ตอนที่ 705 ชมจันทร์บนจายซิงถาย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 705 ชมจันทร์บนจายซิงถาย

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ วันที่สิบสอง เดือนแปด

บนจายซิงถาย ณ บริเวณด้านหลังคฤหาสน์จิ้งหู เมืองกวนหยุน เมืองหลวงแห่งราชวงศ์อู๋

ฟู่ต้ากวนสวมชุดผ้าป่านตัวใหญ่โคร่งนอนแผ่อยู่บนเก้าอี้ แต่ทว่าในมือยังคงถือจอกสุราเอาไว้อยู่ เขากำลังชื่นชมจันทราที่เด่นตระหง่านบนท้องนภาอย่างเงียบสงบ

โจวถงถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามและกำลังจ้องมองใบหน้าของฟู่ต้ากวนที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง ทันใดนั้นจึงเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท ทรงคิดถึงราชวงศ์หยูหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“เฮ้อ…”

ร่างอ้วนท้วมของฟู่ต้ากวนขยับเขยื้อนเบา ๆ บนเก้าอี้ “ถงถงเอ๋ย เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ตอนนี้เสี่ยวกวนยังอยู่ที่ว่อเฟิงเต้าสถานที่ที่ทุรกันดารแห่งนั้น อ่า…จริงสิ ! เจ้าจัดการเรื่องส่งมอบกองกำลังชุดแดง 100,000 นายให้ไป๋ยู่เหลียนเรียบร้อยแล้วหรือยัง ? ”

โจวถงถงคุ้นชินกับการกระโดดไปมาทางระบบความคิดของฟู่ต้ากวนแล้ว เขาจึงประคองมือคำนับแล้วตอบกลับว่า “ทูลฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ กองกำลังชุดแดงทั้งหนึ่งแสนนายถูกส่งมอบให้ไป๋ยู่เหลียนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่ต้ากวนพยักหน้าเล็กน้อย “แล้วเจ้าหนุ่มนั่นพากองกำลังไปที่แห่งใดแล้วเล่า ? ”

“ไปยังภูเขาโต่วฟางซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเมืองกวนหยุนราว 300 ลี้พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่ต้ากวนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงกระดกสุราในจอกจนหมดสิ้น “แล้วธนาคารซื่อทงสาขาเมืองกวนหยุนจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง ? ”

“ทูลฝ่าบาท ธนาคารซื่อทงสาขาเมืองกวนหยุนได้เปิดดำเนินการเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่สิบเดือนแปดพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องหุ้นส่วนอันใดนั่น…เหล่าบรรดาพ่อค้าทั้งหลายมีความเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ? ”

โจวถงถงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “แม้จะมีเหล่าบรรดาพ่อค้าหลายรายเข้ามาสอบถาม เมื่อกระหม่อมนำเอกสารเหล่านั้นที่องค์ชายให้สำนักศึกษาจี้เซี่ยจัดพิมพ์ขึ้นมา อีกทั้งยังมีกฎหมายการค้าและได้ดำเนินการตามที่ฝ่าบาทประสงค์ทุกประการในราชวงศ์อู๋แล้ว เหล่าพ่อค้าต่างก็ให้ความสนอกสนใจอยู่มิน้อย แต่ทว่าจวบจนบัดนี้ยังมีเพียงแค่ร้านเดียวเท่านั้นที่ส่งคำขอเรื่องการขายหุ้นส่วนเข้ามา…”

โจวถงถงหยุดเอ่ยชั่วครู่ จากนั้นก็มองไปที่ฟู่ต้ากวนแล้วเอ่ยต่อว่า “เหล่าสายลับแห่งหอเทียนจีได้รายงานว่า… เหล่าพ่อค้าทั้งหลายต้องการรอจนกว่าองค์ชายจะเสด็จกลับมา พวกเขาเอ่ยว่าหากองค์ชายเป็นผู้ครองราชย์สมบัติ พวกเขาย่อมกระโจนมาเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่ต้ากวนผงะ “นี่หมายความว่าพวกเขามิเชื่อมั่นในตัวข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อ่า…มิได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะแท้จริงแล้วนับตั้งแต่ฝ่าบาททรงขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์ทรงดำเนินการทุกอย่างตามที่องค์ชายได้วางแผนเอาไว้ เช่นนั้นแล้ว…” โจงถงถงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้นแล้วเหล่าบรรดาพ่อค้าจึงรู้จักองค์ชายมากกว่าท่าน นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวองค์ชายและยอมรออีกสักสองสามปีพ่ะย่ะค่ะ”

โจวถงถงสำรวจอารามทางสีหน้าของฟู่ต้ากวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน และมีความกังวลว่าเขาจะพิโรธเอาเสียเหลือเกิน แต่ผลปรากฏว่าใบหน้ากลม ๆ นั้นได้เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น อีกทั้งยังยิ้มเสียจนตาหยีอีกด้วย

“แบบนี้สิถึงจะเข้าท่า ถงถง… เจ้าลูกชายคนนั้นช่างดื้อรั้นนัก หากราชวงศ์อู๋ล้าหลังกว่าราชวงศ์หยูเมื่อใด หากบรรดาพ่อค้าและราษฎรของราชวงศ์อู๋ส่งเสียงเรียกร้องมากขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นเขาถึงจะกลับมา ส่วนตัวข้า…จะได้สบโอกาสหนีไปจากดินแดนแห่งนี้แล้วพาหลานชายไปใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญเสียที”

โจงถงถงบีบฝาขวดสุราแล้วยืนขึ้น บรรจงรินสุราให้กับฟู่ต้ากวน จากนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา “หากยังต้องรอเวลาอีก 3 ปี ฝ่าบาทคงมิต้องหอบจักรพรรดิตัวน้อยไปเป็นโหลเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่ต้ากวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกชอบใจ ส่งเสียงหัวเราะดั่งลั่นปานเสียงฟ้าผ่าออกมา “มิรู้ว่าพวกของหนานกงตงเซวี๋ยจะแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าออกมาได้หรือไม่ เฮ้อ…เจ้าลูกคนนั้นซื่อบื้อพอสมควรเลยล่ะ”

เมื่อสิ้นเสียงก็ได้โพล่งถามอีกปัญหาหนึ่งอย่างกะทันหัน “ถงถงเอ๋ย ผู้คนที่ย้ายถิ่นฐานจากแปดรัฐแห่งหนานชางไปยังเป่ยเซียวมีจำนวนเท่าใดกัน ? ”

“ทูลฝ่าบาท มียอดรวมทั้งสิ้นแปดแสนกว่าคนพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่ต้ากวนขมวดคิ้วมุ่น ยกมือขึ้นมานับนิ้วคำนวณ “ยังมิมากพอเพราะข้าต้องการเคลื่อนย้ายอีกแปดแสนคน…จงกว้านซื้อที่ดินในแปดรัฐแห่งหนานชางต่อไป ! ”

โจวถงถงตกตะลึงงันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “สิ่งที่ฝ่าบาททรงหมายถึง…คือเป่ยเซียวนั้นเป็นพื้นที่ยากจนและทุรกันดารยิ่ง กระหม่อมขอทูลถามอย่างบังอาจว่าจะย้ายคนจำนวนมากถึงเพียงนั้นไปเพื่อเหตุอันใดกันพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่ต้ากวนหัวเราะฮึ ๆ จากนั้นจึงกระดกสุราในจอกจนหมดสิ้น “ที่แห่งนั้นมิใช่พื้นที่ยากจนข้นแค้นแสนทุรกันดารหรอกนะ ! แต่ทว่าที่แห่งนั่นเป็นดั่งดินแดนทองคำ รอให้ลูกชายของข้ากลับมาเสียก่อนเถิด เขาจะต้องตกตะลึงงันกับการกระทำของบิดาผู้นี้อย่างแน่นอน”

โจวถงถงมิอาจเข้าใจได้ หากฟู่ต้ากวนมิอธิบายขยายความเพิ่ม เขาก็คงต้องค้างคาใจต่อไป

เมื่อได้ยินฝ่าบาทตรัสเช่นนี้จึงเข้าใจได้ว่าการที่พระองค์ทรงทุ่มเทเงินทองเพื่อซื้อที่ดินในแปดรัฐแห่งหนานชาง แท้จริงแล้วก็เพื่อใช้สำหรับการอพยพย้ายผู้คนนี่เอง

นี่ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ทว่าหากอพยพอีกแปดแสนคนเข้าไปและรวมกับประชากรดั้งเดิมของเขตเป่ยเซียวอีกหกล้านกว่าคน เยี่ยงนั้นก็หมายความว่ามีประชากรมากถึงแปดล้านคนเข้าไปแล้วน่ะสิ

เป่ยเซียวมีเนื้อที่กว้างขวางกว่าแปดรัฐแห่งหนานชาง แต่แปลงนาที่นั่นยากต่อการหล่อเลี้ยงชีพของราษฎรที่มากกว่าแปดล้านคนให้อิ่มท้องได้… เพราะที่แห่งนั้นส่วนใหญ่เป็นผืนทะเลทรายที่รกร้างว่างเปล่า

ด้วยเหตุนี้โจวถงถงจึงจำเป็นต้องทูลเตือนฟู่ต้ากวนสักหนึ่งประโยคว่า “ทูลฝ่าบาท หากราษฎรเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตเป่ยเซียวมากจนเกินไป ราษฎรอาจจะมิสามารถกินจนอิ่มท้องได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่ต้ากวนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเองก็ใจร้อนเกินไปหน่อย เอาเป็นว่าเรื่องนี้รอเสี่ยวกวนกลับมาก่อนก็แล้วกัน”

โจวถงถงรู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก จากนั้นจึงเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่นทันที “ฝ่าบาท เจี่ยหนานซิงได้อำลาตำแหน่งขันทีแล้ว บัดนี้เขาไปเป็นยามเฝ้าประตูอยู่ที่จวนติ้งอันป๋อ ในจดหมายเขาได้เอ่ยถึงเรื่องหนึ่ง กล่าวว่าองค์ชายระเบิดภูเขาที่วัดฟูจื่อจนแหลก แต่ผลปรากฏว่าขุมทรัพย์ของราชวงศ์เฉินได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ…”

โจวถงถงจ้องมองใบหน้าอ้วนท้วมของฟู่ต้ากวนแล้วเอ่ยต่อว่า “หลังจากนั้นองค์ชายได้เดินทางไปเยือนยังสำนักเต๋า แต่ทว่าประจวบเหมาะกับตอนที่ปรมาจารย์ซูฉางเซิงออกเดินทางไปข้างนอกพอดี แรกเริ่มองค์ชายเคลือบแคลงสงสัยในตัวของซูฉางเซิง แต่ทว่าหลังจากนั้นดูเหมือนว่าองค์ชายจะหันมาเคลือบแคลงในตัวของฝ่าบาทแทนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

สีหน้าของฟู่ต้ากวนเรียบเฉย ทำราวกับว่าตนมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

“เจ้าก็สงสัยว่าเป็นฝีมือข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

โจวถงถงเผยรอยยิ้มเห็นฟัน “ก็ฝ่าบาทใช้เงินตั้ง 120 ล้านตำลึงกว้านซื้อที่ดินเหล่านั้นนี่พ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่ต้ากวนเปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืดเหยียดตัวตรงแล้ววางจอกสุราลง สองมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อแล้วลูบคลำจดหมายของฟู่เสี่ยวกวนที่ส่งมาถึงตนเมื่อห้าวันก่อน

“ก็ฮ่องเต้หยูทรยศต่อข้า อีกทั้งตอนนี้สนมทั้งห้าและลูกทั้งห้าก็ยังอยู่ที่ราชวงศ์หยู ข้าจึงต้องการเอาคืนเพื่อให้สามารถสงบศึกลงได้ แต่ทว่า…”

ฟูต้ากวนเผยรอยยิ้ม “ช่างเถิด ช่างเถิด เรื่องมันผ่านไปแล้วเจ้าก็อย่าได้สงสัยอีกเลย เจ้าจงจับตามองว่อเฟิงเต้าอย่างใกล้ชิดจะดีกว่า อย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเสี่ยวกวนเป็นอันขาด ! ”

“กระหม่อมจะระวังมิให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ…”

จากนั้นโจวถงถงก็ได้นำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ฝ่าบาท บัดนี้ทางราชวงศ์หยูได้สืบหาตำแหน่งที่ตั้งของสมบัติอย่างจริงจัง ตัวอักษรบนกระดาษแผ่นนี้ถูกคัดลอกออกมาจากถ้ำใต้วัดฟูจื่อ ฝ่าบาท…ลายมือนี้ช่างคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน กระหม่อมขอทูลถาม…”

ฟู่ต้ากวนขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันพลัน “โจวถงถง ! ”

โจวถงถงตื่นตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงรีบลงไปคุกเข่าลงบนพื้น สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเซียว หยาดเหงื่ออาบท่วมอาภรณ์

“กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่ต้ากวนยืนขึ้นเผยร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ที่ใหญ่โตดุจเทือกเขา

เขาเอามือไพล่หลังแล้วเดินไปเบื้องหน้าสองก้าว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองจันทราส่องแสงสุกสกาว “หากข้ามิเห็นแก่บุญคุณตอนเกิดคดีนองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่เมื่อสิบสามปีก่อน ข้าจักสังหารเจ้าเสีย ! ”

“ลุกขึ้นเถิด…ข้าขอเอ่ยกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาอีกคราว่าขุมทรัพย์นั้นอยู่ในกำมือของข้าจริง ๆ แต่ข้าเพียงแค่ดูแลชั่วคราวเท่านั้น เรื่องนี้ขอให้จบแต่เพียงเท่านี้เถิด แม้อยู่ต่อหน้าผู้ใดหรือต่อหน้าของเสี่ยวกวนก็ห้ามเอ่ยถึงเป็นอันขาด ! ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! เรื่องนี้จะเลือนหายไปจากใจของกระหม่อมตั้งแต่บัดนี้สืบไปพ่ะย่ะค่ะ!”

“พอเถิด…ความจริงนี่มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใดหรอก เจ้ากลับไปเถิด ข้าขอนั่งคิดอันใดต่ออีกสักหน่อย”

“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”

โจวถงถงเดินออกมาจากหน้าประตูเมือง กลับมายังหอเทียนจีเพื่อดื่มสุราทั้งคืน จนความเมามายได้ช่วยลบเลือนไอสังหารที่เกาะกินหัวใจไปจนสิ้น

ส่วนฟู่ต้ากวนยังคงนั่งอยู่บนจายซิงถาย เขาหยิบจดหมายของฟู่เสี่ยวกวนฉบับนั้นออกมาอ่าน ทันใดนั้นสีหน้าก็เผยความอ่อนโยนออกมา เขาก้มหน้าอ่านด้วยความตั้งใจ