ตอนที่ 47

จารใจรัก

สาวใช้ของจินเยี่ยนรีบไปนำชุดกระโปรงใหม่เอี่ยมที่จินเยี่ยนยังไม่เคยสวมใส่มายื่นให้เซี่ยฟางหวา

 

 

           เซี่ยฟางหวาเองก็หาได้เกรงใจไม่ หันหลังเดินไปยังหลังฉากกั้นเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

 

 

           องค์หญิงใหญ่ย่อมมิได้ใส่ใจกับความฝันของจินเยี่ยนนัก นางแค่ตระหนกตกใจ ขอเพียงบุตรสาวปลอดภัยดีนางก็สบายใจแล้ว

 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินออกมาจากหลังฉากกั้น หย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง

 

 

           “วันนี้ลำบากเจ้าแล้ว ช่วยนางคงเสียแรงไปมาก” องค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยนพูดคุยกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมามองเซี่ยฟางหวาด้วยความซาบซึ้งใจยิ่ง “ป้าจะจดจำน้ำใจเจ้าไว้”

 

 

           “ท่านป้าเกรงใจไปแล้ว” เซี่ยฟางหวายิ้ม “ไม่ต้องเอ่ยว่าจวนอิงชินอ๋องกับจวนองค์หญิงใหญ่นั้นเป็นญาติกัน ถึงแม้เพียงเอ่ยถึงท่านหญิงจินเยี่ยนผู้นี้ ด้วยไมตรีจิตระหว่างนางกับข้า ข้าก็ย่อมต้องช่วยเหลืออยู่ดี”

 

 

           “ได้ เจ้าพูดถึงขนาดนี้ป้าก็ไม่ขอบคุณแล้ว” องค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าลำบากมาทั้งวันคงเหนื่อยแย่แล้ว อารามลี่อวิ๋นแห่งนี้แม้มีขนาดเล็ก แต่ก็พอรองรับคนได้จำนวนหนึ่ง ยังเหลืออีกหลายชั่วยามกว่าฟ้าจะสาง เราพักที่นี่กันหนึ่งคืนแล้วกัน”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ

 

 

           “ท่านแม่ ให้น้องเยี่ยนหลันกับน้องฟางหวาพักที่นี่เถอะ แล้วท่านไปพักห้องข้างๆ แทน” จินเยี่ยนบอก

 

 

           “ได้ คุณชายอวิ๋นหลานก็อุตส่าห์ลำบากมา ข้าจะออกไปจัดแจงที่พักให้” องค์หญิงใหญ่พูดจบก็เดินออกไป

 

 

           ภายในห้องจึงเหลือแค่เซี่ยฟางหวา จินเยี่ยน และเยี่ยนหลันสามคน

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อกับสาวใช้ของจินเยี่ยนพักอยู่ในห้องชั้นนอก

 

 

           “ฟางหวา เจ้าไหวหรือไม่” เยี่ยนหลันเห็นว่าจินเยี่ยนปลอดภัยดีแล้ว เซี่ยฟางหวากลับดูอ่อนแรงถึงที่สุดจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

 

 

           “เสียกำลังภายในและเรี่ยวแรงไปเล็กน้อย พักสองชั่วยามก็ดีขึ้นแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

           “เช่นนั้นเจ้ารีบขึ้นมานอนพักเถอะ” จินเยี่ยนกระโดดลงจากเตียง “ข้าหลับไปนานถึงเพียงนี้ ควรลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายสักหน่อย”

 

 

           เซี่ยฟางหวาก็ไม่ได้เกรงใจ ขึ้นไปนอนบนเตียงทันที

 

 

           เยี่ยนหลันก็ขึ้นมาเบียดบนเตียงกับนางเช่นกัน ก่อนใช้มือทุบท่อนขาคลายความเมื่อยพลางบ่นจินเยี่ยนอุบอิบ “ท่านฝันร้ายได้อย่างไรกัน ท่านไม่รู้หรือว่าข้างนอกฝนตกหนักมาสองสามวันแล้ว ถนนที่ใช้เดินทางมาอารามลี่อวิ๋นก็ลำบากมาก มีถนนสิบกว่าเส้นที่เราต้องลงเดินเท้าแทน เท้าข้าขึ้นตุ่มไปหมดแล้ว”

 

 

           “ขอโทษ ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว ทั้งยังต้องลำบากอีก” จินเยี่ยนรินน้ำอุ่นยื่นให้เซี่ยฟางหวากับ

 

 

เยี่ยนหลัน

 

 

           เซี่ยฟางหวากับเยี่ยนหลันเองก็กระหายน้ำมากจึงรับแก้วน้ำมาดื่มอย่างไม่เกรงใจ

 

 

           จินเยี่ยนรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง ดื่มไปสองอึกก็เอ่ยขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าไม่เคยฝันร้ายมาก่อน เหตุใดจู่ๆ ถึงฝันร้ายได้เล่า ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

 

           “ท่านลองนึกดูให้ดี ตอนบ่ายเมื่อวานได้พบปะใครบ้างหรือว่าของสิ่งใด ไม่ก็เกิดเรื่องใดขึ้น ที่ทำให้หลังจากนั้นท่านรู้สึกง่วงนอน” เซี่ยฟางหวามองนาง

 

 

           จินเยี่ยนครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่มีหรอก หลังทานมื้อกลางวันเสร็จก็รู้สึกง่วงจึงหลับไป”

 

 

           “ท่านกินอะไรเป็นมื้อกลางวัน พอจำได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           “เป็นอาหารเจในอาราม” จินเยี่ยนนึก

 

 

           “อารามลี่อวิ๋นแห่งนี้มีกันกี่คน มาจากไหนกันบ้าง” เซี่ยฟางหวาถามอีก

 

 

           “อารามลี่อวิ๋นแห่งนี้มีกันอยู่ไม่เกินสิบกว่าคน มีเจ้าอารามอาวุโสหนึ่งรูป แม่ชีอาวุโสอีกสี่รูป ทั้งห้ารูปนี้เส้นผมล้วนเป็นสีขาวหมดแล้ว ส่วนที่เหลือฟังว่าบางคนมาอยู่เพราะหลังออกเรือนไปก็ไม่เป็นที่ยอมรับในบ้านสามีจึงมาบวชเป็นแม่ชีแทน บางคนก็เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เติบโตมาในอารามลี่อวิ๋นแห่งนี้ อายุน้อยสุดอยู่ที่สิบสองขวบ” จินเยี่ยนตอบ “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่กี่วัน นอกจากได้สวดมนต์กับเจ้าอารามอาวุโส คนอื่นๆ ก็ได้พบหน้าแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “อารามลี่อวิ๋นอยู่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ แล้วดำรงชีวิตอยู่อย่างไร”

 

 

           “ฟังว่ามีที่นาอยู่หลายหมู่ พวกแม่ชีจะทำไร่ไถนาด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็มีคุณหนูจากตระกูลร่ำรวยมาปฏิบัติธรรมเป็นเวลาสั้นๆ เหมือนอย่างข้าด้วย เราก็จะช่วยบริจาคพวกธูปเทียน ตะเกียงน้ำมัน และเงินทองให้” จินเยี่ยนตอบ

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ

 

 

           “เจ้าบอกว่าข้าฝันร้าย เกิดอันใดขึ้นกันแน่ มีคนอยากทำร้ายข้าใช่หรือไม่” จินเยี่ยนมองนาง

 

 

           “ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าฝันถึงสิ่งใด” เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ หากแต่ถามกลับ

 

 

           เดิมทีจินเยี่ยนมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ได้ยินเช่นนี้ก็หน้าซีด

 

 

           “เป็นฝันน่ากลัวรึหรือว่ายากจะเอ่ย” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           เยี่ยนหลันก็มองจินเยี่ยนด้วยความใคร่รู้ ก่อนโพล่งขึ้น “ท่านต้องฝันถึงรัชทายาทเป็นแน่”

 

 

           “เจ้ารู้ได้อย่างไร” จินเยี่ยนสะดุ้ง

 

 

           “ข้าเดาเอา ผู้ที่ท่านคะนึงหาอยู่ในใจก็คือรัชทายาท เมื่อยังคิดถึงอยู่ก็ย่อมต้องฝันถึง” เยี่ยนหลันตอบ “ยิ่งไปกว่านั้น แม้ปากท่านบอกว่าลืมเขาไปแล้ว แต่ความคะนึงหาอันยาวนานนี้ มีหรือจะลืมได้ในเวลาไม่กี่วัน”

 

 

           “ข้าฝันถึงพี่อวี้อย่างที่เจ้าบอกนั่นแหละ” จินเยี่ยนก้มหน้าลง

 

 

           “ฝันว่าอะไร” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           “ฝันว่าเขามาสู่ขอข้า เราได้สมรสกัน” จินเยี่ยนลังเลครู่หนึ่งก่อนยอมบอก

 

 

           “มิน่าท่านถึงไม่ยอมตื่น” เยี่ยนหลันถอนใจ

 

 

           “ฝันถึงแค่เรื่องนี้หรือ ยังฝันถึงเรื่องใดอีกบ้าง เหตุใดพอนึกถึงความฝันนั้นแล้วท่านถึงได้ดูหวาดกลัวยิ่งนัก” เซี่ยฟางหวามองนาง

 

 

           จินเยี่ยนตวัดตามองนาง กัดริมฝีปากครู่หนึ่ง “ฝันว่าเขาสังหารข้าในวันสมรส เจ้าสาวคนใหม่ถูกเปลี่ยนเป็นเจ้าแทน”

 

 

            เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง

 

 

           “ท่านฝันเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เยี่ยนหลันเองก็ตกใจ

 

 

           ใบหน้าของจินเยี่ยนยิ่งซีดลง

 

 

           “เมื่อครูท่านป้าอยู่ด้วย ข้ากลัวว่านางจะเป็นกังวลจึงไม่ได้บอกอาการป่วยของเจ้าละเอียด” เซี่ยฟางหวามองนางแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

           จินเยี่ยนมึนงง

 

 

           “ความฝันที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีคนร่ายคำสาปเข้าฝัน ปั้นเรื่องให้ความฝันของเจ้า ความจริงแล้วมันไม่ใช่ฝันร้าย แต่เจ้าถูกคนร่ายคำสาปเข้าฝันใส่” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “คำสาปเข้าฝันคืออะไร” จินเยี่ยนสงสัย

 

 

           “เป็นวิชาคำสาประดับต่ำของเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวาอธิบาย “คำสาปนี้ไม่ได้ใช้หนอนพิษจงเป็นตัวนำพา แต่ใช้ยากล่อมประสาทเป็นสื่อกลาง หลังเจ้าถูกยากล่อมประสาท คนผู้นั้นก็ฉวยโอกาสนี้สบตาเจ้า ใช้เลือดของเจ้าร่ายคำสาปลงไป พอควบคุมความคิดของเจ้าได้ก็เท่ากับว่าควบคุมความฝันของเจ้าได้เช่นกัน”

 

 

           จินเยี่ยนตกตะลึง

 

 

           “ดังนั้นเจ้าลองคิดให้ดีว่า หลังเจ้าทานมื้อกลางวันแล้วรู้สึกผิดปกติทันทีหรือไม่ หรือพบใครบ้างก่อนจะหลับไป นอกจากนี้ นิ้วกลางของเจ้าเป็นแผลใช่หรือไม่ ไปได้แผลมาได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวากล่าว

 

 

           จินเยี่ยนก้มหน้ามองนิ้วกลางของตนเองทันที พบว่ามีแผลเล็กๆ อยู่จริง นางตัวสั่นระริกขึ้นมา

 

 

           “มีแผลเล็กๆ อยู่จริงหรือ” เยี่ยนหลันเรียกจินเยี่ยนมา “ท่านมานี่หน่อย ข้าขอดูให้ชัด”

 

 

           จินเยี่ยนเดินมาข้างเตียง ยื่นนิ้วให้เยี่ยนหลันดู

 

 

           “นิ้วกลางมีแผลอยู่จริงด้วย” เยี่ยนหลันตกใจ “นี่ท่านถูกผู้ใดลอบทำร้ายกัน แล้วท่านไม่มีภาพความทรงจำอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อยหรือ”

 

 

           จินเยี่ยนเงียบ จ้องมองจุดหนึ่งราวกับกำลังทบทวนความทรงจำ พักใหญ่ต่อมาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก “ข้าจำได้ว่าเมื่อวานข้าอยู่คัดคัมภีร์ในที่พักของเจ้าอารามอาวุโส ต่อมาก็ทานมื้อกลางวันร่วมกับเจ้าอาราม หลังทานเสร็จก็รู้สึกง่วง ข้าจึงกลับออกมา ระหว่างทางได้พบคนอื่นอยู่บ้าง แต่พบใครไปนั้นข้าจำไม่ได้”

 

 

           “ท่านจำไม่ได้ แล้วสาวใช้ท่านเล่า” เยี่ยนหลันถาม

 

 

           “เจ้าหมายถึงหลิงเซียง? ข้าจะเรียกนางเข้ามาถาม” จินเยี่ยนพูดจบก็ตะโกนเรียก

 

 

           หลิงเซียงได้ยินเสียงเรียกก็รีบเดินเข้ามา คุกเข่าลงกับพื้น “ท่านหญิง ท่านมีคำสั่งใดหรือเจ้าคะ”

 

 

           “ข้าถามเจ้า นิ้วมือข้ามีแผลได้อย่างไร” จินเยี่ยนถาม

 

 

           หลิงเซียงครุ่นคิดแล้วเอ่ยตอบ “ตอนกลับจากที่พักเจ้าอารามอาวุโส ท่านค้ำกรอบประตูครู่หนึ่ง ต่อมาก็เห็นว่าปลายนิ้วท่านมีเลือดออกจึงทำแผลให้ ท่านบอกว่าแผลเล็กน้อยมิใช่ปัญหาใหญ่ ข้าเห็นว่าแผลนั้นมิได้ใหญ่มากเช่นกันจึงปล่อยเลยตามเลย” พูดจบก็เอ่ยถาม “ท่านหญิง ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

           “คล้ายกับมีเรื่องเช่นนี้” จินเยี่ยนบอก

 

 

           เยี่ยนหลันมองเซี่ยฟางหวา

 

 

           “บนกรอบประตูมีสิ่งใดอยู่ เหตุใดถึงบาดนิ้วเอาได้” เซี่ยฟางหวาเอ่ยถามหลิงเซียง

 

 

           “บนกรอบประตูมิได้มีสิ่งใด น่าจะเป็นเศษไม้เจ้าค่ะ ถึงอย่างไรอารามลี่อวิ๋นแห่งนี้ก็ควรบูรณะใหม่ได้แล้ว” หลิงเซียงตอบ “ตอนที่ปลายนิ้วของท่านหญิงมีเลือดออก ข้าได้มองกรอบประตูนั้นถี่ถ้วนแล้ว”

 

 

           “เช่นนั้นหลังพวกเจ้าออกจากที่พักเจ้าอาราม ได้พบผู้ใดหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถามอีก

 

 

           “ได้พบผู้คนบ้างประปราย แต่เป็นผู้ใดนั้นบ่าวจำมิได้ ถึงอย่างไรฝนก็ตกหนักมาก” หลิงเซียงตอบ

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           จินเยี่ยนเห็นว่านางไม่มีเรื่องใดจะถามแล้วก็ยกมือไล่หลิงเซียงออกไป

 

 

           “เจ้าอารามอาวุโสรูปนั้นมีปัญหาใช่หรือไม่ ในเมื่อเจ้าอยู่ทานมื้อกลางวันที่ที่พักของนาง ยากล่อมประสาทที่ว่าก็น่าจะเป็นฝีมือนาง” เยี่ยนหลันสันนิษฐาน

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่พูดจา

 

 

           “เจ้าอารามอาวุโสรูปนั้นเล่า ตั้งแต่เรามาถึงก็ยังไม่เห็นนางเลย ต้องมีปัญหาเป็นแน่” เยี่ยนหลันบอก

 

 

           “เจ้าอารามอาวุโสใจบุญสุนทาน ไม่คล้ายผู้กระทำสิ่งชั่วร้าย อีกอย่างแม่ข้าก็บริจาคเครื่องธูปเทียนให้มากมาย แล้วเหตุใดนางต้องวางแผนทำร้ายข้าด้วย” จินเยี่ยนมองเซี่ยฟางหวาด้วยความสงสัย

 

 

           “ตอนนี้น่าจะคุมตัวเจ้าอารามอาวุโสไว้ก่อน” เยี่ยนหลันเสนอ “มนุษย์รู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่แน่ว่าความใจบุญสุนทานเช่นนี้อาจเป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอกไว้ตบตาผู้อื่น เนื้อแท้แล้วกลับมีจิตใจชั่วช้า”

 

 

           “น้องฟางหวา เจ้าคิดสิ่งใดอยู่” จินเยี่ยนมองไปยังเซี่ยฟางหวา

 

 

           “ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถอะ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

           “หากนางหนีไปคืนนี้เล่า” เยี่ยนหลันถาม “ใครจะรอให้ถูกจับเหมือนคนโง่กัน”

 

 

           “จะหนีไปไหนได้ เรานำคนขึ้นเขามาด้วยมากถึงเพียงนี้ ก็แค่แม่ชีอาวุโสผมขาวเท่านั้นเอง” เซี่ยฟางหวาล้มตัวนอน เอ่ยบอกเยี่ยนหลันด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าไม่เหนื่อยหรือ นอนกันเถอะ”

 

 

           “เหนื่อยสิ” เยี่ยนหลันเบ้ปาก “แต่ใครทำร้ายจินเยี่ยนกันแน่ เหตุใดถึงต้องร่ายคำสาปเข้าฝันที่เจ้าบอกกับนาง แถมยังลากรัชทายาทกับเจ้ามาอีกเกี่ยวข้อง ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก”

 

 

           “คนที่รู้ว่าข้าชอบพี่อวี้มีมาก และมีหลายคนที่รู้ว่าเขาชอบน้องฟางหวาเช่นกัน แต่ร่ายคำสาปเข้าฝันกับข้านั้นเพื่อจุดประสงค์ใด หรืออยากได้สิ่งใดจากตัวข้า” จินเยี่ยนเองก็สงสัยเช่นกัน

 

 

           “ไม่ใช่อยากได้สิ่งใดจากตัวท่าน แต่เพื่อล่อข้ามาที่อารามลี่อวิ๋นและต้องการบางสิ่งจากตัวข้า” เซี่ยฟางหวาเอ่ยเสียงเรียบ

 

 

           จินเยี่ยนผงะตกใจ

 

 

           “เป็นเช่นนี้” เยี่ยนหลันเองก็ตกใจเช่นกัน

 

 

           “ตอนที่จวนองค์หญิงใหญ่เพิ่งทราบข่าว เจ้าก็ทราบข่าวแล้วเช่นกัน ได้ข่าวมาอย่างไร” เซี่ยฟางหวาพลันถามเยี่ยนหลัน

 

 

           “เป็นพ่อข้าที่ทราบข่าว หลังเขากลับมาจากค่ายใหญ่เขาตะวันตก ข้ากำลังอยู่กับท่านแม่พอดี มีคนมารายงานข่าวกับเขา ข้าย่อมได้รู้ไปด้วย” เยี่ยนหลันตอบ

 

 

           “เช่นนั้นเจ้าก็นึกขึ้นได้ว่าควรมาหาข้าเพื่อไปอารามลี่อวิ๋นด้วยกันหรือ” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           เยี่ยนหลันเกาศีรษะ “พอข้าทราบข่าวก็อยากมาที่อารามลี่อวิ๋นพร้อมกับองค์หญิงใหญ่ แต่ท่านแม่ห้ามไว้ บอกว่าฝนตกหนักถึงเพียงนี้ อีกอย่างข้าก็ไม่รู้วิชาแพทย์ ถึงตามไปด้วยก็ยิ่งวุ่นวายเปล่าๆ ข้าจึงนึกถึงเจ้าขึ้นมา ทราบว่าเจ้ากลับจวนมาแล้วจึงมาหาเจ้า” หยุดชั่วครู่แล้วเน้นย้ำด้วยความมั่นใจ “ข้านึกขึ้นได้เองว่าจะมาหาเจ้าเพื่อไปอารามลี่อวิ๋นด้วยกัน”

 

 

           “ดูท่าทั้งเมืองหลวง จวนใหญ่ต่างๆ ค่ายใหญ่เขาตะวันตก รวมถึงอารามลี่อวิ๋นเล็กๆ แห่งนี้ต่างเต็มไปด้วยสายสอดแนม ผู้อยู่เบื้องหลังคงอ่านใจคนได้อย่างแม่นยำมาก ทุกก้าวคือแผนการ” เซี่ยฟางหวาผุดยิ้มขึ้น

 

 

           “หมายความว่าอย่างไร” เยี่ยนหลันมองเซี่ยฟางหวา “ในจวนข้ามีหนอนบ่อนไส้รึ”

 

 

           “น่ากลัวว่าจะไม่ใช่แค่จวนหย่งคังโหว ยังมีจวนองค์หญิงใหญ่และจวนจงหย่งโหวด้วย” เซี่ยฟางหวาคิด เซี่ยอวิ๋นหลานบังเอิญมารอนางบนถนนที่ต้องผ่านพอดี เขามาด้วยก็ประจวบเหมาะที่จะผสมเลือดเป็นหนึ่งเดียวกับนางเพื่อช่วยปลุกจินเยี่ยนให้ตื่นขึ้นได้ ช่างเกี่ยวโยงต่อกันเป็นทอดๆ โดยแท้

 

 

           “หลายวันนี้หมอหลวงซุนถูกสังหาร ใต้เท้าหานก็ถูกสังหารเช่นกัน ในเมื่อตั้งใจล่อเจ้ามาที่นี่ ถ้าพวกเราอยู่ที่นี่ต่อคงไม่ปลอดภัยใช่หรือไม่” เยี่ยนหลันรู้สึกกลัวขึ้นมา

 

 

           “ตอนนี้รู้จักความกลัวแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวาส่งยิ้มให้นาง “นอนให้สบายใจเถอะ อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่เกิดอันใดขึ้นหรอก”

 

 

           เยี่ยนหลันสบายใจขึ้นเล็กน้อย “มีคนต้องการโจมตีเจ้า ยอมอ้อมไปอ้อมมาถึงเพียงนี้เชียว” นางมองไปยังจินเยี่ยน “แม้แต่นางที่มาอยู่ในสถานที่ห่างไกลความเจริญอย่างอารามลี่อวิ๋นยังถูกใช้ประโยชน์ไปด้วย”

 

 

           “น้ำใจคนคือจุดอ่อน ผู้อยู่เบื้องหลังต้องรู้จักความสัมพันธ์ในจวนใหญ่ต่างๆ ดีเป็นแน่ ทั้งฉลาดหลักแหลมในการตบตาผู้คนอย่างมาก คาดเดาใจคนได้เป็นอย่างดี” เซี่ยฟางหวาหลับตาลง “รู้ว่าเจ้าต้องไปหาข้าเป็นแน่ และรู้ว่าข้าต้องมาอย่างแน่นอน”

 

 

           เยี่ยนหลันรู้สึกเย็นยะเยือกด้วยความกลัว มองไปยังจินเยี่ยน

 

 

           “ใช่พี่อวี้หรือไม่ พี่อวี้เขาเพื่อเจ้าแล้ว…” จินเยี่ยนเองก็หน้าซีดขาวเช่นกัน

 

 

           “ไม่ใช่เขา” เซี่ยฟางหวายืนยัน

 

 

           “เช่นนั้นเป็น…” จินเยี่ยนไม่นึกว่าเซี่ยฟางหวาจะมั่นใจเช่นนี้ นางรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ

 

 

           “ต้องสืบหาให้กระจ่าง” เซี่ยฟางหวาไม่อยากคาดเดาแล้วเช่นกัน

 

 

           จินเยี่ยนเงียบลง

 

 

           เซี่ยฟางหวาเหนื่อยมากแล้ว ไม่นานก็ผล็อยหลับไป

 

 

           จินเยี่ยนเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน แม้จะมีความกลัวอยู่บ้าง แต่หลังเซี่ยฟางหวาหลับไป นางเองก็หลับตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

 

           จินเยี่ยนนอนมาเยอะเกินไปจึงไร้ซึ่งความง่วง นางนั่งกอดผ้าห่มริมขอบเตียง ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังนางออกจากเมืองหลวงมายังอารามลี่อวิ๋นอย่างละเอียด คิดอยู่เนิ่นนานก็ไม่ทราบสาเหตุ เห็นว่าฟ้าสว่างแล้วจึงหลับตาลง

 

 

           เช้าวันที่สอง ฝนยังคงตกหนักไม่หยุด

 

 

           เซี่ยฟางหวาตื่นขึ้นมาพบว่าเยี่ยนหลันกับจินเยี่ยนยังหลับอยู่ นางสวมเสื้อตัวบางคลุมทับแล้วลงจากเตียง ก่อนเดินออกมาจากประตูห้อง

 

 

           พวกซื่อฮว่าก็ตื่นแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นนางเดินออกมาก็รีบเข้ามาหา พร้อมกระซิบเสียงเบา “คุณหนู

 

 

องค์หญิงใหญ่นำคนไปยังที่พักเจ้าอารามอาวุโสตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อครู่บ่าวได้ข่าวว่าเจ้าอารามอาวุโสเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับโดยไม่แปลกใจเท่าไรนัก “นอกจากนาง ยังมีใครตายอีกหรือไม่”

 

 

           “ยังมีแม่ชีน้อยอีกหนึ่งรูปเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา

 

 

           “ตายอย่างไร” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           “ที่พักของเจ้าอารามอาวุโสสร้างมานานแล้ว ฟังว่าฝนตกหนักจนต้านทานไม่อยู่ ที่พักครึ่งหลังพังถล่มลงมาทับเจ้าอารามอาวุโสจนตาย ทั้งยังทับแม่ชีน้อยที่อยู่เฝ้ายามตอนกลางคืนด้วย” ซื่อฮว่าตอบ

 

 

           “เราไปดูกันเถอะ” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “ลมบนเขาแรงมาก เกรงว่าร่มคงกางไม่อยู่”  ซื่อฮว่ารีบนำเสื้อกันฝนมาคลุมให้นาง

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วเดินออกมา ขณะเดียวกันก็ถามขึ้น “พี่อวิ๋นหลานเล่า”

 

 

           “ไปยังที่พักของเจ้าอารามอาวุโสแล้วเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบ

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่พูดมากความอีก ส่วนซื่อฮว่านำทางไปยังที่พักของเจ้าอารามอาวุโส