“เราก็รีบไปดูกันเถอะ” จินเยี่ยนเอ่ยขึ้น
“ก่อนออกมาอารามลี่อวิ๋นยังอยู่ดี จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ดินถล่มได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าจะฝังอารามทั้งหลังได้ มีเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ที่ไหนกัน อารามลี่อวิ๋นแม้ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กนะ” เยี่ยนหลันเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
เซี่ยฟางหวานั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จา
“โชคดีแล้วที่เราลงเขามาก่อน หากพวกเรายังอยู่บนยอดเขาด้วยจะเป็นเช่นไร พวกเจ้าสองคนได้นึกถึงผลที่ตามมาหรือไม่ นั่งลงเดี๋ยวนี้” องค์หญิงใหญ่ครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างหวาดกลัว
“ท่านแม่” จินเยี่ยนหน้าซีด “หรือว่าเราจะทำเมินเฉย”
เยี่ยนหลันก็มององค์หญิงใหญ่เช่นกัน
“สนใจอย่างไร ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หรือว่าพวกเจ้าจะกลับขึ้นเขาไปอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าอันตรายแค่ไหน” องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า “ในเมื่อทหารทางการไปแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องสนใจหรอก”
“คนสิบกว่าชีวิตเชียวนะ” จินเยี่ยนเอ่ยขึ้น
“ต่อให้มีหนึ่งร้อยชีวิต เจ้าเป็นเพียงสตรีบอบบางมือเปล่า ทั้งยังต้องให้ผู้อื่นคอยปกป้อง ไปแล้วจะทำอะไรได้” องค์หญิงใหญ่กดเสียงต่ำ
จินเยี่ยนอึ้ง มองไปยังเซี่ยฟางหวา “น้องฟางหวา”
เซี่ยฟางหวาวางตะเกียบลงแล้วเอ่ยขึ้น “เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแล้วย่อมมิอาจเพิกเฉยได้ แต่ก็จริงอย่างที่ท่านป้าบอก พวกเจ้าไปแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้” หยุดชั่วครู่แล้วมองเซี่ยอวิ๋นหลาน “เช่นนี้แล้วกัน พี่อวิ๋นหลาน ให้พวกท่านป้ากลับไปก่อน แล้วเรากลับไปที่อารามลี่อวิ๋นอีกรอบดีกว่า”
“ได้” เซี่ยอวิ๋นหลานผงกศีรษะ
“ข้าก็จะไปด้วย” จินเยี่ยนรีบเอ่ยขึ้น
“เจ้าไปทำไม มีแต่จะยิ่งวุ่นวายเปล่าๆ” องค์หญิงใหญ่ตำหนิจินเยี่ยนด้วยความโกรธ “ข้าไม่อนุญาต”
“ท่านแม่” จินเยี่ยนตาแดงก่ำ “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า หากไม่ใช่ข้าที่อยากมาอารามลี่อวิ๋น อารามก็คงไม่ประสบกับภัยพิบัติร้ายแรงเช่นนี้ เรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง…”
“เงียบ!” องค์หญิงใหญ่ตบโต๊ะดัง ปัง ก่อนเอ่ยต่ออย่างมีน้ำโห “เจ้าแค่ฝันร้ายจนตื่นขึ้นมาไม่ได้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น เหตุการณ์ใดก็ตามที่เกิดกับอารามลี่อวิ๋นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า” พูดจบก็กล่าวต่อ “กลับเมืองไปกับข้าเดี๋ยวนี้”
จินเยี่ยนราวกับไม่เคยเห็นองค์หญิงใหญ่ดุดันกับตนเช่นนี้มาก่อน จึงเงียบลงทันควัน
“ฟางหวา เจ้าเองก็กลับเมืองไปกับข้าด้วย ส่วนเหตุการณ์ที่อารามลี่อวิ๋นนั้น ในเมื่อรายงานศาลาว่ากลางและมีทหารเข้าไปดูแลแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปอีก เจ้าเองก็เป็นสตรี แม้แตกต่างจากเยี่ยนเอ๋อร์และเยี่ยนหลัน แต่สุดท้ายก็เป็นสตรีอยู่วันยังค่ำ หากกลับไปอารามลี่อวิ๋นแล้วเกิดอันตราย ข้าจะกลับไปอธิบายกับพี่สะใภ้และเจิงเอ๋อร์อย่างไร” องค์หญิงใหญ่หันกลับมากล่าวกับเซี่ยฟางหวา
“ท่านป้า พวกเราเพิ่งออกมาจากอารามลี่อวิ๋นก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น อย่างไรก็ต้องมีคนไปดูสถานการณ์ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อศาลาว่าการส่งทหารไปแล้ว สุดท้ายเป็นภัยธรรมชาติหรือฝีมือมนุษย์นั้นต้องตรวจสอบให้กระจ่าง ถึงอย่างไรพวกเราก็เพิ่งออกมา หากเป็นฝีมือมนุษย์ อย่างไรก็หนีความเกี่ยวพันไม่พ้น” เซี่ยฟางหวาบอก “ท่านวางใจเถิด มีพี่อวิ๋นหลานไปกับข้าด้วย ไม่เกิดเรื่องใดขึ้นแน่นอน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” องค์หญิงใหญ่ลังเลอยู่บ้าง “เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะแล้วลุกขึ้นยืน ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบก้าวขึ้นมาสวมเสื้อกันฝนให้นาง
“ข้า…” เยี่ยนหลันก้าวขึ้นมาหานาง กระซิบเอ่ยขึ้น
“เจ้าก็กลับไปด้วย หากอยู่นานไปกว่านี้ ฮูหยินจะเป็นห่วงเอา ถึงอย่างไรนางก็กำลังตั้งครรภ์อยู่” เซี่ยฟางหวาขัดคำพูดนาง
เยี่ยนหลันแม้อยากตามไปด้วย แต่ได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่ามีเหตุผลจึงได้แต่เงียบลง
“ท่านป้า ตอนออกจากจวนอ๋องเย็นเมื่อวาน ท่านแม่ได้จัดเตรียมผู้คุ้มกันสองร้อยคนไว้ให้ คนพวกนี้ข้าจะทิ้งไว้ให้ท่าน จะได้คุ้มครองท่านกลับเมืองไปพร้อมกับผู้คุ้มกันจวนของท่านเลย” เซี่ยฟางหวาบอก
“ไม่ได้ พี่สะใภ้จัดเตรียมไว้ให้เจ้า เจ้าต้องเก็บไว้เอง” องค์หญิงใหญ่มึนงงก่อนรีบปฏิเสธ
“ข้าจะขึ้นเขา ถึงนำคนเยอะเกินไปคงไม่สะดวกนัก อีกอย่างข้ามีองครักษ์ลับแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก “สุดท้ายไม่ว่าในหรือนอกเมืองหลวงต่างไม่สงบสุขทั้งนั้น หมอหลวงซุนยังถูกสังหารกลางวันแสกๆ ได้ ใต้เท้าหานก็ยังไม่ทราบการตายแน่ชัด ท่านมีฐานะสูงส่ง อีกอย่างจินเยี่ยนกับเยี่ยนหลันต่างไม่มีวิทยายุทธ์ ข้าไม่ค่อยสบายใจนัก ท่านเชื่อข้าเถิด”
“นี่…” องค์หญิงใหญ่ซาบซึ้งใจอยู่บ้าง “เด็กคนนี้ คิดถึงแต่พวกเราก่อน แล้วเจ้าเล่า เจ้าอยู่ข้างนอกต่างหากที่อันตรายกว่า”
เซี่ยฟางหวายิ้ม “ข้าไม่เป็นไรหรอก” พูดจบก็บอกเซี่ยอวิ๋นหลาน “ไปกันเถอะพี่อวิ๋นหลาน”
เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะออกมาจากร้านอาหารด้วยกัน
เซี่ยอวิ๋นหลานกับเซี่ยฟางหวาขึ้นม้า นอกจากพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคน ผู้คุ้มกันทั้งหมดต่างทิ้งไว้คุ้มครององค์หญิงใหญ่
หลังทั้งสองออกไป องค์หญิงใหญ่ก็ถอนหายใจออกมา ก่อนเอ่ยถามจินเยี่ยนกับเยี่ยนหลัน “พวกเจ้ายังกินลงหรือไม่”
จินเยี่ยนกับเยี่ยนหลันส่ายหน้าพร้อมกัน
“ข้าเองก็กินไม่ลงแล้ว เราออกเดินทางกันเถอะ” องค์หญิงใหญ่บอก
“ท่านแม่ ท่านให้น้องฟางหวาไปเองเช่นนี้หรือ แล้วเราก็กลับเมืองไปแบบนี้ ไม่สนใจใยดี…” จินเยี่ยนกัดริมฝีปากก่อนเอ่ยขึ้น
องค์หญิงใหญ่เผยสีหน้าทั้งเคร่งขรึมทั้งกังวล ลดเสียงต่ำลงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่เข้าใจ ที่เจ้าฝันร้ายนั้นใช่เรียบง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน แม่ไม่อยากสืบต่อไป และไม่อยากให้จวนองค์หญิงใหญ่ของเราถูกม้วนเข้าไปมีส่วนด้วย ทั้งในและนอกเมืองหลวงเกิดเหตุการณ์ขึ้นต่อเนื่องกัน ปีนี้มีเรื่องให้กังวลเยอะนัก”
“ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าใครอยู่เบื้องหลัง” จินเยี่ยนขยับเข้าหาองค์หญิงใหญ่
เยี่ยนหลันเองก็ยื่นหูเข้าไปใกล้ๆ
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพียงแต่คิดว่าตั้งแต่เกิดเรื่องที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก ก็เกิดเรื่องทั้งหมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานติดต่อกัน ตอนนี้เกี่ยวเนื่องมาถึงเจ้า เจ้าอุตส่าห์ปลอดภัยเพราะได้ฟางหวาช่วยไว้ แค่ตกใจแต่ไร้อันตราย เท่านี้แม่ก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว หากไม่ได้วางแผนมานาน ผู้อยู่เบื้องหลังก็ร้ายกาจมาก สามารถสร้างเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน บางทีอาจยังมีแผนการร้ายแรงยิ่งกว่านี้อีก พวกเราไม่เกี่ยวข้องด้วยย่อมดีกว่า” องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า
“แต่ฟางหวามาเพราะข้า พวกเราถอยออกมา นางกลับถูกม้วนเข้าไป…” จินเยี่ยนเป็นห่วงเซี่ยฟางหวา
“ใช่แล้ว ข้าเป็นห่วงฟางหวาเหมือนกัน” เยี่ยนหลันเองก็เอ่ยขึ้น
“แม้ไม่ใช่เรื่องเจ้าที่ทำให้นางต้องมาที่อารามลี่อวิ๋น เกรงว่านางเองก็ยากจะถูกขวางไว้ข้างนอก” องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจยาวเหยียด “เดิมทีนางเป็นคุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหว ยามนี้เป็นพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋องอีก แตกต่างกับพวกเจ้าโดยสิ้นเชิง”
จินเยี่ยนกับเยี่ยนหลันได้ยินเช่นนี้ก็เงียบลง
“ไปกันเถอะ” องค์หญิงใหญ่เรียกคนมาสวมเสื้อกันฝนให้
จินเยี่ยนกับเยี่ยนหลันได้แต่ออกจากร้านอาหารพร้อมนาง ผู้คุ้มกันจวนองค์หญิงใหญ่กับจวนอิงชินอ๋องจำนวนหลายร้อยคนรวมเข้าด้วยกันอึกทึกครึกโครมอย่างยิ่ง ทั้งหมดเคลื่อนตัวออกจากตำบลเล็กๆ แห่งนี้
เซี่ยอวิ๋นหลานกับเซี่ยฟางหวาไม่ได้มีสัมภาระติดตัวมา ทั้งสองตะบึงม้าออกจากตำบลเล็กๆ มุ่งหน้าไปยังอารามลี่อวิ๋นอีกครั้ง
หลังเดินทางไปได้ประมาณสิบลี้ก็ไล่ตามทหารทางการหนึ่งร้อยนายข้างหน้าทัน
“ผู้ใดจะขึ้นเขา ถนนไปยังอารามลี่อวิ๋นเส้นนี้ถูกปิดนับแต่วันนี้ไป ห้ามผู้ใดขึ้นเขาทั้งนั้น” คนที่เป็นหัวหน้าทหารข้างหน้าตะโกนขึ้น
เซี่ยฟางหวาหันไปมองซื่อฮว่า
“เป็นพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง ได้ยินว่าเกิดเหตุดินถล่มที่อารามลี่อวิ๋นจนฝังอารามทั้งหลังไว้ จึงอยากขึ้นเขาไปดูสถานการณ์ด้วย” ซื่อฮว่ารับรู้ความหมายทางสายตาของเซี่ยฟางหวาจึงรีบตะโกนขึ้นจากข้างหลังนาง
“พระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง” คนผู้นั้นพินิจมองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวานั่งบนอานม้า แม้สวมเสื้อกันฝน ผนวกกับฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่ยังคงวางมาดสูงส่ง พร้อมด้วยอากัปกิริยาสงบเยือกเย็น
คนผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ข้าไม่เคยพบพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋องมาก่อน ท่านมี…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เซี่ยฟางหวาก็หยิบป้ายที่เอวออกมา
คนผู้นั้นก้าวขึ้นมา เมื่อเห็นป้ายชัดเจนก็รีบคำนับ “ที่แท้เป็นพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง พระชายาน้อยโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยมีตาแต่ไร้แวว…”
“ข้ากับองค์หญิงใหญ่เพิ่งลงจากเขามาเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ตอนนั้นอารามลี่อวิ๋นยังอยู่ดี ตอนนี้จึงอยากขึ้นไปดูสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เซี่ยฟางหวายกมือปรามแล้วเอ่ยขัด
“พระชายาน้อย บนเขาฟังว่าอันตรายมาก มีดินถล่ม เศษหินและโคลนไหลเชี่ยว ท่านอย่าขึ้นไปเลยจะดีกว่า” คนผู้นั้นแนะนำ
“ไม่มีปัญหา ข้าจะขึ้นไปดูสถานการณ์กับพวกเจ้าด้วย” เซี่ยฟางหวาบอก “อิงชินอ๋องกับจงหย่งโหวต่างจงรักภักดีต่อบ้านเมือง แสวงหาความสุขเพื่อประชาชนเสมอมา หากพวกเขาอยู่ที่นี่ด้วยก็คงไม่สนใจอันตราย แต่รีบรุดขึ้นไปตรวจดูสถานการณ์ด้วย แม้ข้าเป็นเพียงสตรี แต่ถึงอย่างไรบนเขาก็มีคนอยู่สิบกว่าชีวิต”
“พระชายาน้อย พวกข้าน้อยจะเปิดทางให้ ในเมื่อท่านจะไปด้วย เช่นนั้นก็ตามหลังพวกเรามาเถิด” คนผู้นั้นเกิดความเคารพอย่างสุดซึ้ง
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
คนผู้นั้นตวัดมือให้สัญญาณ ขบวนม้าเร่งเดินทางต่อไป
เซี่ยฟางหวากับเซี่ยอวิ๋นหลานมองหน้ากันก่อนติดตามอยู่ข้างหลังพร้อมกับพวกซื่อฮว่าและซื่อม่อ ทั้งหมดเดินทางขึ้นเขาไปด้วยกัน