ตอนที่ 703 ท่ามกลางสายฝน ( 2 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 703 ท่ามกลางสายฝน ( 2 )

พายุฝนโหมกระหน่ำ

เพียงแค่ช่วงเวลาครึ่งถ้วยชา น้ำฝนจากหลังคาบ้านหลังตรงข้ามก็ไหลลงมาเป็นสาย

หมอกควันหนาทึบก่อตัวขึ้นในอากาศทำให้เกิดความหนาวเย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด ความร้อนระอุของฤดูร้อนพลันเหือดหายไปในทันที

หน้าต่างห้องส่วนตัวบนชั้นสองของหอดื่มชายังเปิดอ้าซ่าอยู่ บัดนี้น้ำชากาใหม่ต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว จังชีเยวี่ยกำลังรินชาให้พวกเขาทั้งสี่คนอย่างพิถีพิถัน

“พี่ชายทั้งสามเพิ่งมาถึงเมืองว่อเฟิง ในฐานะเจ้าบ้าน เห็นทีควรต้องแนะนำพี่ชายทั้งสามว่าเมืองว่อเฟิงมีสิ่งบันเทิงใดบ้าง”

หยูซิ๋งเจี่ยนเก็บพัดกระดาษที่ส่ายอยู่ในมือลงแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “หากจะเอ่ยไปแล้วก็เกรงว่าน้องหวังจะหัวเราะเยาะ เมื่อวานตอนที่พวกข้าเดินทางมาถึงเมืองว่อเฟิงก็ช่างบ้าระห่ำเสียเหลือเกิน”

เขาชี้พัดกระดาษมาทางซือหม่าเทาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าบ้านี่ไปหาร้านเพื่อทานอาหาร ผลปรากฏว่าเป็นเยี่ยงไรน่ะหรือ ? ข้าและพี่โจ่งได้ติดสอยห้อยตามไปกับเขาด้วย เสียเวลาอยู่บนถนนนานกว่าครึ่งชั่วยาม เพราะหิวโซเหลือเกินจึงแวะทานที่ร้านข้างทางก่อน อืม…ก็พอจะแก้ขัดไปได้ หลังจากนั้นก็หาทางกลับโรงเตี๊ยมมิเจออีก”

หยูซิ๋งเจี่ยนทำท่าอ้าแขนออกมาอย่างสิ้นหวัง “หลังจากนั้นเจ้าเดาสิว่าเกิดอันใดขึ้นบ้าง ? ก็บังเอิญเจอคนรู้จักเข้าน่ะสิ อีกฝ่ายจึงนำทางพวกเรากลับโรงเตี๊ยม มิเช่นนั้นเมื่อคืนพวกข้าคงต้องนอนอยู่ข้างถนนเป็นแน่”

จังชีเยวี่ยปิดปากหัวเราะส่วนหวังฉาวเฟิงรีบร้อนประคองมือขึ้นมา “นี่เป็นความผิดของข้าเอง หากเมื่อคืนสามารถกลับมาได้เร็วกว่านี้พี่ชายทั้งสามคงมิต้องตกระกำลำบากถึงเพียงนั้น…ที่เมืองว่อเฟิงแห่งนี้ท่านยังบังเอิญพบเจอคนรู้จักด้วยหรือ ? มิทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นนายน้อยของตระกูลใดเล่า ? ”

หยูซิ๋งเจี่ยนโบกมือไปมา “เจ้าหมอนั่นมีนามว่าซังเหลียงเป็นหลานชายของขุนนางระดับสูงซังหยู ปีนั้นใต้เท้าซังเคยรับราชการเป็นผู้ตรวจการแห่งเจี้ยนหนานตงเต้ามาก่อน ข้าและพี่โจ่งเคยเรียนร่วมชั้นกับเขา 3 ปี จะว่าไปแล้วช่างน่าละอายยิ่งนักที่ข้าและพี่โจ่งมิได้รับราชการเป็นขุนนาง ส่วนไอ้หมอนั่นประสบความสำเร็จในอาชีพไปแล้ว”

“คุณชายซังผู้นั้นมารับราชการที่เมืองว่อเฟิงเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หวังฉาวเฟิงเอ่ยถามด้วยความฉงน

“ก็ใช่น่ะสิ ไอ้หมอนั่นเดินบนเส้นทางรับราชการขุนนางนี่นา!เมื่อปีกลายเขาได้ติดตามติ้งอันป๋อไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่ราชวงศ์อู๋ เมื่อติ้งอันป๋อหวนคืนราชวงศ์หยูจึงก่อตั้งกรมการค้าขึ้นมา และได้เลือกตัวไอ้หมอนี่มาจากสำนักศึกษาจี้เซี่ย เขาจึงได้เป็นขุนนางประจำกรมการค้าโดยที่มิเคยเข้าสอบเลยแม้แต่คราเดียว”

“พอติ้งอันป๋อคว้าว่อเฟิงเต้ามาได้จึงส่งไอ้หมอนั่นมาสำรวจเส้นทางล่วงหน้า ตอนที่พบเจอกับข้าเมื่อวานนี้ เขาเอ่ยว่าได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางประจำสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน…สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เจ้ารู้จักหรือไม่ ? ”

หวังฉาวเฟิงส่ายศีรษะ หยูซิ๋งเจี่ยนจึงอธิบายขยายความว่า “สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินนี้มิใช่ขี้หมูขี้หมา เพราะมีอำนาจตรวจสอบทั้งว่อเฟิงเต้า มิเพียงแค่ตรวจสอบขุนนางเท่านั้นแต่ยังตรวจสอบ… ตรวจสอบผลการบริหารงานของเหล่าขุนนางทุกอำเภออีกด้วย ! ”

“ผลการบริหารงานของขุนนาง จะสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องความเป็นอยู่ของราษฎร หากเป็นไปตามที่ไอ้หมอนั่นเอ่ยไว้ก็ หมายความว่าถ้ามีราษฎรคนใดมิพอใจต่อการบริหารงานของนายอำเภอ… นายอำเภอผู้นั้นต้องไสหัวออกไป ! ”

หวังฉาวเฟิงและจังชีเยวี่ยต่างตกตะลึง “ไสหัวไปเยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเขามิใช่ขุนนางที่ถูกแต่งตั้งโดยราชสำนักหรอกหรือ ? ”

“ฮึ ๆ ก็ขุนนางที่ว่อเฟิงเต้าแตกต่างกับที่อื่นเยี่ยงไรเล่า พวกเขาล้วนเป็นขุนนางที่ติ้งอันป๋อจ้างมาทั้งสิ้น ค่าตอบแทนนั้นสูงกว่าขุนนางของอีกทั้งสิบสามมณฑลกว่าหนึ่งเท่า แต่ทว่าการจ้างงานคราแรกมีอายุงานเพียงแค่ 1 ปี ซึ่งหมายความว่าภายในหนึ่งปีนี้หากมิสามารถทำผลงานให้ราษฎรพึงพอใจได้ ก็จำต้องเก็บผ้ายัดใส่หีบแล้วไสหัวไปออกไปจากว่อเฟิงเต้าเสีย”

หวังฉาวเฟิงและจังชีเยวี่ยรู้สึกมิอยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะมันช่างกลับตาลปัตรกับขุนนางในความคิดของพวกตนอย่างสิ้นเชิง

ความหมายของคำว่า ‘ทำให้ราษฎรพึงพอใจ’ นั้นช่างเข้าใจง่ายมากยิ่งนัก อธิบายได้ว่าเป็นการยึดเสียงของราษฎรเป็นหลัก

ขุนนางมีไว้เพื่อควบคุมราษฎร แต่ทว่าบัดนี้เหมือนสลับบทบาทกันโดยสิ้นเชิง อนาคตของขุนนางอยู่ในกำมือของราษฎร… เช่นนี้พวกเขายังจะกล้าทุจริตอีกหรือไม่ ?

เช่นนี้ยังจะกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ราษฎรอยู่อีกหรือ ?

พวกเขาจะยังกล้าทำงานแบบขอไปทีอีกหรือไม่ ?

หากนี่เป็นเรื่องจริงย่อมเป็นความโชคดีของราษฎรทั่วไปและเหล่าพ่อค้าด้วยเช่นกัน !

หวังฉาวเฟิงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขามองไปยังซือหม่าเทาที่กำลังหัวเราะร่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามิอยากจะเชื่อ ! แต่ข้าต้องขอเอ่ยว่านี่คือเรื่องจริง”

“น้องสาวแท้ ๆ ของข้านามว่าซือหม่าเช่อสอบเอินเคอได้ลำดับที่สี่ นางคือขุนนางสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ นางถูกติ้งอันป๋อแต่งตั้งให้เข้ารับตำแหน่งขุนนาง โดยมิแยแสต่อการคัดค้านของเหล่าขุนนางในราชสำนัก ตอนนี้นางเป็นผู้พิพากษาของอำเภอหนิงซานจังหวัดชิงโจว”

สตรีเป็นขุนนาง ! มิหนำซ้ำยังเป็นผู้พิพากษาของอำเภอหนิงซานอีกด้วย !

คำเอ่ยนี้มาจากปากของซือหม่าเทา ย่อมมิใช่การเอ่ยเท็จอย่างแน่นอน แต่ทว่าเรื่องนี้ก็ยังคงทำให้หวังฉาวเฟิงและจังชีเยวี่ยตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้างอยู่เนิ่นนาน

“ติ้งอันป๋อผู้นี้…คือผู้เป็นเลิศที่หาได้ยากบนผืนปฐพีนี้ หากได้พบเจอเขาสักคราคงมิเสียดายต่อสิ่งใดอีกแล้ว ! ”

หวังฉาวเฟิงเอ่ยอย่างถอดถอนใจเช่นนี้ แต่ทว่ากลับทำให้ซือหม่าเทาหัวเราะออกมา “ตอนนี้เจ้ามิอาจได้เจอติ้งอันป๋อแล้ว”

“มิจริงหรอก เขาเพิ่งมาถึงเมืองว่อเฟิงได้เพียงแค่สิบกว่าวันเองมิใช่หรือ ? ”

“เต้าถายผู้นี้มิเหมือนผู้ใด ! เขาได้นำสารพัดปัญหาเกี่ยวกับที่ว่าการเขตให้สำนักเลขาธิการเป็นผู้ดูแลแล้ว ส่วนตัวเขาได้พาเหล่าคู่หมั้นวิ่งหนีไปแล้ว แน่นอนว่าที่ติ้งอันป๋อต้องไปย่อมเป็นธุระสำคัญเช่นกัน ได้ยินใต้เท้าซังเอ่ยว่าเขาเดินทางไปยังอำเภอซิ่วสุ่ยแล้ว”

“เขาเป็นถึงผู้ตรวจการ ไปยังสถานที่แห่งนั้นด้วยเหตุผลอันใดกัน ? ”

ซือหม่าเทาอ้าแขนออกเพื่อแสดงว่าไม่รู้ “ข้ามิรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับใต้เท้าผู้นี้สักเท่าใดนัก แต่ข้าได้ยินมาว่าปีนี้ที่ซิ่วสุ่ยมีการปลูกข้าว และต้นกล้าเหล่านั้นคือพันธุ์ที่ติ้งอันป๋อเพาะเองกับมือ คาดว่าเขาคงอยากไปดูว่าเติบโตถึงเพียงใดแล้วน่ะสิ”

โจ่งจี้ถังที่นั่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ปริปากเอ่ยออกมา “เรื่องนี้พวกเจ้ามิรู้อย่างแจ่มชัดนัก ข้าจะบอกให้ว่านั่นมิใช่พันธุ์ข้าวทั่วไป ว่ากันว่าต้นกล้าที่ปลูกในอำเภอซิ่วสุ่ยนั้นสามารถออกผลผลิตต่อหมู่สูงถึง 700 ชั่ง พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ ? ”

เรื่องที่เขาเอ่ยออกมานั้น ได้ทำให้ทุกคนตกตะลึงงัน

“เป็นไปมิได้ ! ” หยูซิ๋งเจี่ยนปฏิเสธที่จะเชื่อก่อนผู้ใด “ผืนนาในที่ราบเฉิงตูที่ว่าดี ในหนึ่งหมู่ได้ผลผลิต 300 ชั่งก็ถือว่าประเสริฐมากแล้ว โดยปกติก็อยู่ที่ 250 – 260 ชั่งเท่านั้น นี่ตั้ง 700 ชั่งมากกว่าตั้งสามเท่าเชียวนะ ย่อมเป็นไปมิได้อย่างแน่นอน ! ”

โจ่งจี้ถังหัวเราะหึ ๆ “ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่ ! ”

“เจ้าว่ามา เจ้าจะเดิมพันเยี่ยงไร ข้าขอร่วมด้วยคน ! ”

“ได้ ! ข้าขอเดิมพันว่าข้าวที่ปลูกในอำเภอซิ่วสุ่ยสามารถให้ผลผลิตได้ 700 ชั่งต่อที่ดินหนึ่งหมู่โดยวางเงิน 5,000 ตำลึงเป็นเดิมพัน ต่อให้นาแปลงนั้นออกน้อยกว่าที่ข้าเอ่ยเพียงแค่สองสามเหลียงก็ถือว่าข้าแพ้…” โจ่งจี้ถังหันไปมองซือหม่าเทาและหวังฉาวเฟิง “พวกเจ้าสามารถวางเดิมพันได้เลย ข้าจะยอมรับทุกประการ ! ”

“ข้าก็มิเชื่อ ข้าขอเดิมพันว่ามิเกิน 700 ชั่งอย่างแน่นอน” ซือหม่าเทาร่วมพนันด้วย ส่วนหวังฉาวเฟิงยิ่งไม่เชื่อ แม้เขาจะรู้ดีว่าที่นาในที่ราบว่อเฟิงดีมากเพียงใด แต่ความสามารถในการให้ผลผลิต เยี่ยงไรก็มิเกิน 300 ชั่งอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงวางเดิมพันตามไปติด ๆ

“จงรักษาคำมั่น พี่น้องทั้งหลายร่วมเป็นพยานว่าพวกเรามิจำเป็นต้องทำหลักฐานใด ๆ หากข้าโจ่งจี้ถังผู้นี้แพ้ก็ยินยอมให้เงินพวกเจ้าคนละ 5,000 ตำลึง แต่หากข้าชนะล่ะก็ หึ ๆ…”

“หากเจ้าชนะ พวกเราทั้งสามจะให้เงิน 5,000 ตำลึงแก่เจ้าอย่างแน่นอน ! ”

“เลือกข้างเดิมพันสำเร็จแล้ว น้อง ๆ ทั้งหลาย พวกเจ้าจงจำไว้ให้ดีว่าเมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงเมื่อใด พวกเรามาดูผลการเดิมพันครานี้กัน”

เมื่อทุกคนต่างเรียกแทนกันและกันว่าน้อง เรียกจนจังชีเยวี่ยรู้สึกหน้าแดงไปหมด แต่นางก็รู้สึกชอบใจมากยิ่งนัก

“ชีเยวี่ย เจ้าจงจำเอาไว้ว่า เมื่อถึงเวลานั้นมิว่าผู้ใดก็ห้ามเล่นตุกติก ! ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

บัดนี้เสียงหัวเราะได้ดังกลบเสียงของสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาอย่างหนัก พวกเขาวางเดินพันกันเรื่องจำนวนผลผลิตของข้าวต่อหนึ่งหมู่ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนกำลังอยู่ในอำเภอซิ่วสุ่ย

แน่นอนว่ากำลังยืนอยู่ริมแปลงนา

ที่แห่งนี้ไร้ฝนตกกระหน่ำ มีเพียงหยาดฝนที่ตกโปรยปรายลงมาเท่านั้น