ตอนที่ 704 ท่ามกลางสายฝน ( 3 )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 704 ท่ามกลางสายฝน ( 3 )

หากทอดสายตามองไปจากคันนาก็จะเห็นแปลงนาไกลสุดลูกหูลูกตา

ต้นข้าวในแปลงนาได้แตกรวงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีสีเหลืองแซมให้เห็นประปรายท่ามกลางความเขียวขจี ช่างเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าฤดูกาลเก็บเกี่ยวใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว

นายอำเภอซิ่วสุ่ยมีนามว่าติงเซวียนที่สอบเอินเคอได้ลำดับที่ 73 บัดนี้เขายืนอยู่เบื้องหลังของฟูเสี่ยวกวนและกำลังจ้องมองภาพแผ่นหลังของติ้งอันป๋อผู้นี้อย่างเปี่ยมความคิด

ระหว่างนั้นฟู่เสี่ยวกวนกำลังเสวนาอยู่กับหวางเอ้อ

“ตอนนี้ต้นข้าวแตกรวงได้งดงามมากยิ่งนัก แต่ทว่าเจ้ายังต้องระวังสองจุดด้วยกัน จุดแรกคือต้นข้าวปลูกชิดกันจนเกินไปควรให้มีระยะห่างระหว่างกันราวหนึ่งถึงสองฉื่อ และจุดที่สองคือดินของที่นี่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว เช่นนั้นจงลดจำนวนปุ๋ยลงเพื่อให้ต้นสูงขึ้นกว่านี้

บัดนี้ข้าวแตกรวงแล้วมิจำเป็นต้องกลัวฝนตกหนัก แต่ทว่าควรระวังเรื่องต้นข้าวจะล้มลง เมื่อล้มลงแล้วต่อให้พยุงมันขึ้นมาได้ก็จะมิสมบูรณ์อีกต่อไปซึ่งจะกระทบต่อการเก็บเกี่ยวในท้ายที่สุด”

หวางเอ้อพยักหน้าเห็นด้วย “สิ่งที่คุณชายเอ่ยมานั้นมีเหตุผลมากยิ่งนัก ข้ายังคงใช้รูปแบบการปลูกเดียวกับแปลงนาที่ซีซานซึ่งมีสองปัญหาที่คุณชายกล่าวมาอย่างแท้จริง”

ติงเซวียนย่อมมิอาจเข้าใจได้ เพราะติ้งอันป๋อผู้สูงส่งเพิ่งเดินทางมาถึงอำเภอซิ่วสุ่ยก็รีบตรงดิ่งมายังแปลงนาทันที ยังมิทันได้สวมชุดกันฝนที่ทำจากฟางและหมวกงอบเลยด้วยซ้ำ เขาก็ตรงมายังแปลงนาและนั่งตากฝนเพื่อสำรวจดูต้นข้าวอยู่เช่นนั้นแล้ว มิหนำซ้ำยังยื่นมือไปเปรียบเทียบส่วนสูงและระยะห่างระหว่างแถวอีกด้วย

อีกทั้งยังใช้มือไปขุดโคลนมาดมแล้วบีบด้วยสองนิ้ว มิได้แยแสต่อความสกปรกของโคลนในแปลงนาเลยแม้แต่น้อย

ดูแล้วช่างเป็นเหมือนผู้ชำนาญการยิ่งนัก

และสิ่งที่เขาเอ่ยออกมานั้น มิได้ฟังเหมือนเสแสร้งเลยสักนิด

ทำให้ติงเซวียนเกิดอาการใจลอย และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้มิใช่ติ้งอันป๋ออันใดนั่น และมิใช่ผู้ตรวจการเสียด้วยซ้ำ เขาเป็นเพียงแค่ชาวนาธรรมดาคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนคันนานี้

ดูเหมือนตนจะมิเข้าใจติ้งอันป๋อผู้นี้เอาเสียเลย จากนี้เขาควรสนทนากับชาวนานามว่าหวางเอ้อไว้ให้มากเสียแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนล้างมือที่ร่องน้ำในแปลงนา จากนั้นจางเพ่ยเอ๋อร์จึงผ้าเช็ดมือให้ เขาเช็ดมือพร้อมมองไปยังติงเซวียนแล้วเอ่ยว่า “รอให้ข้าวฤดูนี้เก็บเกี่ยวสำเร็จเสียก่อน จากนั้นให้เจ้าจัดแจงชาวบ้านที่มาช่วยกันเกี่ยวข้าว ให้พวกเขาขุดร่องทดน้ำและร่องระบายน้ำในตอนที่พวกเขาว่างจากการทำนา”

เงยหน้ามองนาแปลงนี้แล้วยื่นมือออกไป “ยกตัวอย่างเช่นนาแปลงนี้ อย่างน้อยต้องขุดร่องทดน้ำและร่องระบายน้ำด้วยกัน 4 ร่อง เจ้าจงจำไว้ให้ดีว่ามิต้องกลัวร่องเหล่านี้จะกินพื้นที่เพราะมันมีคุณประโยชน์มากล้น

ร่องทดน้ำต้องสูงกว่าแปลงนา ข้ามิอาจรู้ได้ว่าการรับน้ำจากต้นน้ำจะสะดวกหรือไม่ หากมิสะดวกเจ้าก็จงสร้างโรงเก็บน้ำที่สะดวกมาให้ข้า !

แน่นอนว่าตำแหน่งของร่องระบายน้ำต้องต่ำกว่าแปลงนา ประโยชน์ของมันคือป้องกันระดับน้ำฝนที่มากจนทำให้ต้นข้าวเสียหายหรืออาจจะทำให้ต้นกล้าล้มได้”

“เรื่องนี้หวางเอ้อรู้ดี เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกันเรื่องเกี่ยวกับการเกษตรนั้นเจ้าควรหารือกับหวางเอ้อให้มาก เขาเป็นคนซีซานดั้งเดิมที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรเป็นอย่างมาก เขารู้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นเขาย่อมสามารถให้คำแนะนำเจ้าได้”

ติงเซวียนประคองสองมือขึ้นคารวะ ในใจได้ให้ความสำคัญกับหวางเอ้อขึ้นมาทันใด

“ทั้งจังหวัดว่อโจวนี้ ข้าได้หารือกับท่านผู้ว่าหนิงเรียบร้อยแล้ว ที่แห่งนี้ให้ยึดเอาการเกษตรเป็นหลัก นายอำเภอเยี่ยงพวกเจ้าทั้งหลายควรหันมาเอาดีทางด้านการเกษตรเสีย

ยกตัวอย่างเช่น ส่งข้าวจากจังหวัดว่อโจวไปขายที่เมืองจินหลิงย่อมขายได้ในราคาดีอย่างแน่นอน และยกอีกตัวอย่างหนึ่งเช่นการขยายฐานเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่นผักหรือผลไม้ สามารถเก็บไว้ให้ชาวเมืองทานเองได้ และส่งไปขายยังเมืองว่อเฟิงก็ย่อมได้เช่นกัน หรือจะเป็นการสร้างโรงงานเพื่อการผลิต จนถึงสามารถนำที่ดินที่คุณภาพแย่หน่อยไปปลูกหญ้าเพื่อพัฒนาการปศุสัตว์ เป็นต้น ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้จากการแสดงความสามารถของเจ้าทั้งสิ้น ส่วนข้าเพียงแค่รอดูผลลัพธ์ก็เท่านั้น”

“ถ้าราษฎรมั่งคั่งขึ้นและมีความพึงพอใจ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ย่อมสำเร็จสมบูรณ์”

“ข้าน้อยจะพึงจำเอาไว้ในใจขอรับ ! ” ติงเซวียนโค้งคำนับ

จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็หันไปเอ่ยกับหวางเอ้อว่า “ที่นาสำหรับเพาะพันธุ์ต้นข้าวก็ให้อยู่ในผืนเดียวกันเสีย ปีหน้าจงทำให้ที่นาทั้งหมื่นหมู่กลายเป็นที่สำหรับเพาะต้นกล้าทั้งสิ้น และยังคงต้องการเจ้าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง นี่คือหน้าที่หนักหนาสาหัสที่ข้ามอบให้เจ้า จงทำให้สำเร็จลุล่วง ! ”

หวางเอ้อเผยรอยยิ้มแบบเห็นฟัน “คุณชายสบายใจได้ ข้าทำสิ่งนี้มาจนคุ้นเคยแล้ว จึงขอรับประกันว่าต้องเพาะพันธุ์รุ่นที่สี่ออกมาให้ดีได้อย่างแน่นอน ! ”

“ดี ! เมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ข้าก็รู้สึกสบายใจ กลับเถิด…พวกเจ้ามิจำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า และมิต้องใส่ใจว่าข้าจะกินหรือพักที่ใดเพราะล้วนเป็นเรื่องของข้าทั้งสิ้น ส่วนเรื่องของเจ้าคือจัดการดูแลอำเภอนี้ให้ดี ! ”

ติงเซวียนชะงักฝีเท้าแล้วตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนได้พาหนิงซือเหยียนและสตรีรูปงามทั้งสี่นางเดินตากฝนจากไป

หวางเอ้อยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ “ใต้เท้า… คุณชายก็เป็นแบบนี้ ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”

“เขา…เป็นคนเยี่ยงไรหรือ ? ”

หวางเอ้อรู้สึกว่าใต้เท้าผู้นี้ช่างทึ่มเสียจริง “ตอนที่เขายังอาศัยอยู่ในซีซาน เขาได้เปลี่ยนไปสวมกางเกงแล้วทำนาด้วยตนเอง ! ”

ติงเซวียนตกตะลึง “จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หึ ๆ ชาวเมืองซีซานรู้กันทั่ว หากมิใช่เพราะคุณชายแล้ว ฟู่ซานต้ายนี่จะมาจากแห่งหนใดกัน ? หากไร้เมล็ดพันธุ์ฟู่ซานต้าย ความสามารถในการออกรวงก็คงมิสูงเยี่ยงนี้หรอก ! ”

“เขามีความเป็นกันเอง และเป็นผู้ที่ทำอันใดตามอารมณ์ ขอเพียงท่านทำหน้าที่ให้ดี คุณชายย่อมมิมีทางตระหนี่ในการมอบรางวัลให้แก่ท่านอย่างแน่นอน”

ติงเซวียนหันไปมองแผ่นหลังที่อยู่ห่างออกไป นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน

หวางเอ้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอีกประโยคว่า “ข้าเห็นว่าพันธุ์พืชผลไม้ในที่แห่งนี้มีมากนัก และดูเติบโตได้งดงาม ข้าอยากจะลองใช้วิธีตอนกิ่งดู มิแน่ว่าบางทีอาจจะทำให้เกิดพืชพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาได้”

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกพึงพอใจ

ที่เขามาในครานี้เพราะตั้งใจจะมาดูให้เห็นกับตาว่าฟู่ซานต้ายนั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง

ตอนนี้ดูเหมือนว่ารวงข้าวได้แตกรวงออกมามากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว เช่นนั้นหากนำฟู่ซือต้ายไปปลูกยังแปดรัฐแห่งหนานชาง ผลผลิตย่อมมิแตกต่างกันสักเท่าใดนัก

แต่ทว่าปัญหาในตอนนี้คือเมล็ดข้าวเปลือกที่เอาไว้เพาะพันธุ์ยังขาดแคลนถึงขึ้นวิกฤต หวังว่าหวางเอ้อจะสามารถเพาะพันธุ์ในที่กว้างใหญ่ของอำเภอซิ่วสุ่ยออกมาได้สำเร็จ

“ท่านปลูกข้าวเป็นจริงหรือ ? ”หนิงซือเหยียนที่ตามมาด้านหลังได้เอ่ยถาม

“เจ้าคิดว่าข้ากำลังเอ่ยเรื่องไร้สาระอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าเป็นถึงนายน้อยเศรษฐีที่ดินหากทำนามิเป็น งั้นข้าก็เป็นนายน้อยที่ดินได้กับผีน่ะสิ”

จางเพ่ยเอ๋อร์ได้ยินจึงกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “เมื่อก่อนตอนที่อยู่หลินเจียง ข้ามิเคยได้ยินว่าท่านทำนาได้ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบจมูกแล้วยิ้มกว้าง “ก็เจ้าเป็นบุตรสาวของเศรษฐี จะรู้ถึงสภาพที่ข้าต้องปาดเหงื่อภายใต้แสงสุริยาที่แผดเผานี้ได้เยี่ยงไรกัน ? ”

จางเพ่ยเอ๋อร์ถลึงตาใส่เขา นางนึกในใจว่าวันที่สุริยาสาดแสงเจิดจ้าเช่นนั้น เกรงว่าท่านคงไปดื่มสุราฟังดนตรีคลายร้อนเสียมากกว่า !

เจ้าคนหลอกลวง !

แต่ถ้าเขาโกหกจริง ๆ แล้ว เหตุใดเขาถึงรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงเพียงนี้ ?

จางเพ่ยเอ๋อร์มีอีกร้อยพันเรื่องราวที่มิเข้าใจเอาเสียเลย ส่วนสวี่ซินเหยียนและซูซูก็ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกับประสบการณ์เช่นนี้ของเขาเป็นอย่างดี

ท่านปู่มักเอ่ยให้ฟังอยู่เสมอว่า ผู้เป็นฮ่องเต้ต้องดูแลพสกนิกรทั่วหล้าด้วยใจจริง

โบราณสอนไว้ว่า หากเกียจคร้านทำการเกษตรก็ย่อมขาดความรู้ที่จะสรรสร้างสิ่งใด หากเป็นขุนนางก็คงบริหารบ้านเมืองได้มิดี หากเป็นผู้ปกครองของแคว้น…ก็คงผลาญสมบัติบ้านเมืองไปหมื่นแสน !

คนผู้นี้ดูมิใช่แบบนั้นเอาเสียเลย หากเขาได้เป็นองค์จักรพรรดิย่อมเป็นความโชคดีของราษฎรแห่งราชวงศ์อู๋อย่างแท้จริง !

ส่วนฟู่เสี่ยวกวนมิได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้เลย เพราะในตอนนี้เขากำลังนึกถึงทั้งแปดรัฐแห่งหนานชาง อีกทั้งยังนึกถึงบิดาอ้วนพุงพลุ้ยนั่นด้วย !

ชายอ้วนทุ่มเงินมากถึงร้อยล้านตำลึงในการซื้อที่ เขาได้รับจดหมายของข้าแล้วใช่หรือไม่ ?

หากเขาได้อ่านจดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…เขาจะตอบว่าเยี่ยงไร ?

มิว่าบิดาอ้วนจะเดินทางข้ามกาลเวลามาเฉกเช่นตนหรือไม่ แต่ถึงเยี่ยงไรตนก็ยังเลื่อมใสในตัวบิดาอ้วนอย่างล้นพ้น

ในฐานะเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนรู้อย่างแจ่มชัดอยู่ในอกว่าบิดาอ้วนมิได้มีเงินมากมายมหาศาลถึงเพียงนั้น

หากไร้ซึ่งปัจจัยอื่น ๆ เขาคงมิร่ำรวยถึงเพียงนี้หรอก !

มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดบิดาอ้วนถึงมิอยากเป็นจักรพรรดิเอาเสียเลย

หากข้าได้ครอบครองสมบัติกองเท่าภูเขาก็คงนอนแผ่อ้าซ่าอย่างมีความสุขโดยมิยอมเปลืองแรงทำงานเช่นกัน !