ตอนที่ 48-1 ดินถล่ม

จารใจรัก

เมื่อมาถึงที่พักของเจ้าอารามอาวุโส เซี่ยฟางหวาก็มองเห็นห้องพักที่ถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง

 

 

           อารามลี่อวิ๋นขาดการบูรณะมานาน ฝนตกหนักถึงเพียงนี้จะทำให้ห้องถล่มลงมาย่อมเป็นเรื่องปกติ

 

 

           เพียงแต่เมื่อวานนางช่วยปลุกจินเยี่ยนให้ตื่นขึ้นมา วันนี้ห้องพักของเจ้าอารามลี่อวิ๋นก็พังถล่มลงมา อีกทั้งยามอู่วันก่อนจินเยี่ยนยังอยู่ทานมื้อกลางวันที่ที่พักนาง ทั้งเกิดบาดแผลที่ปลายนิ้ว จากนั้นก็ต้องคำสาปเข้าฝันและวิชาสะกดจิต วางกับดักทำให้สลบไสลไม่ได้สติ นี่ก็น่าไตร่ตรองแล้ว

 

 

           แม่ชีกลุ่มหนึ่งกำลังสะอื้นไห้ และมีผู้คุ้มกันกลุ่มหนึ่งกำลังขุดหาศพแม่ชีอาวุโสออกจากซากปรักหักพัง

 

 

           องค์หญิงใหญ่กับเซี่ยอวิ๋นหลานสวมเสื้อกันฝนยืนอยู่วงนอก ทันทีที่เซี่ยฟางหวามาถึง ทั้งสองก็มองเห็นนางแล้ว

 

 

           “ฟางหวา เจ้าตื่นแล้วหรือ” เซี่ยอวิ๋นหลานสำรวจสีหน้านาง เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เมื่อวานเจ้าต้องช่วยท่านหญิงคงเหนื่อยแย่ รู้สึกเช่นไรบ้าง ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

 

 

           “ดีขึ้นเยอะแล้ว” เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ “เมื่อคืนพี่อวิ๋นหลานหลับสบายหรือไม่”

 

 

           “เมื่อวานข้าเองก็เหนื่อยเช่นกัน พอเจ้าเข้านอน ข้าก็นอนด้วย” เซี่ยอวิ๋นหลานผงกศีรษะตอบ

 

 

           “ฟางหวา เจ้าว่าห้องของเจ้าอารามอาวุโสพังถล่มลงมาได้อย่างไร” ถึงอย่างไรองค์หญิงใหญ่ก็เติบโตมาในวังหลวง สัมผัสได้ว่าเรื่องนี้ประจวบเหมาะเกินไปหน่อย ชวนให้นางคิดว่าฝันร้ายของจินเยี่ยนจะต้องเกี่ยวข้องกับห้องที่พังถล่มลงมาเป็นแน่

 

 

           เซี่ยฟางหวากวาดตามองแม่ชีที่กำลังร้องไห้อยู่ เป็นอย่างที่จินเยี่ยนบอกไว้ว่ามีกันแค่สิบกว่าคน นางกวาดตามองซากปรังหักพังอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม “ห้องนี้พังถล่มลงมาเมื่อไร”

 

 

           “ฟังว่าเมื่อคืนตอนทุกคนหลับสนิท ไม่มีใครรู้เลยสักคน” องค์หญิงใหญ่ตอบ “แม่ชีในอารามเพิ่งรู้เมื่อตอนรุ่งสางนี้เอง”

 

 

           “ห้องถล่มลงมา น่าจะต้องเกิดเสียงดังมาก” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “ใช่แล้ว เมื่อคืนข้าหลับลึกก็จริง แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย” องค์หญิงใหญ่พยักหน้า

 

 

           “เนื่องจากพวกเราพักที่เรือนท้ายสุดในอารามลี่อวิ๋น ห่างจากที่พักเจ้าอารามอาวุโสค่อนข้างไกล ผนวกกับเมื่อคืนฝนตกหนักมาก ทั้งมีลมกระโชกแรง คนที่พวกเรานำมาก็มีไว้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของตัวเอง ไม่มีใครรู้ย่อมเป็นเรื่องปกติ” เวลานี้เซี่ยอวิ๋นหลานก็เอ่ยขึ้น

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           “เยี่ยนเอ๋อร์กับเยี่ยนหลันเล่า ยังหลับอยู่หรือ” องค์หญิงใหญ่เห็นนางมาเพียงลำพังก็ถามขึ้น

 

 

           “เจ้าค่ะ ยังหลับอยู่ ข้าไม่ได้ปลุกพวกนาง” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ

 

 

           “อารามลี่อวิ๋นแห่งนี้อยู่ไม่ได้แล้ว ประเดี๋ยวเราเตรียมเดินทางกันเถอะ” องค์หญิงใหญ่บอก

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           ไม่นานศพของเจ้าอารามอาวุโสกับแม่ชีน้อยรูปนั้นก็ถูกขุดออกมาจากซากปรักหักพัง

 

 

           แม่ชีกลุ่มนั้นรีบโผเข้าหา ส่งเสียงร้องไห้ดังระงม

 

 

           “หาห้องว่างก่อนเถอะ ข้าจะพิสูจน์ศพสองคนนี้ให้” เซี่ยฟางหวามองแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

           มีคนรีบยกศพสองแม่ชีเข้าไปในโถงอาราม

 

 

           เซี่ยฟางหวาก้าวไปตรวจสอบการตายให้สองแม่ชี พบว่าถูกทับตายจริงดังคาด อีกทั้งเวลาตายคือยามจื่อ*[1]สามเค่อ**[2] หรือก็คือเวลาหลังที่นางเข้านอนไปแล้ว

 

 

           “เป็นเช่นไรบ้าง” เซี่ยอวิ๋นหลานออกมาถาม “มีจุดใดผิดปกติหรือไม่”

 

 

           “พวกนางถูกทับตายไม่ผิด ไม่มีจุดใดผิดปกติเลย” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

           “แล้วเรื่องท่านหญิงจินเยี่ยน ยังต้องตรวจสอบหรือไม่” เซี่ยอวิ๋นหลานเม้มปาก

 

 

           “ท่านป้า การที่ท่านหญิงฝันร้ายมิใช่เรื่องบังเอิญ การตายของเจ้าอารามอาวุโสกับแม่ชีน้อยก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรตรวจสอบหรือไม่ หรือว่าหยุดไว้เพียงเท่านี้” เซี่ยฟางหวามองไปยัง

 

 

องค์หญิงใหญ่

 

 

           “จินเยี่ยนฝันร้ายไม่ใช่เรื่องดีนัก มีแต่จะทำลายชื่อเสียงนางเปล่าๆ ข้าคิดว่าไม่ต้องตรวจสอบดีกว่า” องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจออกมา “ขอเพียงเยี่ยนเอ๋อร์ปลอดภัยก็พอแล้ว”

 

 

           “เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านป้า ไม่ต้องตรวจสอบแล้วกัน” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           องค์หญิงใหญ่กุมมือเซี่ยฟางหวาแล้วลูบแผ่วเบา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานได้ยินเช่นนั้นก็มิได้โต้แย้ง

 

 

           ทุกคนเดินกลับมาที่เรือนข้างหลัง จินเยี่ยนกับเยี่ยนหลันตื่นแล้วและกำลังเดินไปยังที่พักเจ้าอารามอาวุโส เมื่อเห็นพวกเขากลับมาก็หยุดเท้าโดยพลัน จินเยี่ยนเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ “ท่านแม่ ฟังว่าห้องของเจ้าอารามอาวุโสถล่มลงมา นางถูกทับตายหรือ”

 

 

           “อืม นอกจากนาง ยังทับแม่ชีน้อยซึ่งเฝ้ายามกลางคืนไปด้วยหนึ่งรูป” องค์หญิงใหญ่พยักหน้า

 

 

           “แม้ห้องพักขาดการบูรณะมานาน แต่ข้าว่าพวกเสาระเบียงก็ยังแข็งแรงมากอยู่ นึกจะพังถล่มก็ถล่มลงมาได้อย่างไร มีคนจงใจให้เกิดหรือไม่ เพื่อฆ่าปิดปาก” จินเยี่ยนถาม

 

 

           “ข้าให้คนไปตรวจสอบดูแล้ว ห้องของเจ้าอารามอาวุโสถล่มลงเพราะขาดการบูรณะมาเป็นเวลานาน เมื่อฝนตกหนักติดต่อกันจึงรับแรงต้านไม่ไหวเลยถล่มลงมา นอกจากนี้ฟางหวาก็ตรวจสอบศพเจ้าอารามดูแล้ว นางถูกทับตายจริงๆ” องค์หญิงใหญ่ไม่อยากพูดมากความจึงยกมือไล่ “เจ้าสั่งคนรีบไปเก็บข้าวของ เราจะลงเขากลับจวนกัน”

 

 

           “ท่านแม่” จินเยี่ยนมององค์หญิงใหญ่ “ข้าถูกคำสะ…” นางนึกอยากจะโพล่งออกมาแต่ก็ยั้งปากทัน “ข้าฝันร้าย หนึ่งในนั้นจะต้องมีคนบงการเบื้องหลัง…”

 

 

           “เจ้าฝันร้ายก็น่าตกใจพอแล้ว ยังพูดอันใดเช่นนี้อีก” องค์หญิงใหญ่เอ่ยขัด “รีบไปเก็บของแล้วกลับจวนกับข้า ฟางหวาอายุน้อยกว่าเจ้าแต่ยังสุขุมกว่า เจ้ารั้นแต่จะมาอารามลี่อวิ๋น แม่ก็ยอมตามใจเจ้าจนเกือบจะเกิดเรื่องขึ้น ต่อไปไม่อนุญาตให้เจ้าเอาแต่ใจอีกแล้ว”

 

 

           จินเยี่ยนเห็นว่าองค์หญิงใหญ่กล่าวถ้อยคำดุดันจึงได้แต่เงียบลง มองไปยังเซี่ยฟางหวา

 

 

           “ท่านป้าพูดถูกแล้ว เราเก็บข้าวของลงเขากันเถอะ” เซี่ยฟางหวาบอกนาง

 

 

           จินเยี่ยนเห็นว่าแม้แต่เซี่ยฟางหวาก็กล่าวเช่นนี้ แม้ไม่เห็นด้วยที่จะรามือเรื่องนี้แล้วกลับจวนไป แต่ก็ยังกลับไปเก็บข้าวของอย่างเชื่อฟังอยู่ดี

 

 

           “เกิดอันใดขึ้น เมื่อคืนเราเพิ่งคุยกันว่าเจ้าอารามอาวุโสรูปนี้มีปัญหา จู่ๆ นางก็ถูกห้องถล่มลงมาทับตาย ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่นอน” เยี่ยนหลันขยับเข้าใกล้เซี่ยฟางหวาก่อนกระซิบถาม

 

 

           “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว เรารีบกลับเมืองกันเถอะ” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “เรายังไม่ได้กินแม้แต่ข้าวเช้าเลยนะ” เยี่ยนหลันลูบท้อง “ข้าหิวแล้ว”

 

 

           “หาของว่างรองท้องไปก่อน ลงเขาไปแล้วค่อยกิน” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “ก็ได้” เยี่ยนหลันพยักหน้า

 

 

           ครึ่งชั่วยามถัดมา จินเยี่ยนและฝั่งองค์หญิงใหญ่ก็เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย ทั้งหมดจึงเดินทางออกจากอารามลี่อวิ๋น

 

 

           อารามลี่อวิ๋นสูญเสียเจ้าอารามอาวุโสไปจึงวุ่นกับการจัดห้องเซ่นไหวผู้ตายพร้อมบรรจุโลงศพ เสียงร้องไห้ดังระงมกระทั่งพวกเซี่ยฟางหวาเดินทางออกจากอารามแล้วถึงเงียบหายไป

 

 

           แม้ฝนยังคงตกหนักเช่นเดิม แต่ถนนตอนกลางวันก็เดินทางง่ายกว่าตอนกลางคืนจึงลงเขาได้ไวมาก

 

 

           หนึ่งชั่วยามถัดมาก็มาถึงตำบลเล็กๆ บนตีนเขา

 

 

           เดินทีเส้นทางกลับเมืองไม่จำเป็นต้องผ่านตำบลเล็กๆ แห่งนี้ แต่ทุกคนยังไม่ได้ทานมื้อเช้า ดังนั้นจึงตั้งใจเดินทางเพิ่มสามลี้เพื่อแวะทานอาหารที่ตำบลก่อน

 

 

           เลือกร้านอาหารที่หน้าร้านค่อนข้างดีได้ องค์หญิงใหญ่ก็สั่งคนเหมาทั้งร้าน ผู้คุ้มกันที่ติดตามมาด้วยก็แวะกินอาหารร่วมกันทั้งหมด

 

 

           ร้านอาหารแห่งนี้ตกแต่งได้งดงามและสะอาด ยากจะหาร้านอาหารแบบนี้ในตำบลเล็กๆ ได้

 

 

           องค์หญิงใหญ่ เซี่ยฟางหวา จินเยี่ยน และเยี่ยนหลันขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวชั้นสอง เซี่ยอวิ๋นหลานเองก็หาได้หลบเลี่ยงไม่ เข้าไปในห้องส่วนตัวด้วยเช่นกัน

 

 

           หลังทุกคนนั่งประจำที่ พร้อมทั้งสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว เพิ่งทานไปได้ครึ่งหนึ่งพลันได้ยินเสียงม้าห้อตะบึงมาดังจากข้างนอก

 

 

           องค์หญิงใหญ่มองไปข้างนอกแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เป็นทหารทางการ เหตุใดถึงได้รีบร้อนเช่นนี้”

 

 

           “ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ไปสืบข่าวดูว่าทหารทางการรีบร้อนเช่นนี้ ที่ใดเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่” เซี่ยฟางหวาตะโกน

 

 

           “เจ้าค่ะ” ทั้งสองขานรับแล้วรีบออกไป

 

 

           ไม่นานซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็กลับมาด้วยใบหน้าซีดขาว “คุณหนู เป็นอารามลี่อวิ๋นเจ้าค่ะ”

 

 

           “หือ” เซี่ยฟางหวามองพวกนาง

 

 

           “ฟังว่าหนึ่งชั่วยามก่อนอารามลี่อวิ๋นเกิดดินถล่ม เพราะอารามสร้างอยู่กึ่งกลางภูเขา อารามทั้งหลังจึงถูกฝังอยู่ใต้ดินโคลน” ซื่อฮว่าบอก

 

 

           “อะไรนะ” จินเยี่ยนผุดลุกขึ้นยืน

 

 

           เยี่ยนหลันเองก็ทำตะเกียบหลุดมือตกลงบนพื้น

 

 

           “ข่าวที่เจ้าได้มาเชื่อได้หรือไม่” องค์หญิงใหญ่ก็สะดุ้งตกใจเช่นกัน เอ่ยถามทั้งสองว่า

 

 

           “เรียนองค์หญิง เชื่อถือได้แน่นอนเจ้าค่ะ” ทั้งสองรีบตอบ

 

 

           “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” องค์หญิงใหญ่ผินหน้ามองเซี่ยฟางหวา

 

 

           “พวกเราลงเขามาไม่เกินหนึ่งชั่วยาม ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ทหารจากศาลาว่าการได้รับข่าวไวถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” เซี่ยฟางหวาเม้มปากก่อนเอ่ยถามทั้งสอง

 

 

           “ฟังว่ามีแม่ชีน้อยรูปหนึ่งรอดตายมาได้ จึงรีบลงเขาไปรายงานกับศาลาว่าการ ขอให้ไปช่วยทุกคนที่อารามลี่อวิ๋น” ซื่อฮว่าตอบ

 

 

 

 

 

 

*ยามจื่อ หรือช่วงเวลาประมาณ 23:00 น. – 01.00 น.

 

 

**หนึ่งเค่อ หรือเท่ากับ 15 นาที