ตอนที่ 46

จารใจรัก

จินเยี่ยนกำลังนอนหลับสนิทบนเตียงภายในห้อง

 

 

           องค์หญิงใหญ่โผเข้าหาหน้าเตียง ยื่นมือเขย่าตัวนาง ตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ “เยี่ยนเอ๋อร์! แม่มาแล้ว รีบตื่นขึ้นมาสิ!”

 

 

           จินเยี่ยนยังคงหลับสนิท ไม่ส่งเสียงใด

 

 

           องค์หญิงใหญ่ตะโกนอีกพักหนึ่ง ทว่าจินเยี่ยนยังคงหลับสนิทดังเดิม นางจึงหันกลับมามองเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย เร็วเข้าเถอะ ตรวจดูว่านางเป็นอะไรกันแน่”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนก้าวออกมา พินิจมองจินเยี่ยนตั้งแต่หัวจดเท้า แล้วค่อยตรวจชีพจรให้นาง

 

 

           “ตั้งแต่หลังจากทานมื้อกลางวันเมื่อวาน ท่านหญิงบอกว่าง่วงนอน บ่าวคิดว่าท่านหญิงเพิ่งมาถึงอารามลี่อวิ๋นจึงยังปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมมิได้ ดังนั้นจึงมิกล้ารบกวน ปล่อยให้นางนอนหลับไป ตกเย็นข้าแวะมาดูครั้งหนึ่ง พบว่าท่านหญิงยังหลับสนิทจึงมิกล้ารบกวน เช้าวันนี้ท่านหญิงก็ยังคงหลับอยู่ ข้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเชิญแม่ชีในอารามที่พอมีวิชาแพทย์มาตรวจดู หลังแม่ชีตรวจอาการเสร็จก็บอกว่าท่านหญิงไม่คล้ายกับล้มป่วย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านั้น บ่าวรออีกพักหนึ่งจนไม่กล้ารอต่อไปแล้ว จึงส่งข่าวกลับไปบอกที่จวน” สาวใช้ประจำกายจินเยี่ยนคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่วด้วยเบ้าตาแดงก่ำ

 

 

           นางพูดจบก็คุกเข่าลงกับพื้น ขอโทษขอโพยต่อองค์หญิงใหญ่ สะอื้นกล่าวว่า “องค์หญิง โปรดลงโทษบ่าวด้วยเถิด เป็นบ่าวเองที่มิได้ดูแลท่านหญิงให้ดี”

 

 

           “เจ้าลุกขึ้นมาก่อน ให้พระชายาน้อยตรวจดูว่าท่านหญิงเป็นอะไรกันแน่ หากเป็นเพราะเจ้าดูแลไม่ทั่วถึงจริงๆ ข้าย่อมไม่ให้อภัยเจ้าแน่” องค์หญิงใหญ่ในยามนี้มัวแต่มองเซี่ยฟางหวา ภายในใจทั้งกังวลทั้งร้อนใจ ยกมือกล่าวขึ้น

 

 

           “เจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นรีบลุกขึ้นยืน

 

 

           เซี่ยฟางหวาตรวจชีพจรดูพักหนึ่ง ก่อนเม้มปากพลางผละมือออกเชื่องช้า

 

 

           “เยี่ยนเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง ป่วยเป็นโรคใด พอจะวินิจฉัยได้หรือไม่” องค์หญิงใหญ่มองนางด้วยความกลุ้มใจ ก่อนรีบเอ่ยขึ้น

 

 

           เซี่ยฟางหวาตวัดตามององค์หญิงใหญ่แวบหนึ่ง มองเห็นท่าทางของผู้เป็นมารดาที่ร้อนใจและเป็นกังวลต่อบุตรสาวของตนเองในสายตาทั้งหมด ราวกับขอเพียงนางเอ่ยถ้อยคำในทางลบออกมา องค์หญิงใหญ่ก็พร้อมจะเป็นลมล้มพับได้ตลอดเวลา นางจึงพยักหน้ารับ

 

 

           องค์หญิงใหญ่ดีใจ “เจ้ารู้อาการป่วยของนางแล้วหรือ” หลังจากนั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้านางไม่ค่อยดีนักก็สลัดความดีใจทิ้งไป จับมือนางด้วยความร้อนรน “นาง…ป่วยเป็นอะไร รักษาได้หรือไม่”

 

 

           “หรือว่า…รักษายาก” เยี่ยนหลันที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เริ่มร้อนรนตาม

 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “นางฝันร้ายจึงตื่นจากความฝันไม่ได้ ข้ามีวิธีช่วยปลุกนาง” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “และก็ไม่ได้ยากมากนัก”

 

 

           “เช่นนั้นเจ้ารีบช่วยนางเถอะ” องค์หญิงใหญ่โล่งใจทันที

 

 

           “ในเมื่อไม่ได้ยากมาก แล้วเจ้า…” เยี่ยนหลันมองเซี่ยฟางหวา สัมผัสได้ว่าสีหน้านางย่ำแย่มาก

 

 

           “จำต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง และต้องการความช่วยเหลือจากพี่อวิ๋นหลานด้วย” เซี่ยฟางหวาบอก “ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ควรเข้ามาในหอนอนของสตรี”

 

 

           “เรื่องนี้ไม่สำคัญอะไร ขอเพียงช่วยเยี่ยนเอ๋อร์ได้ก็พอแล้ว” องค์หญิงใหญ่รีบบอก

 

 

           “ในเมื่อท่านป้าไม่ขัดข้อง เช่นนั้นก็ตามพี่อวิ๋นหลานเข้ามาเถิด แต่พวกท่านต้องออกไปรอข้างนอก ตอนข้าช่วยท่านหญิงนั้นต้องการความเงียบสงบไร้เสียงรบกวน” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “ได้ เราออกไปรอข้างนอกกันเถอะ!” องค์หญิงใหญ่รีบหันหลังเดินออกไป

 

 

           “ไม่ต้องให้ข้าคอยช่วยเหลือจริงหรือ ข้าไม่รบกวนเจ้าหรอก” เยี่ยนหลันมองเซี่ยฟางหวาก่อนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

 

 

           “ไม่ต้องให้เจ้าช่วยหรอก พอเจ้าออกไปข้างนอกแล้วก็ช่วยข้าเฝ้าห้องนี้ไว้ก็พอ อย่าให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาโดยเด็ดขาด” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           “ได้ เช่นนั้นเจ้าช่วยนางให้เต็มที่ ข้าจะเฝ้าข้างนอกไว้เอง” เยี่ยนหลันเดินออกไป

 

 

           ไม่นานทุกคนก็พากันออกไปรอข้างนอก

 

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินองค์หญิงใหญ่พูดคุยกับเซี่ยอวิ๋นหลานข้างนอกเพื่อขอให้เขาเข้ามาช่วยข้างใน เซี่ยอวิ๋นหลานลังเลครู่หนึ่งก่อนตกปากรับคำ ไม่นานก็เดินเข้ามาในห้อง ปิดประตูให้สนิทแล้วเดินมาหาเซี่ยฟางหวา ก่อนเอ่ยถามนางเสียงเบา “ให้ข้าทำสิ่งใด”

 

 

           “พี่อวิ๋นหลาน นางต้องคำสาปเข้าฝัน ขณะเดียวกันยังโดนวิชาสะกดจิตด้วย” ใบหน้าเซี่ยฟางหวาไม่น่ามองยิ่ง

 

 

           “คำสาปเข้าฝันนี้ข้าเคยได้ยินจ้าวเคอพูดถึงอยู่บ้าง มันเป็นคำสาปชั้นต่ำแบบหนึ่งของเผ่าภูตผี เมื่อผู้ใช้คำสาปร่ายใส่ขณะนอนหลับก็จะสร้างความฝันของนางได้ตามใจชอบ ส่วนวิชาสะกดจิต ข้ากลับไม่เคยรู้มาก่อน” เซี่ยอวิ๋นหลานชะงัก รีบมองนางทันที

 

 

           “มีตำราโบราณเล่มหนึ่งรวบรวมเคล็ดวิชาทุกแขนงในใต้หล้า หนึ่งในนั้นคือวิชาสะกดจิตนี้ ตำราเล่มนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ที่เขาไร้นาม ส่วนหนึ่งอยู่ที่วังหลวง อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่จวนจงหย่งโหว ข้าได้มันมาโดยบังเอิญและเรียนวิชาสะกดจิตในนั้นมา” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “ข้าเคยได้ยินตำราเล่มนี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าได้อ่านมันแล้ว” เซี่ยอวิ๋นหลานตกใจ

 

 

           “คำสาปเข้าฝันนี้น่าจะใกล้เคียงกับวิชาล่อลวงที่ฉีอวิ๋นเสวี่ยใช้กับหลี่มู่ชิง เพียงใช้เลือดของเราก็น่าจะถอนได้” เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองจินเยี่ยนบนเตียง เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

 

           “มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่” เซี่ยอวิ๋นหลานถามขึ้น

 

 

           “ข้าคิดว่าที่จินเยี่ยนต้องคำสาปเข้าฝันและโดนวิชาสะกดจิต น่าจะเป็นแผนของผู้อยู่เบื้องหลังใช้เพื่อหยั่งเชิงข้า และเพื่อยืนยันบางอย่างด้วยเช่นกัน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง ใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นฉับพลัน

 

 

           “หากเราถอนคำสาปเข้าฝันได้ก็เป็นการยืนยันฐานะของเรา หากแก้วิชาสะกดจิตนี้อีก ก็ยืนยันได้ว่าตำราเล่มนั้นตกอยู่ในมือข้าแล้ว” เซี่ยฟางหวากล่าว “ดูท่าต้องการโจมตีฐานะของเราโดยตรง”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานฟังจบก็เม้มปากแน่น เงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นจะช่วยหรือไม่”

 

 

           “จินเยี่ยนใช่ว่าจะนิสัยไม่ดี ตอนนั้นหากไม่ได้นาง ฉินเจิงคงเกิดเรื่องเพราะพิษกามารมณ์แล้ว ข้าติดค้างน้ำใจนางครั้งหนึ่ง อีกอย่างวันสมรสนางก็เข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนข้า ถึงแม้มาด้วยเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อไมตรีของระหว่างพี่น้องก็ตาม แต่สำหรับข้าแล้วก็ถือเป็นน้ำใจ ในเมื่อข้าช่วยนางได้ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย” เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า

 

 

           “อีกอย่างข้าก็อยากรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ ทั้งคดีหลูอี้โดนวิชาหนอนพิษจงที่ค่ายทหาร หมอหลวงซุนถูกสังหาร กลไกศิลายักษ์ ฝูงหมาป่าล้อมโจมตี และใต้เท้าหานถูกเข็มสังหาร ยิ่งไปกว่านั้นยังสืบสาวไปถึงเหตุเพลิงไหม้ที่วัดฝ่าฝอซื่อและศพอู๋ว่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย คดีเหล่านี้ต่างมีส่วนเชื่อมโยงกันที่แยกไม่ได้” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเถอะ ฐานะของเราจะถูกเปิดโปงก็เปิดโปงไป ไม่กลัวผู้อยู่เบื้องหลังคนนั้นอยู่แล้ว” เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า

 

 

           “พี่อวิ๋นหลาน ข้าเรียกท่านมาก็เพราะอยากให้เราตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม บางทีหลังจากวันนี้ไป อนาคตต้องเกิดปัญหามากกว่านี้แน่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

 

 

           “ข้าไม่กลัว” เซี่ยอวิ๋นหลานบีบไหล่นาง

 

 

           “เราถอนคำสาปเข้าฝันให้นางก่อน จากนั้นข้าค่อยแก้วิชาสะกดจิตให้นาง” เซี่ยฟางหวาอุ่นใจขึ้นบ้าง

 

 

           “ได้!” เซี่ยอวิ๋นหลานผงกศีรษะ

 

 

           เซี่ยฟางหวาหยิบกริชออกมาจากอกเสื้อ กรีดลงบนฝ่ามือแผ่วเบา จากนั้นก็เผยอริมฝีปากจินเยี่ยนออกแล้วป้อนเลือดเข้าไป ขณะเดียวกันก็ส่งกริชให้เซี่ยอวิ๋นหลาน

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานรับกริชมากรีดฝ่ามือแผ่วเบา ผสมเลือดเข้ากับเลือดของเซี่ยฟางหวา หยดเข้าสู่โพรงปากของจินเยี่ยน

 

 

           หลังหยดเลือดลงไปประมาณห้าหกหยด เซี่ยฟางหวาคิดว่าพอเพียงแล้วก็กดฝ่ามือ

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานก็ผละมือออกเช่นกัน

 

 

           เซี่ยฟางหวาเก็บกริชเข้าอกเสื้อ ก่อนเริ่มแก้วิชาสะกดจิตให้จินเยี่ยน

 

 

           วิชาสะกดจิตนั้นสิ้นเปลืองพลังมาก อีกอย่างเซี่ยฟางหวาก็ใช้วิชาสะกดจิตกับผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเมื่อช่วงกลางวัน จากนั้นก็เร่งเดินทางกลับจวน ยังไม่ทันได้พักผ่อนดีก็ต้องมุ่งหน้ามายังอารามลี่อวิ๋นต่อ ด้วยความเหนื่อยล้านี้ทำให้แก้วิชาสะกดจิตได้ช้าลง

 

 

           เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปเต็มๆ นางถึงแก้วิชาสะกดจิตได้สมบูรณ์ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อเปียกชื้น ร่างกายโซเซเล็กน้อย

 

 

           “เป็นอย่างไรบ้าง” เซี่ยอวิ๋นหลานรีบมาพยุงนาง

 

 

           “ยังไหว” เซี่ยฟางหวาตอบด้วยความอ่อนแรง

 

 

           “นางจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร” เซี่ยอวิ๋นหลานถาม “ข้าพยุงเจ้าไปนั่งพักก่อนดีกว่า”

 

 

           “ประเดี๋ยวก็ตื่นแล้ว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           นางเพิ่งพูดจบ จินเยี่ยนซึ่งอยู่บนเตียงก็ตื่นขึ้นมา นางลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวากับเซี่ยอวิ๋นหลานยืนอยู่ริมหน้าต่างก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แรกเริ่มคงคิดว่าตาฝาด นางจึงปิดตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่ เมื่อเห็นทั้งสองยังอยู่ที่เดิมก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เซี่ยฟางหวา พวกเจ้า…มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

 

 

           เพราะหลับนานเกินไป ลำคอจึงแห้งผาก

 

 

           เซี่ยฟางหวาตอบนาง “ท่านหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อ “ส่วนเพราะเหตุใดนั้น ตอนนี้ข้าไม่มีแรงแล้ว ให้องค์หญิงใหญ่มาเล่าให้ท่านฟังเถอะ”

 

 

           “แม่ข้า?” จินเยี่ยนตกใจ

 

 

           “อืม ท่านป้าก็มาด้วย ตอนนี้ยังอยู่ที่อารามลี่อวิ๋น” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็เอ่ยบอกเซี่ยอวิ๋นหลาน “พี่

 

 

อวิ๋นหลาน ท่านออกไปก่อนเถอะ บอกองค์หญิงใหญ่ว่าท่านหญิงจินเยี่ยนตื่นแล้ว ให้พวกนางเข้ามาได้”

 

 

           “แล้วเจ้า…” เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง

 

 

           “ข้าพักสักครู่ก็หายแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานเห็นว่านางหน้าซีด ทั้งมีเหงื่อเต็มตัว สภาพดูอ่อนแรงอย่างยิ่งจึงเอ่ยขึ้น “นำเสื้อผ้ามาด้วยหรือไม่ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”

 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           “ข้านำเสื้อผ้ามามาก ทั้งมีชุดใหม่ด้วย ประเดี๋ยวจะให้น้องฟางหวาไปเปลี่ยน” จินเยี่ยนแม้ไม่เข้าใจสถานการณ์แต่ก็นับว่ายังควบคุมสติได้ นางลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า มองเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยบอก

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานได้ยินเช่นนั้นก็ผงกศีรษะก่อนเดินออกไป

 

 

           เขาเพิ่งออกไป องค์หญิงใหญ่กับเยี่ยนหลันที่รออยู่ข้างนอกก็รีบซักถามทันที พอทราบว่าจินเยี่ยนตื่นแล้วก็รีบเข้ามาในห้อง

 

 

           “ลูกแม่ เจ้าปลอดภัยแล้ว แม่ตกใจแทบแย่” องค์หญิงใหญ่เดินมาที่เตียงแล้วรั้งจินเยี่ยนมากอด

 

 

           จินเยี่ยนปล่อยให้นางกอดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ข้าเป็นอะไรไปกันแน่ ตอนนี้ยามใดแล้ว ท่านกับน้องฟางหวา…” หยุดชั่วครู่ เมื่อเห็นเยี่ยนหลันมาด้วยก็กล่าวต่อ “ยังมีเยี่ยนหลัน พวกเจ้ามาได้อย่างไร”

 

 

           องค์หญิงใหญ่รีบเล่าเรื่องที่นางหลับไปเป็นเวลานาน เมื่อส่งข่าวกลับมาก็รีบมาหา ระหว่างทางได้พบเซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลันพอดี พูดจบก็เอ่ยขึ้น “ลำบากพระชายาน้อยแล้วที่ต้องช่วยปลุกเจ้า”

 

 

           “ข้าฝันร้ายได้อย่างไร” จินเยี่ยนไม่เข้าใจ

 

 

           “เจ้าหลับไปนานเช่นนี้ ฝันเรื่องใดหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           “ฝัน…” จินเยี่ยนก้มหน้านึก ทันใดนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ครู่ต่อมาก็หน้าซีดขาว เอ่ยขึ้นด้วยตัวสั่นระริกเล็กน้อย “ฝันถึงของบางสิ่ง…” พูดจบก็พึมพำเสียงเบา “ที่แท้เป็นความฝัน…”

 

 

           “เจ้าฝันถึงอะไร” องค์หญิงใหญ่รีบถาม

 

 

           สีหน้าของจินเยี่ยนย่ำแย่มาก สักพักต่อมาก็เปลี่ยนเรื่อง “น้องฟางหวาช่วยข้าจนเหงื่อท่วมตัวแล้ว” พูดจบก็สั่งงานสาวใช้ประจำกาย “รีบไปนำเสื้อผ้าใหม่ที่ข้ายังไม่เคยสวมใส่มาให้นางเปลี่ยน”