ภาคที่ 5 ตอนที่ 10 ตัวตนของเขาถูกเผยเสียแล้ว

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 10 ตัวตนของเขาถูกเผยเสียแล้ว โดย Ink Stone_Fantasy

เมื่อข้อมูลการตายของเจ้าหลังเงินถูกส่งกลับไปผ่านพลังวิญญาณขั้นปฐมที่เชื่อมต่อกัน โทษทัณฑ์ที่ตามมาก็ถูกส่งไปยังผู้เป็นนายด้วยเช่นกัน

ในชั่วพริบตานั่นเอง ผู้อาวุโสฉือโฮ่ว [1] ก็รู้สึกราวกับว่าร่างของตนถูกเผาอยู่ในเมืองที่มีแต่เปลวเพลิง พลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นสะท้านรุนแรงเหมือนจะหลอมละลายลงที่ตรงนั้น… นี่คือโทษทัณฑ์ของพันธะ ขณะที่เขาได้รับความสะดวกสบายและประโยชน์มากมายจากการเป็นเจ้านายของสัตว์ภูต เขาย่อมต้องแบกความรับผิดชอบในการปกป้องสัตว์ภูตด้วยเช่นกัน

ชั่ววินาทีของความประมาททำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียมือขวา ตอนที่เจ้าหลังเงินตาย ความแค้นของมันถูกส่งกลับมาพร้อมพันธะ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสราวกับว่ากำลังจะตายตามไปด้วย

ร่างของฉือโฮ่วสั่นสะท้านเพราะการลงโทษจากพันธะสัญญา จะว่านานก็นานจะว่าชั่วพริบตาเดียวก็ใช่ ทว่านอกจากร่องรอยความเจ็บปวดแล้ว สีหน้าของเขายังแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มมุ่งร้ายด้วย

เจ้าสารเลวสองคนนี่ต้องตายด้วยวิธีที่ทารุณที่สุดและพวกมันต้องเจ็บปวดที่สุด! ตอนพวกมันตาย กระดูกของพวกมันจะต้องกลายเป็นเถ้าถ่าน พลังวิญญาณขั้นปฐมจะต้องถูกจับยัดเข้าเตาเผาเพื่อที่จะเผชิญความเจ็บปวดไปตลอดกาล! กล้าดีอย่างไรถึงได้สังหารเจ้าหลังเงิน… ไม่ว่าคนพวกนี้จะมีปูมหลังที่สูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจหยุดความแค้นในใจของข้าได้!

อาวุโสฉือโฮ่วกัดฟันแน่น ความโกรธเกรี้ยวของเขาทะลุจุดเดือดไปแล้ว ทว่าตรงข้ามภายใต้ความโกรธขึ้งนั้น วิชาจิตเพลิงของเขากลับสงบนิ่งผิดธรรมดา ทำให้ยังไม่เสียสติไป เขาจึงสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างสุขุม

ครั้งนี้เป็นฝั่งของเขาเองที่ผิดพลาด ตอนแรกเขาคิดว่าอย่างมากฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเพียงศิษย์ชั้นยอดของตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์ เขาจึงส่งเจ้าหลังเงินมาจัดการคนพวกนี้อย่างไม่ใส่ใจนัก โชคร้ายที่การตัดสินใจผิดพลาดกลับนำความตายมาให้เจ้าหลังเงินเสียได้!

เมื่อครู่ที่เขาได้เห็นว่าพลังปราณตั้งรับของหวังลู่สามารถสกัดวิชาเสียงสายฟ้าอัคนีของเขาได้ รวมถึงได้เห็นจิตกระบี่ไร้พ่ายของหลิวหลีที่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามที่นางปรารถนา เขาก็รู้ในทันทีว่าสองคนนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์จะสรรค์สร้างขึ้นมาได้ เป็นไปได้ว่าสองคนนี้อาจเป็นศิษย์ผู้สืบทอดจากสำนักใหญ่เสียมากกว่า ส่วนชื่อตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์นั้น… สองคนนี้อาจจะเป็น ‘สารเลวดวงดี’ จากตระกูลดังกล่าวที่สามารถเข้าสำนักใหญ่ได้ด้วยปาฏิหาริย์ หรือไม่ชื่อนี้ก็เป็นเพียงโล่ที่พวกเขาใช้ปิดบังตัวตนที่แท้จริงเท่านั้น

ในสถานที่อย่างแคว้นสายหมอก ชื่อของศิษย์มากพรสวรรค์จากสำนักใหญ่สามารถนำความสะดวกสบายมาให้มากมาย แต่มันก็ยังนำพาความเสี่ยงมาให้ด้วยเช่นกัน ทุกคนต่างรู้ว่าศิษย์มากพรสวรรค์นั้นมีค่ามหาศาล แม้พวกเขาอาจไม่ได้พกสมบัติล้ำค่าจากสำนักติดตัวมา แต่แค่รากวิญญาณชั้นเยี่ยมของศิษย์ผู้เก่งกาจเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นโอสถเสริมพลังเดินได้แล้ว มีสำนักมารหรือผู้ติดตามสายมืดจำนวนไม่น้อยที่ชอบสะสมตัวศิษย์มากพรสวรรค์เหล่านี้

ในเมื่อเขารู้ว่าศัตรูมีแหล่งที่มาไม่ธรรมดา ฉือโฮ่วจึงเลิกประมาทอีกฝ่าย อีกทั้งเขายังรู้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะเร่งร้อนไม่ได้

ปกติแล้วศิษย์จากสำนักใหญ่มักมีเครื่องช่วยชีวิตที่ผู้เป็นอาจารย์มอบไว้ให้ อย่างเช่นยันต์ลี้ภัยและยันต์อื่นๆ ซึ่งช่วยให้คนพวกนี้สามารถหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ก็อาจจะเป็นโล่กระดิ่งทองซึ่งจะช่วยปกป้องพวกเขาอย่างเต็มรูปแบบ หรือไม่ผู้อาวุโสในสำนักก็จะใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมรวมร่างในการติดตามศิษย์ของตัวเอง

ทว่าไม่ว่าจะเป็นข้อใด หากไม่เข้าตาจน คนพวกนี้ก็จะไม่เผยไพ่ที่ว่าออกมา เมื่อใดที่พวกเขาใช้ไพ่นี้ พวกเขาย่อมสามารถผ่านพ้นอุปสรรคฉับพลันที่ว่านี้ไปได้ แต่มันก็เป็นการปิดฉากการเดินทางเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ด้านล่างภูเขาของคนเหล่านี้ไปด้วย และฉือโฮ่วตั้งใจที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายใช้ไพ่ใบสุดท้ายจนกระทั่งมันสายเกินไป

วิธีที่ดีที่สุดก็คือการใช้กลยุทธ์ ‘ต้มกบในน้ำร้อน’ นั่นคือยืดเวลาในการต่อสู้ของอีกฝ่ายออกไป ค่อยๆ เผยจุดอ่อนของตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจว่าพวกตนต้องชนะแน่ จากนั้น…

เมื่อคิดได้ดังนี้ ฉือโฮ่วก็ค่อยๆ ยับยั้งพลังอิทธิฤทธิ์ของตนเอง แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะลดลงหลังจากที่สูญเสียเจ้าหลังเงิน แต่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานสองคนจะคู่ควรกับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนได้อย่างไร อย่างไรเสียเขาก็ไม่เห็นว่าเจ้าหลังเงินตายได้อย่างไร ดังนั้นจากที่เขาคำนวณไว้ หากไม่ยับยั้งพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง ไม่แน่ว่าภายในสามถึงห้ากระบวนท่า เขาก็อาจจะผลักให้อีกฝ่ายเผชิญกับสถานการณ์เข้าตาจนก็เป็นได้

แต่แล้วแสงสีแดงของกระบี่อัคคีก็เข้ามาขัดขวางความคิดของเขา

ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของฉือโฮ่ว เขาเห็นหลิวหลีพุ่งทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยากจะเชื่อว่าผู้บำเพ็ญเซียนหญิงที่มีขั้นตบะเพียงขั้นสร้างฐานจะกล้าเปิดฉากโจมตีเขาก่อน อีกทั้งยังยากยิ่งกว่าที่จะเชื่อว่าผู้บำเพ็ญเซียนหญิงที่มีขั้นตบะเพียงขั้นสร้างฐานตรงหน้าจะมีจิตกระบี่ที่กล้าแข็งแช่นนี้!

ปลายกระบี่ยังมาไม่ถึงตัวเขา แต่จิตกระบี่รุนแรงที่ไม่อาจต้านทานได้กลับแทงทะลุพลังอิทธิฤทธิ์ที่ฉือโฮ่วใช้ป้องกันเข้ามาและสัมผัสกับพลังวิญญาณขั้นปฐมในร่าง สำหรับฉือโฮ่วที่พลังวิญญาณขั้นปฐมแข็งแกร่งกว่าของคู่ต่อสู้หลายเท่านัก เขากลับรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสขึ้นมาในทันที

ฉือโฮ่วหยิบกะโหลกสัตว์ที่แต่งแต้มด้วยเส้นสีแดงออกมาทันใด แสงจากเบ้าตาของกะโหลกสะท้อนเข้ากับท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเขาจนปรากฏเป็นเส้นเลือดออกมา รังสีมุ่งร้ายจากกะโหลกสัตว์โบราณที่แต่งแต้มด้วยเส้นสีแดงพุ่งเข้าไปในร่างของฉือโฮ่ว ทันใดนั้นกะโหลกของเขาก็ขยายตัวออกพร้อมกล้ามเนื้อที่โป่งพองขึ้น ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ ที่คำรามออกมาด้วยจิตสังหารรุนแรง

“โอ้ วิชาแปลงร่างสัตว์ภูตของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์งั้นรึ เซียนเอ๋อร์ จัดไปเต็มที่เลย”

เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงตรงหน้า หวังลู่ก็ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นหลิวหลีก็ปล่อยกระบี่บินที่เหลืออีกสิบเล่มออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่ลังเล พวกมันก็มารวมตัวกันรอบกระบี่สองเล่มที่อยู่ในมือของนางและช่วยเพิ่มพลังการโจมตีให้นางขึ้นอีกหลายเท่า สายตาบริสุทธิ์ใสซื่อของหลิวหลีพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวน้ำแข็ง เพลงกระบี่กระจ่างใจถูกดึงมาใช้จนเต็มความสามารถ

ส่วนหวังลู่นั้น เขาวางมือข้างหนึ่งไว้บนสะโพกของหลิวหลี มืออีกข้างก็กวัดแกว่งกระบี่ไปด้วย กระบี่เล่มหนาเต็มปรี่ไปด้วยพลังทำหน้าที่ราวกับโล่ที่ไม่อาจเจาะทะลวงได้

อึดใจถัดมาก็เกิดการประสานงากันขึ้น กระบี่สองเล่มของหลิวหลีปะทะเข้ากับอกเปลือยเปล่าของฉือโฮ่ว ผิวสีน้ำตาลภายใต้เหงื่อวามของเขามองดูคล้ายโลหะ เสียงแหลมใสดังขึ้น ประกายไฟปรากฏออกมาตอนที่กระบี่อัคคีทั้งสองปะทะเข้ากับผิวหนัง มันทิ้งรอยไหม้เอาไว้สองที่ แต่ก็ไม่สามารถเจาะทะลวงผิวหนังและสร้างความบาดเจ็บให้กล้ามเนื้อได้

ความสามารถในการตั้งรับของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังขา แม้แต่เพลงกระบี่กระจ่างใจที่ไร้พ่ายของหลิวหลีก็ไม่อาจเจาะทะลวงการตั้งรับชั้นนอกของอีกฝ่ายได้ อีกทั้งจิตกระบี่ที่ควบคุมโดยพลังวิญญาณขั้นปฐมของนางก็ถูกจิตสังหารที่ลุกโชนของอีกฝ่ายทำให้มลายลง

ทันใดนั้นเอง หลิวหลีก็รู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวดำมืดไปหมด เงาน่าสะพรึงตกลงมาจากท้องฟ้า มันคือกะโหลกสัตว์ร้ายที่ขยายขนาดมากขึ้นหลายเท่า ฟันสองแถวของมันกัดเข้าที่นางอย่างรุนแรง

ทว่าหลิวหลีกลับไม่สะทกสะท้านกับความตายที่จวนตัวแม้แต่น้อย หญิงสาวบิดสะโพก คลายมือจากกระบี่อัคคีทั้งสองเล่ม จากนั้นก็กระชับกระบี่สีทองให้แน่นขึ้นและกวัดแกว่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของนางพลิ้วไหวราวสายน้ำ แต่ความเร็วของกระบี่คู่นี้กลับไม่ต่างจากสายฟ้าฟาด ซึ่งเร็วอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เสียงปะทะสองครั้งติดดังขึ้นเมื่อกระบี่สีทองของหลิวหลีกระทบกับร่างของฝ่ายตรงข้าม แนวฟันสองแถวของกะโหลกยักษ์ก็สบกัน หยดเลือดซึมออกมาจากอกของฉือโฮ่ว ทว่าหากจะใช้กะโหลกยักษ์นั่นโต้กลับ เขาจำเป็นต้องเปิดแขนสองข้างออกกว้างและไม่อาจหุบกลับได้ไม่ว่าต้องเผชิญกับสิ่งใด

หวังลู่ออกแรงเต็มกำลังในการปกป้องหลิวหลีเพื่อที่นางจะได้เปิดฉากโจมตีอีกครั้ง แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็พอให้หญิงสาวหมุนสะโพก และพลังของลำแสงกระบี่บินทั้งสองที่หยิบยืมมาจากพลังที่สำรองไว้ก็เข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง ครั้งนี้พลังของมันรุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้าไปอีกหนึ่งขั้น!

สีหน้าของฉือโฮ่วเปลี่ยนไปในทันที หลิวหลีไม่ต้องโคจรพลังปราณเพื่อเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการโจมตีแต่ละครั้งก็รุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้าราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด แม้ระหว่างเขากับนางจะมีช่องว่างถึงหนึ่งขั้นครึ่ง แต่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาเกรงว่าหากถูกโจมตีอีกสองครั้ง วิหารหยกของเขาอาจบาดเจ็บได้! ตอนแรกเขาคิดจะใช้แผนต้มกบในน้ำร้อน หลอกล่อคู่ต่อสู้ไปทีละนิด แล้วค่อยกระโดดเข้าใส่ตอนที่ฝ่ายตรงข้ามเผยตัวเพื่อที่พวกนั้นจะได้ไม่มีเวลาตั้งตัว แต่ใครจะคิดว่าแค่ปะทะกันเพียงสองสามกระบวนท่า ก็มีสัญญาณว่าเขาจะพ่ายแพ้เสียแล้ว!?

อีกด้านหนึ่ง เป็นไปได้ว่ากะโหลกสัตว์ร้ายโบราณอาจไม่ทรงพลังเท่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน แต่พลังการกัดของมันก็ยังสามารถกัดทะลุทองทะลวงหยกได้ แล้วผิวของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานจะแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานได้อย่างไร คำตอบนั้นง่ายมาก ด้วยสองแขนและหนึ่งกระบี่ ระยะเจ็ดฉื่อรอบตัวหวังลู่นั้นไม่อาจเจาะทะลวงเข้ามาได้!

หลังการโจมตีรอบที่สาม เลือดก็เริ่มไหลซึมออกมาจากมุมปากของหวังลู่ และรอยแดงผิดธรรมดาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวหลี

“ศิษย์พี่ ขั้นสร้างแกนระดับแปด -5 หากโจมตีมากกว่าสามครั้ง ข้าเอาชนะเขาได้แน่”

หลังการโจมตีครั้งที่สาม ดวงตาเยือกเย็นเป็นประกายของหลิวหลีก็เผยสัญชาตญาณในการหยั่งรู้ออกมา หวังลู่พยักหน้าจากนั้นก็สูดเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าไปเฮือกหนึ่งเพื่อกดวิหารหยกที่สั่นไหวให้หยุดลง

          ตอนนี้ฉือโฮ่วกำลังหมดท่า การที่หวังลู่สั่งให้หลิวหลีชิงสังหารเจ้าหลังเงินไม่เพียงตัดโอกาสเขาไม่ให้รวมพลังกับสัตว์ภูตของเขา แต่ยังเป็นการสะบั้นพันธะของสัตว์ภูตอีกด้วย ซึ่งทำให้ฉือโฮ่วต้องเจ็บปวดกับโทษทัณฑ์เพลิงโหมไหม้จนลดทอนความแข็งแกร่งของเขาไปมหาศาล เขาไม่อาจสำแดงพลังที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนได้ ไม่เช่นนั้นหากสามารถรวมพลังกับสัตว์ภูตได้ละก็ แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะลดไปอย่างมาก แต่ไม่มีทางต่ำจนถึงขั้น -5 แน่นอน

          “พวกเจ้าบีบข้าเกินไปแล้ว!”

          ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนผู้ทรงเกียรติ ฉือโฮ่วจะนิ่งเฉยและยอมให้ตัวเองถูกฆ่าได้อย่างไร จิตมุ่งร้ายสว่างวาบในดวงตาชายผู้นี้อีกครั้ง จากนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดังลั่น “เขี้ยวขาว ออกมา!”

          หวังลู่ก็ตะโกนออกมาเช่นกัน “ฉวนโจ่วฮวา!”

          เขารู้อยู่แล้วว่าไพ่ไม้ตายของฉือโฮ่วไม่ได้มีเพียงแค่การแปลงร่างเป็นสัตว์ภูตเท่านั้น ตอนแรกหวังลู่ไม่คิดจะให้เจ้าสุนัขหน้าโง่มีส่วนในการต่อสู้ด้วย ทว่าเมื่อเขาได้ยินเสียงตะโกนของอีกฝ่าย หวังลู่จึงต้องเผยไพ่ออกมาเช่นกัน

          เจ้าสุนัขหน้าโง่เห่า ทำจมูกยุกยิกเล็กน้อย จากนั้นมันก็รีบวิ่งไปยังที่ที่หนึ่งในทันที

          เมื่อรู้ว่าไพ่ไม้ตายของตนตกเป็นเป้า ฉือโฮ่วก็เหยียดยิ้มชั่วร้ายออกมา อึดใจถัดมาความสูงของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกสามฉื่อ ตอนนี้แม้แต่แก้มของเขาก็ปรากฏเส้นเลือดสีแดงราวกับภาพวาด ร่างของเขาใหญ่โตขึ้นอีกเท่าหนึ่ง! และดูราวกับว่ามีกระแสพลังไหลวนไปทั่วร่าง

          “ระยำ เข้าสถานะเซียนงั้นรึ!?” ในฐานะศิษย์ชั้นยอดของสำนัก เพียงแค่ปรายตามองหวังลู่ก็รู้ชื่อวิชาของฉือโฮ่วได้ในทันที ผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนคนนี้ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนทั่วไป นอกจากเจ้าหลังเงินแล้วเขายังมีสัตว์ภูตตัวอื่นเพียงแต่ไม่ได้นำมาด้วย ขณะที่พวกเขาสู้กัน เจ้าสัตว์ภูตตัวนั้นแอบซ่อนอยู่ไกลๆ ทว่าทันทีที่เรียกตัวมันมา มันก็ใช้วิชาลับของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ในการรวบรวมเอาพลังปราณฟ้าดินจำนวนมหาศาลและเปลี่ยนเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่บริสุทธิ์จากนั้นก็ส่งต่อไปให้ฉือโฮ่ว ทำให้ฉือโฮ่วได้รับกระแสพลังที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ความแข็งแกร่งของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!

ในความรู้สึกของหวังลู่ การรวบรวมและเปลี่ยนพลังปราณฟ้าดินเป็นพลังอิทธิฤทธิ์จากนั้นก็ส่งต่อพลังอิทธิฤทธิ์นั้นสมกับเป็นสถานะเซียนแล้ว

ไม่จำเป็นต้องให้กระบี่ของหลิวหลีทดสอบว่าสถานะเซียนนี้ทรงพลังมากเพียงไรเพราะหวังลู่คำนวณเอาไว้เรียบร้อย เขายื่นมือไปสัมผัสไหล่ของหญิงสาวจากนั้นก็ตะโกนออกมา “ถอนตัว!”

หลิวหลีได้ยินเสียงตะโกนดังกล่าวตอนกำลังเข้าโจมตีรอบที่สี่ ทำให้ความเร็วของนางลดลง เห็นดังนั้นฉือโฮ่วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

คิดจะหนีหรือ สายไปแล้ว!

ตอนนั้นเอง กะโหลกของสัตว์ร้ายโบราณก็ขยายตัวออกหลายเท่าจนกลายเป็นถ้ำขนาดใหญ่บังทั้งท้องฟ้าขังคนทั้งสามไว้ภายใน เมื่อถูกจำกัดอยู่ในกะโหลกนี้ ฉือโฮ่วจึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะหลบหนีได้อีก แม้หลิวหลีจะพุ่งเข้าไปโจมตีกะโหลก นางก็ต้องใช้หลายกระบวนท่าหน่อยกว่าจะทำลายมันได้ หนำซ้ำคิดหรือว่าฉือโฮ่วจะยืนเฉยมองดูอีกฝ่ายทำลายกะโหลก

ทว่าอึดใจถัดมา ฉือโฮ่วกลับแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่เพียงถอยหนีแต่กลับเร่งความเร็วในการโจมตีในกระบวนท่าที่สี่ กระบี่อัคคีสองเล่มในมือของนางพุ่งมายังเขา พร้อมด้วยจิตกระบี่ที่รุนแรงอย่างคาดไม่ถึงซึ่งไม่อาจหยุดยั้งได้!

ระยำ! นี่มันกับดักชัดๆ!

ทันทีที่ความคิดนั้นผุดเข้ามาในหัวของฉือโฮ่ว กระบี่อัคคีก็ปะทะเข้าที่คอของเขาเสียแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ธาตุดินของกระบี่และจิตกระบี่ที่รุนแรงเหลือล้นไหลทะลักออกมาจากปลายกระบี่ พลังของกระบี่ในครั้งนี้ทะลุไปถึงระดับขั้นสร้างแกนทีเดียว

ฉือโฮ่วถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปรเปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด ลำคอดำคล้ำขึ้น… ทว่าอึดใจถัดมาเนื้อใหม่ก็งอกขึ้นมาเติมเต็มรอยแผล แสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของฉือโฮ่วไม่ได้รุนแรงเท่าใดนัก

ความสามารถในการตั้งรับในสถานะเซียนของฉือโฮ่วนั้นแข็งแกร่งกว่าสถานะก่อนหน้านี้มาก แม้เพลงกระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจเกินไปกว่าขึ้นสร้างฐานระดับสูงของนางได้ ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกน นางจึงมีจุดอ่อนอยู่ตลอด

หลังจากที่กระอักเลือดออกมา ฉือโฮ่วก็พบว่าที่มุมหลายมุมของวิหารหยกของตนเกิดความเสียหาย เขาประหลาดใจอยู่เงียบๆ จะมีผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานในอาณาจักรเก้าแคว้นสักกี่คนกันที่มีพลังโจมตีที่ทรงพลังเช่นนี้ อีกฝ่ายต้องซ่อนขั้นตบะที่แท้จริงเอาไว้แน่ ไม่เช่นนั้นย่อมไม่มีทางที่พลังการโจมตีของนางจะรุนแรงได้ถึงเพียงนี้ ทว่าเอาเถอะ ทุกอย่างกำลังจะจบลงที่ตรงนี้แล้ว

หากฝ่ายตรงข้ามคิดจะชนะ พวกเขาต้องทำลายสถานะเซียนของฉือโฮ่วลงก่อน เพื่อทำให้พลังตั้งรับและพลังโจมตีของผู้อาวุโสคนนี้ลดลง แต่การจะทำลายสถานะเซียน อีกฝ่ายต้องสังหารเจ้าเขี้ยวขาวสัตว์ภูตอีกตัวของเขา… เจ้าสุนัขลายด่างที่หวังลู่ส่งให้ไปทำภารกิจนี้อาจจะมีพื้นเพที่ดี แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของมันไม่ได้มากมายนัก ยังห่างไกลที่จะเป็นคู่มือของเจ้าเขี้ยวขาวได้

ไม่แน่ว่าตอนนี้เจ้าเขี้ยวขาวอาจกำราบเจ้าสุนัขลายด่างได้แล้ว ที่เขาต้องทำคือเอาชนะคู่ต่อสู้ตรงหน้าให้ได้ และการต่อสู่ในครั้งนี้ชัยชนะย่อมตกเป็นของเขา! หนำซ้ำสถานะเซียนของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนนั้นได้เปรียบกว่าผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กตัวน้อยที่เพิ่งจะมีตบะขั้นเพียงแค่ขั้นสร้างฐานมหาศาลนัก ตอนนี้เมื่อฉือโฮ่วมองไปยังหวังลู่และหลิวหลี เขาก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังมองไปยังของรางวัลของสงคราม… โดยเฉพาะหลิวหลี ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เรือนร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนนั้นเองเสียงร้องโหยหวนของสุนัขที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตกใจก็ดังมาจากที่ไกลๆ สีหน้าของฉือโฮ่วเปลี่ยนไปในทันทีเพราะเขาจำเสียงของเจ้าเขี้ยวขาวได้

ระยำแท้! เจ้าสุนัขลายด่างนั่นเป็นสุนัขสายพันธุ์อะไรกันที่แม้แต้เจ้าเขี้ยวขาวก็ไม่อาจเอาชนะได้!? เป็นที่รู้กันว่าความแข็งแกร่งของเจ้าเขี้ยวขาวนั้นมากกว่าเจ้าหลังเงินเสียอีก หากไม่ใช่เพราะส่วนตัวแล้วเขาไม่ชอบสุนัขสักเท่าไร สัตว์เลี้ยงตัวหลักของเขาย่อมต้องเป็นเจ้าเขี้ยวขาวแน่นอน!

อึดใจถัดมา เสียงระเบิดหัวเราะก็ดังขึ้น ใบหน้าของฉือโฮ่วอัปลักษณ์ยิ่งกว่าเดิมเพราะคำตอบนั้นเป็นที่ประจักษ์แล้ว

“ฮ่าๆๆ เป็นสุนัขดำที่อ้วนท้วนอะไรอย่างนี้! คืนนี้ข้าจะตั้งใจกินให้เต็มที่เชียว!”

นักบวชเซนเนื้อสุนัข เจ้าคนสารเลว!

ทันทีที่ความเดือดดาลของฉือโฮ่วปะทุขึ้น เลือดก็พรั่งพรูออกมาจากปากของเขา

เจ้าเขี้ยวขาวถูกฆ่าเสียแล้ว!

[1] หมายถึงขุนนางสีแดง