ราวกับไวน์รสเลิสที่บ่มเพาะมาหลายปี…
ไม่อยากจะเชื่อเลย น้ำเสียงงดงาม การตีความสมบูรณ์แบบ อันที่จริงแม้แต่มู่ไป๋ก็ดูด้อยกว่าเล็กน้อย
เป็นหยกเม็ดงามคนไหนกันนะ เธอไม่เคยได้ยินคนพูดถึงมาก่อนเลย
หลิงซี: !!! ผู้ชายคนที่อยู่กับนายเป็นใคร? เสียงเพราะสุดๆ ไปเลย ใครน่ะ ใครเหรอ
มู่ลี่ไป๋ราวกับว่ากำลังรอข้อความของเธอ ตอบรับอย่างรวดเร็ว
มู่ไป๋: เพื่อนสนิทลับ
หลิงซี: ทำไมฉันถึงไม่รู้จักชื่อ แต่ว่าเสียงร้องนี่คุ้นๆ จังเลย แต่ว่านึกไม่ออก
มู่ไป๋: คิดดีๆ ไม่ต้องรีบ
หลิงซี: พูดแบบนี้ฉันรู้จักเหรอ!
มู่ไป๋: อีกไม่กี่วันก็จะมีผลงานแล้ว ฉันยังมีธุระ ลาก่อน
“ออฟไลน์ไปซะแล้ว โธ่เว้ย ไม่บอกฉันสักหน่อยว่าเป็นใคร” อี้เป่ยซีพิงเก้าอี้ อดใจไม่ไหวเริ่มฟังซ้ำๆ ทุกๆ ประโยคราวกับไข่มุกเม็ดกลมที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน เสียงและความรู้สึกที่เอิบอิ่มผสมกันแผ่วเบา…
มู่ลี่ไป๋ที่อยู่ในออฟฟิศแกว่งปากกาไปมา มองคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน กระแอมไอพร้อมกับพูด “ฉันส่งมันไปให้เธอแล้ว”
“อืม” ไม่เงยหน้าขึ้นมาเลย
“นายไม่อยากรู้ปฏิริยาของเธอเหรอ? นายกดดันอยู่ตลอดเลยไม่ใช่เหรอไง?”
ลั่วจื่อหานเหลือบตาขึ้นกวาดมองเขา ท่าทางที่จับปากกายังคงเหมือนเดิม “งั้นเหรอ?”
“เออๆๆ นายไม่ได้กดดัน แต่ฉันดันอยากบอกนายเอง”
“นายพูดได้แล้ว”
“ฮู่ ฮ่าๆ…” มู่ลี่ไป๋วางปากกาลง หัวเราะจนตัวหงิกงอ “ก่อนหน้านี้ดูไม่ออกเลยว่านายจะแข็งนอกอ่อนในแบบนี้”
จู่ๆ เอกสารแผ่นหนึ่งก็บินไปที่หน้าของมู่ลี่ไป๋ “นายหนวกหูชะมัดเลย”
เขายิ้มกรุ้มกริ่มถือเอกสารไว้ “คนที่บ้านนายคนนั้นพอใจมาก วางใจเถอะ ไม่จำเป็นต้องกำปากกาแน่นขนาดนั้นหรอกคุณชายใหญ่”
ไม่รู้เป็นเพราะคำว่า “พอใจ” หรือเพราะคำว่า “คนที่บ้านนาย” ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าฟังแล้วไพเราะมาก ปลายปากกาหยุดอยู่บนแผ่นกระดาษ ยิ้มแล้วส่ายหน้า เริ่มเขียนต่อไป ตัวอักษรลายเส้นสีดำนั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง
เมื่อถังเสวี่ยเอาหูฟังออกจากหูของอี้เป่ยซี เธอจึงพบว่าตอนนี้เธอฟังมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ดื่มด่ำอยู่กับเสียงอันไพเราะ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เธอบิดขี้เกียจ ทันใดนั้นก็รู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย
“เอาล่ะ เป่ยซีพวกเราไปกันได้แล้ว”
“ไป?” เธอหาว “ไปไหนเหรอ ฉันง่วงมากเลย”
ถังเสวี่ยตบศีรษะของเธอเบาๆ “เมื่อกี้เธอรับปากฉันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไปหาแฟนฉันด้วยกัน”
“อ๋อ ใช่ๆๆ แฟน แฟน” อี้เป่ยซีตบๆ หน้าผากของตัวเอง หวังว่าจะทำให้ตื่นตัว ส่ายๆ หน้า “ฉันขอไปล้างหน้าก็พอ”
“อืม ฉันจะรอเธอ ไม่ต้องรีบ”
ถังเสวี่ยสวมชุดเดรสสีเหลืองเสมอเข่า ลากอี้เป่ยซีที่ง่วงเหงาหาวนอนออกจากหอพัก นั่งอยู่ในรถ อี้เป่ยซีก็เริ่มหาวไม่หยุด ขอบตาเปียกชื้นเล็กน้อย เธอพิงอยู่ที่เบาะหลัง หรี่ตา
‘ทำไมเธอต้องรับปากว่าจะมาด้วยนะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว’
“เป่ยซี เธอไม่สบายเหรอ?”
“เปล่าๆ แค่ง่วงนิดหน่อย อยากนอน”
“ฮ่าๆ เดี๋ยวเธอเห็นของกินก็น่าจะหายง่วงแล้ว”
อี้เป่ยซีเห็นด้วยอย่างมาก พยักหน้า จนกระทั่งมาถึงโรงแรม เธอจึงรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เธอหายง่วงนั้นไม่ใช่ของกิน
ทั้งสองคนมาถึงห้องส่วนตัวภายใต้การนำทางของบริกร เปิดประตูออกช้าๆ ก็เห็นขายาวๆ คู่หนึ่งที่ห่อหุ้มด้วยกางเกงสีไวน์ เจ้าของขายาวคู่นั้นนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มุมปากอมยิ้ม หลังจากที่อี้เป่ยซีเห็นชัดแล้วว่าเป็นใครแล้วก็ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
ถังเสวี่ยลากเธอเข้าไปในห้องส่วนตัวทันที แล้วปิดประตู
“เป่ยซี นี่คือแฟนของ…”
“ถังเสวี่ย” อี้เป่ยซีตะโกนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “เธอ เธอไม่เคยบอกฉันว่าเป็น ว่าเป็นเขา…”
ถังเสวี่ยเอียงคอ มองอี้เป่ยซีด้วยความสงสัย “เป่ยซี เธอเป็นอะไรไปน่ะ มีปัญหาอะไรเหรอ? เยี่ยจิ่ง พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”
“เธอ…เธอไม่รู้จักเขาเหรอ เขาเป็น…” อี้เป่ยซีเห็นแววตาของถังเสวี่ย แล้วมองลู่เยี่ยจิ่ง
ลู่เยี่ยจิ่งหัวเราะพร้อมจิบไวน์แดง กล่าว “ถังเสวี่ย นี่คือเพื่อนของคุณเหรอ? สงสัยผมต้องพิจารณาความสัมพันธ์ของเราใหม่ซะแล้ว”
“หา เกิดอะไรขึ้น พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”
“ลู่เยี่ยจิ่ง นายตั้งใจสินะ แกล้งฉันแบบนี้สนุกมากใช่ไหม?” อี้เป่ยซีก้มหน้า กำชายเสื้อของตัวเองแน่น
“ลู่เยี่ยจิ่ง คุณคือลู่เยี่ยจิ่ง? แต่ว่าคุณบอกฉันว่าคุณแซ่เยี่ยนี่” ถังเสวี่ยเบิกตากว้างด้วยความเจ็บปวดและเหลือเชื่อ ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ
“คุณหนูอี้เป่ยซี ประหลาดใจมากใช่ไหม?”
“นายคิดจะทำอะไร?”
เขาวางแก้วลง “แฟนสาวของฉันบอกชัดแล้วไม่ใช่เหรอว่าอยากจะทำอะไรกับฉัน ทำไมเธอลืมซะล่ะ? หรือว่าคุณหนูอี้เป่ยซี ไม่เคยใส่ใจเรื่องของคนอื่นเลย”
————